15 มี.ค. 2023 เวลา 17:54 • ยานยนต์
จากตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกเมื่อปี 2022 ตามที่ผมติดตามจากสื่อคือ
ยอดขายของรถ BEV หรือรถ EV 100% จะอยู่ที่ 72%
ในขณะที่ยอดขายของรถ PHEV หรือรถ Plug-in Hybrid จะอยู่ที่ 28%
และประเทศที่มียอดขายรถ EV สูงสุดสามประเทศในโลกคือ
จีน, เยอรมัน, และ อเมริกาเหนือ
โดยยอดขายรวมทั้งโลกในปี 2022 ของรถ EV อยู่ที่ 10.2 ล้านคัน (เติบโต 65%)
และคาดการณ์ว่า ปี 2023 อาจมียอดขายรวม 17 ล้านคัน!
1) “The Timing”
ผมมองว่าในเวลานี้เป็นช่วง “Transition” หรือ “ช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน” เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในช่วงแรกๆ
หากเราลองมองย้อนดูในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น “คอมพิวเตอร์” และ “smartphones”
เราก็น่าจะมองเห็น “แนวโน้ม” ของพฤติกรรมของสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีกล่าวคือ
“เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีจะได้รับการพัฒนา จนทำให้ในอนาคตเรายังจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม หรืออาจลดลง
1
แต่เราจะได้สินค้ารุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น”
รถ EV เองก็เป็นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเป็นไปตามนั้น!
ดังนั้น การตัดสินใจเป็นเจ้าของรถ EV ในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งท้าทายสำหรับผู้ซื้อรถส่วนใหญ่
2
นั่นคือ เมื่อเวลาผ่านไป การเป็นเจ้าของรถ EV ก็จะเป็นเรื่องปกติคล้ายๆกับ
“New Normal” ในตลาดรถทั่วโลก
2) “The Hybrid”
ผมลองจินตนาการมองไปในอนาคต เมื่อวันที่รถ EV มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ผมคาดว่าในเวลานั้น ปริมาณความต้องการใช้ “นำ้มัน” จะลดลง
และนี่อาจทำให้ “ราคานำ้มัน” ปรับตัวลดลงไปด้วย!
ผู้ใช้รถ EV ในเวลานั้นคงไม่สนใจราคานำ้มันแล้ว แต่ถ้าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตกระแสไฟฟ้า (infrastructures) ทำได้ไม่ทันและเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าจากปริมาณรถ EV ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
1
และถ้าหากโรงไฟฟ้ายังต้องพึ่งพา “ถ่านหิน” หรือ แม้กระทั่งใช้ “น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ” เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่!
“ราคาค่าไฟฟ้า” อาจจะยังสูงอยู่หรือสูงขึ้นกว่าในเวลานี้!
และถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริงๆในอนาคต รถ Hybrid ในเวลานั้นอาจได้รับความนิยม ถ้าหากทางภาครัฐยังไม่ออกกฎหมายห้ามจำหน่ายรถที่ใช้ “น้ำมัน”
ผมมองว่า “รถ Hybrid” ที่น่าสนใจคือ
รถที่มีทั้งระบบการใช้เชื้อเพลิงจากนำ้มันและระบบไฟฟ้าได้อย่างมี “ประสิทธิภาพ” สูงสุดทั้งสองระบบ
1
จากที่ผมลองค้นข้อมูลการทำงานของระบบ Hybrid จากทาง Toyota อย่างคร่าวๆ ระบบจะประกอบไปด้วย
เครื่องยนตร์, มอเตอร์ไฟฟ้า, power control unit (PCN), Generator (ตัวผลิตกระแสไฟฟ้า), และ แบตเตอรี่
1
โดยแบตเตอรี่ของรถ Hybrid นั้นจะมีขนาดเล็กกว่าแบตเตอรี่ของรถ EV อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรถ Hybrid ยังมีเครื่องยนตร์ที่ใช้ “น้ำมัน” อยู่
และถ้าหากชิ้นส่วนต่างๆที่เป็นองค์ประกอบของรถ Hybrid ข้างต้น ทำงานสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาค่าอะไหล่ของอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ง่ายในราคาที่จับต้องได้ ประกอบกับ “ราคาน้ำมัน”
ที่ไม่สูงมาก
1
รถ Hybrid ก็นับว่ายังมีความน่าสนใจอยู่มากทีเดียว
โดยหลักการทำงานของรถ Hybrid อย่างคร่าวๆคือ
> “Parking”
เมื่อรถจอดนิ่ง ทั้งระบบเครื่องยนตร์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานพร้อมกัน แต่ระบบไฟฟ้าของรถยนต์ เช่น ระบบแอร์, ระบบไฟส่องสว่าง, ระบบเครื่องเสียง จะได้รับกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มิใช่จาก ไดชาร์จ หรือ Alternator
> ”Low speed driving”
เมื่อรถเริ่มออกตัวและขับด้วยอัตราเร็วไม่สูงมาก ระบบ pcn จะดึงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แล้วจ่ายให้มอเตอร์หมุนเพื่อขับเคลื่อนรถ
1
> “Acceleration”
เมื่อเรากดคันเร่ง เพื่อเร่งอัตราเร็วของรถ ในจังหวะนี้ “เครื่องยนตร์นำ้มัน” จะเริ่มทำงานไปพร้อมกันกับ “มอเตอร์ไฟฟ้า”
ข่าวดีก็คือ เครื่องยนตร์จะทำการขับเคลื่อน “Generator” แล้ว “Generator” ก็จะผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อนำไปจ่ายให้กับมอเตอร์ หรือกระแสไฟฟ้าจะถูกนำไปชาร์จแบตเตอรี่
โดย “pcn” จะทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการ” บริหารจัดการประสิทธิภาพโดยรวมของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดตาม “โปรแกรม” ที่ติดตั้งไว้โดยอัตโนมัติ
1
ทั้งนี้รวมถึงการขับในสภาพการใช้งานปกติ ทั้งเครื่องยนตร์และมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำงานร่วมกันได้ ณ จุดสมดุลที่จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงานสูงสุด
โดย “ข้อดี” ที่ชัดเจนที่สุดของระบบ Hybrid คือ การที่มีมอเตอร์เข้ามาช่วยขับเคลื่อนจะช่วยให้ประหยัดนำ้มันนั่นเอง!
1
> “Braking”
เมื่อคุณกดแป้นเบรคเพื่อชะลอรถ
“เครื่องยนตร์” จะหยุดทำงานเพื่อประหยัดน้ำมัน
ในขณะเดียวกัน “Generator” จะถูกขับโดยการหมุนของเพลาล้อรถ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไปชาร์จแบตเตอรี่โดยการควบคุมจาก “pcn” นั่นเอง!
3) “รถนำ้มัน, รถ Hybrid, รถ EV อะไรประหยัดกว่ากัน?”
ราวปี 2008 รายการรถยนต์ชื่อดังจากทาง BBC ที่ชื่อว่า “TopGear”
ได้ทำการทดสอบความสามารถในการประหยัดน้ำมัน โดยนำรถสองคันที่คันหนึ่งเป็นรถนำ้มันและอีกคันเป็นรถ Hybrid มาขับวนในสนามแข่งรถเป็นจำนวน 10 รอบ
โดยมีเงื่อนไขว่า รถ Hybrid จะต้องขับให้เร็วที่สุด แล้วให้รถนำ้มันแค่ขับตามไปเรื่อยๆ
> รถคันแรก
BMW M3: เครื่องยนตร์ V-8 ขนาด 4 ลิตร, 414 แรงม้า
> คันที่สอง
Toyota Prius: เครื่องยนตร์ 1.5 ลิตร, 76 แรงม้า
ผลปรากฏว่า
BMW M3 ใช้นำ้มันเฉลี่ย 19.4 MPG
Toyota Prius ใช้น้ำมันเฉลี่ย 17.2 MPG
(MPG: Miles per gallon)
นั่นคือ BMW ประหยัดกว่า Prius! ทั้งที่เครื่องยนตร์ใหญ่กว่ามาก!
1
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
คำตอบคือ
“การขับขี่ของคนขับ” มีผลต่อการประหยัดเชื้อเพลิง
แม้แต่รถ EV เอง ถ้าคนขับรถ ขับแบบกระโชกโฮกฮาก! ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างที่สุด!
2
4) “รถ EV”
ผมได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฟ้า สะสมไว้ใน post นี้ให้แล้วครับ
โฆษณา