17 มี.ค. 2023 เวลา 06:55 • นิยาย เรื่องสั้น

ปาฏิหาริย์แห่งรัก

หัวใจสองดวงพบกันยามค่ำคืน หลงรักปานจะกลืน แม้ไม่เคยพบหน้า
"แค่สองเปอร์เซ็นต์เหรอคะอาหมอ"
หญิงร่างท้วมในวัยกลางคนพยายามรวบรวมสติถามคุณหมอที่กำลังนั่งหน้าขรึมตรงหน้าของเธอและสามี พลางบีบมือของผู้เป็นสามีแน่น
สามีของเธอนั้นก็มีสีหน้าเศร้าสลดไม่ต่างไปจากเธอ เมื่อพวกเขาได้รับรู้ผลการตรวจสุขภาพของลูกสาวคนเดียวของพวกเขา
"ครับ โอกาสรอดแค่สองเปอร์เซ็นต์"
คุณหมอยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในแววตานั้นมีความอ่อนโยนส่งมาปลอบขวัญบุคคลทั้งสอง
1
"แล้วยัยออมจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่หมอ"
ผู้เป็นพ่อพยายามกลั้นน้ำตาถามออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ คำถามนั้นบาดลึกเข้ามาเหมือนคมมีดกรีดหัวใจ
"พี่อิ่ม พี่พงษ์ ผมขอโทษ"
"หลานมีเวลาเท่าไหร่หมอ บอกพี่มาเถอะ"
"หกเดือนครับพี่พงษ์"
ภายในห้องพักคนไข้ บนเตียงนอนของโรงพยาบาลรัฐที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ออมขวัญยังคงนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยหล้า หลังจากที่ผ่านการตรวจวินิจฉัยโรคมาทั้งวัน เธอถูกจับให้นอนบนเตียงรถเข็น แล้วก็ถูกเข็นไปเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนมาจบที่เตียงนอนที่มีสายน้ำเกลือและอุปกรณ์การแพทย์ห้อยโยงไว้ข้างหัวเตียง
เธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอก็ไม่รู้ อาจเพราะฤทธิ์ของยานอนหลับ หรือจริง ๆ แล้วร่างกายของเธอเหนื่อยล้าจนไม่ไหวแล้วจริง ๆ
เธอทนทรมานกับอาการปวดหัวมานาน แต่ก็คิดว่ามันเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดาทั่วไป กินยา นอนพัก เดี๋ยวก็หาย โดยไม่เคยคิดและสงสัยเลยว่า บางอย่างข้างในนั้นกำลังก่อตัวขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน จนในที่สุด เธอก็ทนกับอาการปวดหัวอีกต่อไปไม่ไหว เมื่อมันมาถึงขั้นรุนแรงจนทำให้เธอถึงกับหมดสติล้มพับไปในขณะที่กำลังสอนหนังสืออยู่ จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
"เราเจอกันอีกแล้ว"
เธอกล่าวทักทายชายหนุ่มตรงหน้าของเธอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
"คุณพูดกับผมเหรอครับ"
เขาส่งยิ้มออกไปพร้อมกับถามเพื่อให้แน่ใจ
"ใช่ค่ะ โอ๊ะ ขอโทษด้วย นั่นคุณ เอ่อ ขอโทษนะคะที่ฉันเสียมารยาท ฉันคิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเมื่อไหร่ ฉันอาจจำคนผิด"
"ผมก็คิดว่าเสียงของคุณคุ้นหูเหมือนกัน"
"คุณ เอ่อ"
บัลเล่ต์
"คุณออมขวัญตื่นมาทานยาก่อนนะคะ"
เสียงของพยาบาลสาวดังแทรกเข้ามา ปลุกออมขวัญให้ตื่นขึ้นมากินยาตามเวลา ทำให้ออมขวัญต้องตื่นขึ้นมาจากความฝัน เธองัวเงียลืมตาขึ้นมามองรอบ ๆ ห้องแล้วยิ้มให้กับคุณพยาบาลสาวที่กำลังช่วยปรับเตียงและประคองให้เธอยันตัวขึ้นมานั่งเพื่อรับยาจากในถาดยาตรงหน้าแล้วหยิบขึ้นมากลืนลงคอไปตามที่พยาบาลจัดเตรียมไว้ให้
"ขอบคุณค่ะ" ออมขวัญกินยาเสร็จแล้วก็เอนตัวลงไปนอนตามเดิม
เมื่ออยู่ตามลำพัง เธอก็อดคิดถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมานั้นไม่ได้เลยจริง ๆ
"แค่ฝันไปเหรอเนี้ย ทำไมรู้สึกคุ้นหน้ากับเขาจัง" เธอยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง
1
"ไม่อยากคิดต่อเลยว่า ถ้าคุณพยาบาลไม่มาปลุกให้ตื่นเสียก่อน ฉันจะถามอะไรเขาต่อ เขาเป็นใคร แล้วชื่ออะไร เราจะคุยเรื่องอะไรกันต่อดีนะ"
ออมขวัญยังจำภาพเขาคนนั้นได้ติดตา แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน
"คิดถึงเด็ก ๆ ที่โรงเรียนจัง ป่านนี้จะมีใครถามถึงฉันบ้างไหมนะ " พลันน้ำตาของเธอก็ไหลอาบสองข้างแก้ม
คอสมอส
ออมขวัญครูสาวแสนสวยอายุยี่สิบแปดปี เธอยังมีอนาคตอีกยาวไกล เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา เป็นคุณครูที่เด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายต่างก็รักในความใจดีของเธอ
เธอรักในอาชีพข้าราชการครูของเธอ และยังจำวันที่สอบติดครู สีหน้าของพ่อกับแม่ที่มองลูกสาวด้วยความภูมิใจในวันนั้น ถึงวันนี้ความภูมิใจในความเป็นครูยังเต็มล้นในหัวใจ
ช่วงเวลาที่มีเด็ก ๆ วิ่งเข้ามาหามาห้อมล้อมกางแขนอ้าให้เธอโอบกอดพร้อมกับเสียงเล็กเสียงน้อยที่คอยเจื้อยแจ้วฟ้องคุณครูว่าถูกเพื่อนแกล้ง
"ครูออมขา ชานนท์แกล้งน้องนิดค่ะ"
น้องนิดเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารัก แก้มใสจนออกสีแดงระเรื่อเมื่อเธอร้องไห้ และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้ชานนท์ชอบแกล้งเธอ เพราะชอบที่เห็นน้องนิดแก้มแดง
เธอกอดแขนครูสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
"ชานนท์แกล้งน้องนิดยังไง ไหนเล่าให้ครูฟังสิคะ"
"ชานนท์หยิกแก้มน้องนิด แล้วหัวเราะค่ะ"
"น้องนิดเจ็บไหมคะ ไหนให้ครูดูสิ มีแผลหรือเปล่า ก็มีแต่แก้มขาว ๆ ยุ้ย ๆ นะที่ครูเห็น"
"ไม่เจ็บแล้วค่ะ แต่น้องนิดไม่ชอบให้ชานนท์มาแกล้ง"
"ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวครูไปเรียกชานนท์มาขอโทษน้องนิดนะคะ"
"ไม่เอาค่ะครู ไม่ให้ชานนท์มาใกล้ น้องนิดไม่ชอบ"
"อ้าว แล้วน้องนิดจะให้ครูทำยังไงคะ"
"ขอน้องนิดอยู่ใกล้ ๆ ครูออมนะคะ"
เธอประคองหน้าลูกศิษย์ตัวน้อยที่ช่างเจรจา แล้วเช็ดคราบน้ำตาออกจากดวงหน้านั้นอย่างเบามือ
แม้จะรู้ความจริงว่าชานนท์ก็เจ็บตัวไปไม่น้อย เพราะถูกน้องนิดหยิกแขนคืนไปหลายทีแล้ว
หลังจากที่ออมขวัญพักรักษาตัวจนคุณอาหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปพักที่บ้านต่อ
เธอก็ต้องลาออกจากการเป็นครู อาชีพที่เธอรัก เพื่อเข้ากระบวนการรักษาตามขั้นตอนที่อาหมอของเธอได้แจ้งไว้
"แม่คะ พ่อคะ ออมมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว เราอย่าเสียเวลาเสียใจกันเลยนะคะ"
"ยังไงพ่อกับแม่ก็ต้องให้อาหมอหาวิธีรักษาลูกให้ได้ ออมสู้นะลูก"
"ค่ะแม่ แม้จะมีโอกาสแค่สองเปอร์เซ็นต์ ออมก็สู้ค่ะ"
ออมขวัญรู้ชะตากรรมของตัวเองดีว่าเวลาบนโลกนี้ของเธอเหลือไม่มากแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจะมาทำตัวอ่อนแอให้พ่อกับแม่เสียใจมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ในเวลาหกเดือนก่อนที่อาหมอจะทำการรักษาให้เธอด้วยวิธีการผ่าตัดที่มีทางรอดแค่สองเปอร์เซ็นต์นั้น
แม้จะเป็นเวลาแค่น้อยนิด แต่ก็น่าจะมากพอที่เธอกับครอบครัวจะได้ใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขด้วยกัน
"แม่จำได้ไหมคะ ออมอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เด็ก ออมชอบวาดรูป ชอบงานฝีมือ และก็อยากแต่งบทกวี ออมฝันมาตลอดว่าอยากเป็นนักเขียน มีหนังสือเป็นของตัวเอง ก่อนที่ออมจะจากโลกนี้ไป เรามาช่วยกันทำบางสิ่งที่สวยงามไว้ด้วยกันนะคะแม่"
"จำได้สิลูก จำได้สิ ออมได้รางวัลงานประกวดวาดภาพระบายสีมาตั้งแต่วัยประถม ออมเป็นความภูมิใจของพ่อกับแม่นะลูก"
"พ่อละคะ อยากวาดรูปด้วยกันไหมคะ"
"ออมอยากทำอะไร อยากไปไหน พ่อจะทำด้วยทุกอย่าง พ่อจะพาไปทุกที่เลยลูก"
"ขอบคุณค่ะพ่อ ออมอยากอยู่บ้าน อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่อยากให้พ่อกับแม่คลาดสายตาเลยแม้สักวินาทีเดียว"
"ตกลงจ๊ะลูกรัก"
"พ่อคะ แม่คะ สัญญากันก่อนว่าเราจะไม่ร้องไห้ เราจะช่วยกันสร้าง เราจะมีความสุข เราจะมีงานเฉลิมฉลองทุกวัน สัญญานะคะ"
ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างก็สุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ได้แต่พยักหน้าแล้วกอดกันร้องไห้เงียบ ๆ
เพราะนี่คือสิ่งที่ออมขวัญลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาร้องขอในช่วงเวลาที่มีเส้นตายแค่หกเดือน
กรุงเทพมหานคร
นักเต้นบัลเล่ต์
"คุณมีโอกาสที่จะกลับมามองเห็นนะครับ เพียงแต่ …"
"เพียงแต่อะไรเหรอครับคุณหมอ"
"ต้องรอให้มีผู้บริจาคเข้ามา และหมอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเมื่อไหร่"
"ขอบคุณครับคุณหมอ แค่รู้ว่า ผมมีโอกาสกลับมามองเห็นได้อีกครั้งผมก็ดีใจแล้วครับ"
"กำลังใจ และความหวังคือสิ่งที่ผมมีให้คุณได้ในตอนนี้ และในระหว่างที่รอให้มีผู้บริจาค คุณโอบคุณรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงนะครับ"
"ครับคุณหมอ ผมสัญญาขอบคุณครับ"
โอบคุณ ชายหนุ่มในวัยยี่สิบแปดปี เขาสูญเสียการมองเห็นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวัยเด็ก และเขาคิดเสมอมาว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีคุณหมอที่ไหนให้ความหวังแก่เขาเลย วันนี้เขาได้ยินกับหูตัวเองว่าเขามีโอกาสกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แค่ต้องรอเวลา แค่นี้ก็ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว
หลังจากที่โอบคุณได้รับอุบัติเหตุสูญเสียการมองเห็น เขาต้องหยุดเรียนภาคปกติแล้วปรับตัวใหม่ ไปเรียนโรงเรียนสำหรับคนตาบอดแทน
แม้ในช่วงแรกจะเป็นการยากลำบากที่สุดในชีวิต แต่ในที่สุดเขาก็ปรับตัวได้ และสนุกกับการเรียน เขียน อ่าน อักษรเบรลล์จนชำนาญ
โอบคุณชอบฟังหนังสือเสียง เขาเรียนรู้ทุกอย่างผ่านการฟัง และยังชอบอ่านบทกวี อ่านงานวรรณกรรมแปลของต่างประเทศ เช่นผลงานของเพลโต และเฮเกล ที่เนื้อหาของหนังสือเป็นเรื่องของปรัซญา บทกวี แนวคิดที่แปลก ช่วยให้การเรียนรู้ของเขาสนุกน่าตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อจนเกินไป
ตัวเขาเองก็แต่งนิทาน นิยาย เขียนหนังสือเป็นงานประจำ
ถึงแม้เขาจะสูญเสียดวงตา แต่จิตวิญญาณของเขายังไม่แตกสลาย เขามีอาชีพมีรายได้เหมือนคนปกติทั่วไป โดยได้รับความช่วยเหลือจากป้าของเขา
โอบคุณอาศัยอยู่กับป้านาง พี่สาวของแม่ ที่เป็นแม่หม้าย สามีของเธอก็จากไปกับอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นเดียวกับพ่อแม่ของโอบคุณ
และเธอก็เลี้ยงดูโอบคุณอย่างดีมาตลอด
"ป้านางอย่าร้องไห้สิครับ"
"รู้ได้ยังไงว่าป้าร้องไห้ ตายังมองไม่เห็นสักหน่อย"
"ผมได้ยินเสียงสะอื้นของป้านางนะครับ"
"ก็ป้าดีใจนี่นา ป้ารอวันที่จะมีคุณหมอพูดคำนี้มากี่ปีแล้วโอบรู้ไหม"
"ครับป้านาง ผมก็ดีใจ"
"ป้าอยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ เหลือเกินโอบ"
เชียงใหม่
ออมขวัญแกลลอรี่
นักเต้นบัลเล่ต์
คุณพงษ์ ไพบูลย์ พ่อของออมขวัญกำลังขมักเขม้นกับการคุมงานให้ช่างช่วยจัดแต่งพื้นที่ด้านล่างของบ้านให้เป็นห้องทำงานสำหรับศิลปินหน้าใหม่ภายใต้ชื่อ 'ออมขวัญแกลลอรี่' ต่างช่วยกันจัดโต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สำหรับวาดรูปอื่น ๆ ตามที่ออมขวัญต้องการ
และเพิ่มพื้นที่ขยายออกมาด้านข้างของบ้านที่ตกแต่งให้เป็นสวนดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ ปรับให้เป็นแกลลอรี่ สำหรับโชว์ผลงานภาพวาดจากฝีมือของออมขวัญ
แม่ของเธอออกแบบจัดสวนรอบ ๆ บริเวณบ้านให้ร่มรื่นน่าอยู่มากขึ้น เมื่อมองออกมาจากห้องกระจกด้านใน จะเห็นทั้งไม้ดอกและไม้ประดับสีเขียวสบายตา ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย เหมาะกับการทำงานและพักผ่อน
"สวยจังเลยค่ะแม่ ดูไปก็เหมือนเรานั่งอยู่ในคาเฟ่แกลลอรี่เลยนะคะ ออมชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลยค่ะ"
"อยากให้มีดอกไม้เพิ่มอีกไหมลูก"
"พอแล้วค่ะแม่ แค่นี้กำลังดี สวยแล้ว ขอแค่ให้กุหลาบออกดอกก็พอค่ะ"
"จ๊ะ แม่จะเนรมิตให้กุหลาบทุกต้นออกดอก"
"ขอบคุณค่ะแม่"
"วันนี้วาดรูปอะไรบ้าง ขอแม่ดูสิ"
"ก็รูปวิวทั่วไป แล้วก็สเก็ตภาพตอนที่พ่อกับแม่ทำงานไว้ด้วยค่ะ"
"แล้วภาพนี้ละ ใครกัน"
"ออมก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ว่าเขาเป็นใคร แค่อยากวาดออกมาค่ะ"
รอยยิ้มบางผุดขึ้นมาบนใบหน้าขาวซีดของออมขวัญ แต่ในใจของเธอนั้นกลับรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกที่ทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบ ยามเมื่อได้คิดถึงผู้ชายคนนั้นที่เจอกันแค่ในความฝัน
"คุณมองไม่เห็น ฉันขอโทษนะคะ"
"ครับ ไม่เป็นไร แต่ผมรับรู้ได้ว่าคุณต้องเป็นคนสวยและน่ารักมากทีเดียว"
"ทำไมคุณคิดอย่างนั้นคะ"
"คุณเข้ามาทักทายคนตาบอดอย่างผม แถมยังบอกว่าเคยรู้จัก และชวนผมคุย ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน"
"อ๋อ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกคะ ฉันแค่อยากจะทำความรู้จัก อยากทักทายทุกคนที่เดินผ่านกันไปมา ฉันอยากมีช่วงเวลาดี ๆ อยากจดจำเรื่องราวดี ๆ ให้ได้มากที่สุด"
"ตรึดดดดด ๆ ๆ" เสียงนาฬิกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียงดังขึ้นมาปลุกให้ออมขวัญต้องจากเขามาโดยไม่ทันได้ร่ำลากันอีกแล้ว
"เช้าแล้วเหรอเนี้ย ถ้านอนต่อจะฝันต่อเนื่องไหมนะ"
เธอเอื้อมมือไปคว้าเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วปิดเสียงแจ้งเตือนการปลุกไป
"ไม่น่าปลุกตอนนี้เลย กำลังคุยกันสนุก ๆ แถมยังไม่ได้ถามชื่อกันเลย ดีนะที่ยังเป็นคนเดิม แต่เขามองไม่เห็นนี่สิ น่าสงสารจัง"
ออมขวัญนั่งมองรูปชายหนุ่มที่เธอเพิ่งวาดเส้นไล่เฉดสีลงไปในแววตาคู่นั้น
"ถ้าเขามองเห็น ถ้าเขาถอดแว่นตาดำนั้นออก ดวงตาของเขาจะสวยประมาณไหนนะ"
เธอวางมือลงไปที่ใบหน้าของภาพวาดอย่างรักใคร่ แล้วยกขึ้นมาจับที่ใบหน้าของตัวเอง
"ไม่รู้จะได้เจอกันอีกไหม ถ้าเจอกันอีกครั้ง เขาจะจำฉันได้หรือเปล่า แค่ในความฝัน ก็ยังดี"
เธอพึมพำกับตัวเองด้วยความเขินอาย โดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนมองมาด้วยความเอ็นดู
อิ่มบุญยืนมองลูกสาวของเธอสักพักแล้วจึงเดินเข้ามาทัก
"ใส่แว่นตาดำก็ดูเท่ดี ไม่ใส่แว่นก็หล่อไม่เบาเลยนะเนี้ย"
1
แม่ของเธอเอ่ยปากชมทันทีที่เห็นภาพวาดของชายหนุ่มในรูป จากที่วันก่อนเขายังใส่แว่นตาดำ ทำหน้านิ่ง ๆ แต่วันนี้ออมขวัญแก้ไขให้เขามีดวงตาที่ส่องประกายและเพิ่มรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากหยักเป็นรูปกระจับรับกับใบหน้าคมเข้ม
"แบบนี้แม่ชอบไหมคะ ออมอยากให้เขามีรอยยิ้ม แล้วก็ต้องเป็นยิ้มที่ส่งออกมาจากแววตาด้วย ออมเลยลบรูปแว่นตาดำออก"
1
"แม่ว่าเขาดูสดใสขึ้นเยอะเลยลูก ยิ้มจากใจ ใสกระจ่างบนแววตา เหมือนความสุขนั้นก็ส่งมาถึงเราด้วยใช่ไหม"
1
"ใช่ค่ะแม่ รอยยิ้มเหมือนโรคติดต่อ เวลาที่เรายิ้มให้ใคร อีกฝ่ายมักจะยิ้มตอบกลับมาให้เราด้วยเช่นกันเสมอ"
1
สองแม่ลูกกอดกันมองภาพวาดของชายหนุ่มนิรนามตรงหน้าเหมือนว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
"คุยอะไรกันสาว ๆ"
พ่อของเธอเดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับเอ่ยปากชมผลงานชิ้นโปรดของออมขวัญ
"รูปหล่อเชียว ออมอยากให้พ่อเอาภาพนี้จัดวางตรงมุมไหนดีลูก"
ออมขวัญคลายอ้อมกอดจากแม่ของเธอ แล้วมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
"ยังค่ะพ่อ ภาพนี้ออมยังวาดไม่เสร็จ อาจต้องแก้ไขเพิ่มอีกนิดหน่อยค่ะ"
คนในความฝัน เราเจอกันอีกแล้วนะ
ชายหนุ่ม และหญิงสาว
ณ จุดนัดพบ ที่ใต้ต้นชมพูพันทิพย์ ที่กำลังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น และร่วงโรยพรมลงบนพื้นจนรอบ ๆ โคนต้นกลายเป็นสีชมพูเช่นเดียวกัน บนสนามหญ้าเขียวขจีมีม้านั่งยาววางคู่กันและชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันสวมแว่นตาดำ พร้อมกับไม้เท้านำทางคนตาบอดของเขาวางอยู่ข้าง ๆ ตัวทางด้านขวามือ
"ของขวัญค่ะ" เธอยื่นกล่องของขวัญใบเล็กลายดวงดาว ผูกโบว์สีฟ้าเข้มไปตรงหน้าของเขา
"ให้ผมเหรอครับ เนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ" เขายังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม และไม่ยอมรับกล่องใบนั้น แต่กลับตั้งคำถามกับเธอ
"ค่ะ ฉันให้คุณ แค่อยากให้"
เธอยืนยันในสิ่งที่เธอตั้งใจ พร้อมทั้งถือวิสาสะจับมือของเขาให้ยื่นมารับกล่องของขวัญ แต่เขากลับปฏิเสธเธอไปเป็นครั้งที่สอง
"ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ"
"รับไว้เถอะค่ะ ฉันเต็มใจ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนในการสรรหามาให้คุณสักหน่อย นะคะ รับไว้นะคะ"
"ผมเกรงใจ ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาให้คุณเลย"
"ไม่เป็นไรคะ ฉันแน่ใจว่า สักวันคุณต้องได้ใช้สิ่งนี้แน่นอน"
"แล้วผมจะหาของขวัญมาแทนคำขอบคุณนะครับ"
"ค่ะ เมื่อไหร่ก็ได้ ฉันไม่รีบ"
"คุณช่างเป็นคนที่มีจิตใจดี และใจดีกับผมเหลือเกิน ขอบคุณนะครับ กับของขวัญที่คุณนำมามอบให้"
"คุณสัญญากับฉันเป็นการตอบแทนได้ไหมคะ"
"ได้ครับ คุณว่ามาได้เลย"
"คุณต้องดูแล รักษาให้ดี ฉันขอแค่นี้แหละ ตกลงนะ"
"ครับ ตกลงครับ"
"ถ้าอย่างนั้น เรามาทำสัญญากันนะ"
ตรีดดดดดด ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกที่ข้างหัวเตียงดังเข้ามาปลูกออมขวัญให้ตื่นจากความฝันที่แสนหวาน เธอไม่อยากจะตื่นเลย อยากจะนอนต่อแล้วฝันถึงเขาทั้งวัน แต่ก็ต้องฝืนใจตื่นขึ้นมา
"ฝันถึงเขาอีกแล้วเหรอเนี้ย ฝันเป็นตุเป็นตะ เหมือนเป็นแฟนกันอย่างนั้นแหละ เพ้อเจ้อกันไปใหญ่แล้วฉัน"
ออมขวัญบ่นให้กับตัวเองที่ยังคงหลงเพ้อในภาพฝันนั้น
"ว่าแต่ ในความฝันฉันให้ของขวัญอะไรกับเขาไปนะ จำได้แค่ว่า ให้ของขวัญ แต่ไม่รู้ว่าข้างในนั้นคืออะไร ช่างมันเถอะ แค่เขารับไว้ก็ดีแล้ว"
"แม่คะ ออมอยากทำเรื่องบริจาคอวัยวะ ก่อนผ่าตัดแม่ถามอาหมอ ถามข้อมูลได้ไหมคะว่าออมจะทำได้ไหม"
1
"ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จัดการให้นะ"
"ขอบคุณค่ะแม่"
"แม่ขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยนะลูก"
"ค่ะแม่ แม่อนุญาตออมนะ พ่อก็ด้วยนะคะ"
"พ่อเต็มใจลูก ออมอยากทำอะไรอีกไหม"
"ภาพในแกลลอรี่พ่อกับแม่ไม่ต้องเสียดายนะคะ ถ้ามีคนมาขอซื้อ ก็ขายได้เลย ส่วนภาพบนห้องนอน เก็บดี ๆ นะคะ"
"จ๊ะลูก"
"ออมอยากให้อะไรก็ตามที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ ออมก็จะให้ อวัยวะของคนเราก็เช่นกัน เมื่อเราตายไปแล้ว จะเผาทิ้งก็เสียเปล่า ยกให้คนที่เขาต้องการนำไปใช้น่าจะดีกว่าพ่อกับแม่ว่าจริงไหมคะ"
1
เหลือไว้แค่ความทรงจำ และดวงตาคู่นั้น
"และแล้วเวลาที่คุณอาหมอนัดไว้ก็มาถึง พ่อคะแม่คะออมพร้อมแล้วค่ะ"
ออมในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลนอนบนเตียงรอรับการผ่าตัดที่มีโอกาสรอดเพียงแค่สองเปอร์เซ็นต์ แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็พร้อมที่จะเสี่ยง
"พ่อกับแม่รออยู่ตรงนี้นะลูก ออมสบายใจนะ เมื่ออาหมอผ่าตัดเสร็จแล้วออมออกมาเจอพ่อกับแม่นะลูก"
"ค่ะแม่ ฝากดูแลพ่อด้วยนะคะ พ่อคะออมฝากแม่ด้วยนะคะ"
"พ่อสัญญา ออมไม่ต้องห่วงนะลูก อาหมอเก่ง ผ่าตัดแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว"
"ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาออมมีความสุขมาก ได้ทำทุกอย่างที่ฝันไว้แล้ว ทั้งวาดรูป เขียนหนังสือ ได้อยู่บ้านกับพ่อแม่ทั้งวัน ขอบคุณนะคะ ออมรักพ่อกับแม่ที่สุดในโลกเลย ที่จริงออมน่าจะมีแฟนมีลูกเขยมีหลานให้พ่อกับแม่ด้วยบ้านเราจะได้ไม่เหงา แต่ออมก็ยังไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ก็มาป่วยสะก่อน"
ออมขวัญพูดเล่นกับพ่อและแม่ด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าปกติ ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลใด ยังคงพูดคุยถึงความเจ็บป่วย และมองเรื่องการจากไปของเธอเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างก็เตรียมใจมาแล้วสำหรับการผ่าตัดในครั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
ทุกครั้งที่เธอคิดถึงเขาคนนั้น คนในความฝัน รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าของเธอ แม้ว่าจะไม่เคยพบกันเลยสักครั้ง เขาคือรักแรก รักแท้และรักเดียวของเธอ คนที่ทำให้เธอคิดถึงแล้วยิ้มออกมาได้
"ได้เวลาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดแล้วค่ะ" เสียงของพยาบาลแจ้งเตือนเวลาที่ออมต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว
พ่อกับแม่ของเธอได้แต่มองตามรถเข็นไป พร้อมความหวังที่มีแค่สองเปอร์เซ็นต์
"พี่อิ่ม พี่พงษ์ ผมเสียใจ"
ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ออมขวัญจากไปในระหว่างทำการผ่าตัด
1
ในที่สุดโอบคุณก็มองเห็น และเริ่มรู้สึกถึงใครบางคน จนต้องออกตามหา
ดอกไม้และผีเสื้อ
"คุณโอบคุณพร้อมนะครับ"
"ครับคุณหมอ ผมขอให้ป้านางช่วยแกะผ้าปิดตาให้ผมด้วยได้ไหมครับ"
"ครับ เชิญครับ"
"ป้านางครับ โอบพร้อมแล้วครับ"
ป้านางมือสั่นไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งรัก ทั้งตื่นเต้นกับวันนี้ของหลานชาย น้ำตาแห่งความปิติไหลซึมออกจากสองตา จนคุณหมอกับพยาบาลก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มไปทั้งน้ำตาด้วยเช่นกัน
"ให้ผมช่วยนะครับ"
"ขอบคุณค่ะคุณหมอ"
ผมกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากการเสียสละของใครบางคน
ผมเหมือนคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูน่าตื่นเต้น น่าค้นหา แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่เหมือนตอนที่ผมยังเป็นเด็ก
คุณหมอบอกว่าตอนนี้ผมยังต้องปรับตัวอีกสักระยะ แม้ว่าข้างในใจจะบอกกับผมว่าผมพร้อมแล้วที่จะออกไปเผชิญกับโลกกว้าง ผมอยากออกเดินทางไปตามสถานที่สวยงามต่าง ๆ ที่ผมเคยได้ยินได้ฟังและทำได้เพียงแค่จินตนาการถึงมันเท่านั้น
ในตอนนั้นที่ผมรับรู้เรื่องราวผ่านการฟังหนังสือเสียง จากรายการวิทยุ รายการข่าว และพอดแคส แต่ต่อไปนี้ผมสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกเหมือนคนปกติทั่วไป ด้วยสองตาของผมเอง ไม่ต้องใช้ไม้เท้านำทาง ไม่ต้องใส่แว่นตาดำเพื่อปกปิดดวงตาที่มืดบอดอีกแล้ว
สถานที่แรกที่ผมอยากไปคือ ไปพบกับผู้บริจาคดวงตาคู่นี้ให้ผม
ผมอยากตอบแทนน้ำใจที่ยิ่งใหญ่นี้ให้กับครอบครัวของเขา อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร มีอะไรที่ผมพอจะทำให้พวกเขาได้บ้าง
โอบคุณจบการบันทึกเสียงในคลิปวิดีโอด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจ
"สวัสดีครับ ผมขอสอบถามถึงประวัติผู้ที่บริจาคดวงตาให้ผมได้ไหมครับ ขอที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ครับ"
ณ เชียงใหม่
ภาพเงา
"ติ๊งงงงง ๆ ๆ " เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง
อิ่มบุญเดินลงมาจากห้องนอนของออมขวัญ ที่ทุกอย่างยังคงตกแต่งไว้เหมือนเดิม เหมือนตอนที่เธอยังอยู่
"สวัสดีค่ะ มารับภาพที่สั่งไว้ใช่ไหมคะ"
"ครับ สวัสดีครับ ไม่ได้มารับภาพครับ ผมมาตามหาบ้านเลขที่นี้ ผมมาถูกบ้านหรือเปล่าครับ ออมขวัญแกลลอรี่"
โอบคุณยกมือไหว้สวัสดี แนะนำตัวเองอย่างตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็ได้มายืนอยู่ต่อหน้าของผู้มีพระคุณ
เมื่อเขาถอดแว่นตาดำออก และส่งยิ้มให้ อิ่มบุญก็แทบเป็นลมล้มลงไป
 
ดวงตาคู่นั้น รอยยิ้มแบบนั้น
"ใครมาเหรอแม่ เข้าบ้านก่อนสิ"
คุณพงษ์เดินเข้ามาทันได้ประคองภรรยาของตัวเองไว้ก่อนที่เธอจะล้ม
"ให้ผมช่วยนะครับ"
"เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนสิคุณ เป็นใครมาจากไหน มาทำธุระอะไรเหรอครับ"
เมื่อประคองอิ่มบุญเข้ามานั่งพักที่โซฟายาว บริเวณห้องรับแขกในแกลลอรี่แล้ว โอบคุณจึงแนะนำตัวเอง
"สวัสดีครับ ผมชื่อโอบคุณ มาจากกรุงเทพ"
"คุณพักกับเราที่นี่นะคะ" อิ่มบุญที่นั่งมองหน้าโอบคุณมาสักพักรีบชิงพูดออกมาเหมือนกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหน พร้อมกับบีบมือของผู้เป็นสามี
"นั่นสิพ่อหนุ่ม โอบคุณ ใช่ไหม ถ้ายังไม่มีที่พัก คุณก็อยู่กับเราที่นี่ก่อนนะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"เอ่อ ครับ ๆ ขอบคุณครับ ผมอยากมาขอบคุณ"
อิ่มบุญรีบยกมือขึ้นมาห้าม
"ยังไม่ต้องพูดอะไร พักผ่อนให้สบายใจก่อนนะ นี่ก็เย็นมากแล้ว เดินทางมาตั้งไกล หิวไหมเดี๋ยวน้าไปทำกับข้าวมาให้นะ "
อิ่มบุญแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
เธอจัดแจงให้ชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันครั้งแรกนอนในห้องนอนของออมขวัญ แม้แต่สามีของเธอก็ยังแปลกใจ เขาเองก็รู้สึกดีใจที่ได้ต้อนรับชายหนุ่ม
โอบคุณนั่งลงบนเตียงนอนแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องนอนของออมขวัญ รูปถ่ายของเธอที่ติดอยู่ข้างฝาผนังนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาลุกเดินไปมองภาพนั้นใกล้ ๆ วางมือลูบไปตามใบหน้าของเธอ แล้วยิ้มให้อย่างคนคุ้นเคย
"คุณนี่เอง ขอบคุณนะครับ ที่เสียสละดวงตาเพื่อผม"
เขาเดินดูตามตู้วางของและชั้นวางหนังสือแล้วเลือกหยิบเล่มที่เขารู้จักขึ้นมาเปิดอ่าน
"นี่คุณก็ชอบผลงานของเพลโตและเฮเกลด้วยเหมือนกันเหรอเนี้ย"
ในตอนเช้าหลังจากที่ได้รับประทานอาหารเช้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
โอบคุณคิดว่าเขาควรต้องกล่าวคำอำลาผู้มีพระคุณทั้งสองและกลับบ้านได้แล้ว แม้ว่าในใจยังอยากพักอยู่ต่อ แต่ก็คงไม่เหมาะสมนัก
"น้าคิดว่าคุ้นหน้าคุ้นตากับคุณโอบมาก ไม่ใช่แค่แววตาของลูกออม แต่เหมือนว่าน้าเคยเห็นคุณโอบมาก่อน"
"คุณคงคิดถึงลูกออมมากเกินไป พอเห็นใคร ๆ ก็เลยคุ้นหน้าเขาไปหมด"
คุณพงษ์ปลอบใจภรรยาของเขาที่ยังคงเศร้าใจกับการจากไปของออมขวัญ
"คุณโอบอย่าถือสาคนแก่เลยนะ"
โอบคุณกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อิ่มบุญพูดขึ้นมาก่อนอย่างตื่นเต้น
"ต้องใช่แน่ ๆ คุณโอบอย่าเพิ่งไปไหน รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวน้ามา"
1
"ครับคุณน้า"
อิ่มบุญเดินกลับเข้ามา ในมือของเธอมีภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ออมขวัญวาดเอาไว้และไม่อนุญาตให้นำไปวางที่แกลลอรี่
"ออมวาดภาพนี้ไว้ และบอกให้เก็บไว้บนห้องนอน ตอนแรกที่ออมวาด คนในรูปนี้เขาสวมแว่นตาดำ ตอนหลังออมเปลี่ยนใจ แก้ภาพให้เขา บอกว่าอยากเห็นเขายิ้ม อยากเห็นรอยยิ้มในตาของเขา"
1
เธอยื่นภาพใบนั้นให้โอบคุณ เขารับภาพนั้นมาทั้งน้ำตา
1
ภาพใบหน้าหล่อคมเข้มของโอบคุณที่มีแววตาใสสุกสกาวของออมขวัญ
พร้อมกับข้อความที่เธอเขียนไว้ใต้ภาพนั้น
1
"หัวใจสองดวงพบกันยามค่ำคืน หลงรักปานจะกลืน แม้ไม่เคยพบหน้า"
1
ดัดแปลงจากเรื่องราวความรักแท้ ของลินดา เบอร์ทิซ
ปาฏิหาริย์แห่งรัก
ผีเสื้อและดอกไม้
ข้อมูลเพิ่มเติม :
อักษรเบรลล์ คือ
ไม้เท้าช่วยนำทางคนตาบอด คือ
เฮเกล คือใคร
การบริจาคอวัยวะ คือ
เนื้องอกสมอง คือ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา