Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
arti.s(in the room)
•
ติดตาม
17 มี.ค. 2023 เวลา 13:30 • นิยาย เรื่องสั้น
อาจเป็นเพราะฉันกอดแมว ตอนที่ 2 (นิยายยูริ)
friendliest sound i ever heard
ตีสอง...ช่วงเวลาแห่งความหลากหลายทางอารมณ์ ฉันนอนมองเพดานห้องท่ามกลางความมืดกินเวลากว่าชั่วโมง เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงนาฬิกาติดผนังทำงานคลอความเงียบ แม้ใจจะต้องการชัตดาวน์ร่างกายมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้สักที มันเป็นเช่นนี้แทบทุกคืน
ตีสอง…เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่ซื่อตรงกับตัวเองมากที่สุด สี่ห้องหัวใจของคนเรานั้นคล้ายห้องแห่งความลับ กักเก็บภาพความทรงจำต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งเรื่องดี ทั้งเรื่องร้าย ถูกพับเก็บไว้อย่างมิดชิด แม้กระทั่งเรื่องที่มันโหดร้ายต่อความรู้สึก เราไม่เคยโยนมันทิ้งไปได้อย่างที่ปากพูด และไอ้ความรู้สึกร้ายกาจเหล่านั้น มันมักจะอาศัยช่วงเวลาที่เราสงบนิ่ง กรีดกรายออกมาเพ่นพ่าน ก่อกวนจนหน่วงใจ พาลให้นอนไม่หลับอยู่ร่ำไป
ฉันพยายามทำตามทุกวิธีที่เขารีวิวกันในอินเตอร์เน็ต วิธีไหนที่คนคอมเม้นท์ว่าได้ผลดี ลองเอามาปรับใช้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ดื่มชาคาโมมายล์ ฟังเพลงบรรเลง และพยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งมันไม่เคยได้ผลอย่างที่ใจหวัง ฉันยังคงนอนพลิกตัวไปมา ปล่อยความคิดวุ่นวายให้ตีกันในหัวจนเผลอหลับไปเองตอนเกือบตีสี่ และแบกความเบลอเข้าออฟฟิศไปทำงาน
ประเด็นสำคัญคือฉันไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับนั้นมาจากอะไร หากถามหาความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ฉันตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้ฉันใช้โหมดความรู้สึกไหนดำเนินชีวิต มันไม่เศร้า ไม่สนุก ไม่ได้มีความสุข จะเรียกว่าว่างเปล่า ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก มันเป็นเหมือนวันที่อากาศครึ้ม ก้อนเมฆตั้งเค้าเป็นสีเทา ลมพัดเอื่อยเฉื่อย มีแสงแดดโผล่มาแบบรำไร ไม่ถึงกับฝนตก มันเป็นอะไรที่แบบครึ่งๆ กลางๆ ใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ ฉันถึงตั้งคำจำกัดความไม่ได้
มิ้ว มิ้ว~ เสียงชัดแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าจิ๋ว ฉันหยิบมือถือเปิดโหมดไฟฉายแล้วลุกขึ้นมองหาตัวแมวน้อย “หึ จิ๋วเอ๊ย~” ฉันเอ็นดูแมวเด็กตัวนี้เสียเหลือเกิน มิ้ว~ น้องพยายามหอบพุงป่องตะเกียกตะกายชายผ้าห่มขึ้นเตียง กำลังแขนที่มีน้อยกว่าพุง ทำให้เกาะเนื้อผ้าไว้ไม่ไหว ลื่นแพรดซ้ำไปซ้ำมา เมี้ยว~ เสียงร้องเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ หากมีวุ้นแปลภาษา ใจความในเสียงเหมียวคงกำลังบ่นมนุษย์ที่มัวแต่นั่งยิ้มบนเตียง ไม่ยอมยื่นแขนมาช่วยสักที
มิ้ว~ เมี๊Z@#$#%&+Z<%~
“โอ๊ยใจเย็นสิแมว พี่กำลังลุกไปช่วยอยู่” เสียงร้องที่เปร่งออกมาไม่หยุดหย่อนนั่น ทำเอาฉันรู้สึกผิด “ไงจิ๋ว คิดถึงแม่อีกแล้วหรอ? ” ทันทีที่ฉันอุ้มขึ้นมากอด เจ้าจิ๋วก็รีบเอาหัวซุกถูไถออดอ้อนทันที คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ต้องนอกกกให้ความอุ่นแก่แมวกำพร้าตัวนี้ ฉันวางเจ้าจิ๋วบนหมอนด้านข้าง หวังว่าความนุ่มจะทำให้น้องหลับสบาย แมวเด็กเดินวนหาท่าที่เหมาะแก่การทิ้งตัว ไม่รู้ว่าจะเดินวนหลายรอบทำไม เพราะสุดท้ายก็นอนขดตัวกลมเป็นลูกบอลเหมือนเดิม
ฉันขยับหมอนใบที่มีแมวเด็กเข้าใกล้ลำตัว เพื่อที่จะได้นอนกกแบ่งปันความอุ่นได้ถนัด ปลายนิ้วทั้งห้าขยับลูบไล้ขนสีขาวตุ่นกล่อมเกลา ในขณะที่พยายามถ่ายเทความรู้สึกปลอดภัยเหมือนที่แม่แมวพึงกระทำ ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างส่งผ่านกลับมา เสียงสั่นในลำคอแมวซึ่งฟังแล้วคล้ายเสียงกรน ไม่หนักแน่นน่ารำคาญ แต่เสียงนั้นเป็นมิตรต่อหูทั้งสองข้าง ฟังแล้วรู้เลยว่า เจ้าจิ๋วกำลังโบยบินเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งการหลับฝันดี
สบายใจ… การที่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถในการกล่อมแมว มันช่างสบายใจเสียจริง ไม่รู้ว่าคนเลี้ยงแมวบ้านอื่นรู้สึกถึงข้อนี้ไหม แต่สำหรับฉัน การที่ได้เห็นเจ้าจิ๋วนอนหลับตาพริ้ม และเปร่งเสียงเพอร์ยามหายใจเข้าออกข้างกัน มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย สารภาพตามตรง ตอนนี้ฉันกำลังถูกความง่วงเกาะกินรอบดวงตา อาจเป็นเพราะถูกคลื่นเสียงในลำคอจิ๋วกล่อม มือที่ใช้ลูบเปลี่ยนเป็นโอบรอบลำตัว อืม...จะว่าไป กอดแมวมันก็อุ่นเหมือนกัน ฝันดีนะจิ๋ว~
สถานีรถไฟฟ้า
08 : 15 พี่ข้าวหอมนัดฉันที่สถานีรถไฟใกล้ออฟฟิศ วันนี้เป็นวันแสดงงานคอนเสิร์ตรวมนักร้องเพลงรัก ประตูจะเริ่มเปิดให้ผู้คนเข้าชม 5 โมงเย็น แต่สำหรับเบื้องหลัง พนักงานส่วนใหญ่จะต้องไปจัดการเช็คระบบทุกอย่างล่วงหน้า ก่อนงานเริ่มหลายชั่วโมง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันวิ่งหน้าตาเหรอหรามาให้ทันเวลานัด เพราะต้องเอารถไปจอดที่ออฟฟิศ และเดินข้ามถนนมาสถานีรถไฟแห่งนี้
ถามว่าทำไมไม่ขับรถไปล่ะ? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ยอมเอ่ยปากเสนอตอนที่พี่ข้าวหอมโทรมานัด ได้แต่ตอบค่ะ รับฟังแผนงานและหน้าที่ไปจนสิ้นสุดบทสนทนา ฉันไม่ใช่พวกรักสบาย หรือเป็นคุณหนูแบบที่ใครหลายคนชอบนินทา เรื่องการใช้ขนส่งสาธารณะแค่นี้สบายมาก อีกอย่าง การก้าวบันไดขั้นสุดท้ายมาเจอ ใบหน้าง่วงงุนกำลังดูดกาแฟอึกใหญ่ ฉันว่ามันก็เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่น่ารักดีนะ
“มอนิ่งค่ะพี่ข้าว” ฉันฉีกยิ้มกว้างขัดจังหวะดูดกาแฟของพี่ข้าวหอม
“อ้าวพาย อือ มอนิ่ง อะนี่ พี่ซื้อบัตรขึ้นรถไฟไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่ข้าว” ฉันยื่นมือไปรับไว้ ปลายนิ้วเราเฉียดกันนิดหน่อย พี่ข้าวหอมเดินนำหน้าเข้าสู่ชานชาลา ส่วนฉันกระชับกระเป๋าเดินตามอย่างเงียบๆ
นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในเมืองแบบนี้ น่าจะตั้งแต่คุณพ่อซื้อรถให้ขับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เพราะมันไปไหนมาไหนสะดวกกว่ากันเยอะ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้กลับมายืนเกาะราวรถไฟอีกครั้ง และดูเหมือนว่าสกิลการทรงตัวของฉันจะไม่ค่อยดีเท่าไร ยืนโงนเงนคล้ายคนเมา รถไฟเข้าโค้งทีก็ถลาไปตามแรงเหวี่ยงที ช่างแตกต่างจากคนอื่นในขบวนเสียจริง
“จับแขนพี่ก็ได้นะ” พี่ข้าวหอมหันมายื่นข้อเสนอ มุมปากติดอมยิ้ม คงนึกขันเด็กเงอะงะที่ทรงตัวไม่อยู่มากสินะ ถามว่าอายไหม? ก็ไม่.. คนอย่างพายไม่มามัวอายอะไรแบบนี้หรอก
“อ เอ่อ ขอบคุณค่ะพี่ข้าว” สิ่งที่ควรทำคือรับข้อเสนอนั่นมากอดไว้ ฉันเขยิบตัวเข้าไปใกล้ แล้วคว้าแขนพี่ข้าวมาเกาะจนแน่น นอกจากเจ้าจิ๋วที่ได้รับความใจดีไปครอง ยังมีฉันอีกหนึ่งคนที่ควรนับเพิ่มไปด้วย ถึงแม้ว่าความสูงและขนาดตัวของพี่ข้าวจะเล็กกว่าฉันอยู่เป็นคืบ แต่ความเอื้อเฟื้อต่อเด็กฝึกงานนั้นช่างใหญ่เกินตัวไปไกลเลย
“ไม่ค่อยได้ขึ้นรถไฟหรอเรา? ” ริมฝีปากบางเปร่งเสียงนุ่มเอ่ยถามอย่างราบเรียบ ฉันชอบที่พี่เขาเรียก “เรา” มากกว่าคำว่า “คุณ” และคำเรียกแทนตัวเองว่า “พี่” มันน่าฟังกว่าคำว่า “ฉัน” เยอะเลย ใบหน้านิ่งผินมองวิวตึกรามบ้านช่องนอกรถไฟ หรือไม่ก็มองก้อนเมฆขยุกขยุยล่องลอยประดับบนท้องฟ้า ฉันเข้าใจดี โลกนี้มันไม่ได้มีแค่เราสองคน บนขบวนรถไฟยังมีผู้คนร่วมเดินทางอีกเป็นสิบ หนาแน่นเสียจนไม่รู้ว่าควรเอาสายตาไปแช่ตรงไหนถึงจะไม่เสียมารยาท
“ค่ะ ตั้งแต่เรียนจบม.ปลาย พายแทบจะไม่ได้ขึ้นเลย” ถ้าไม่ได้รู้สึกไปเอง ไอ้แรงเขยื้อนเมื่อกี้ น่าจะมาจากการที่พี่ข้าวขยับตัวเข้าหา ไม่น่าใช่แรงเบรคลากยาวของรถไฟ การเกาะแขนจึงลงล็อคและทรงตัวอยู่กับที่ได้ง่ายขึ้น เห็นหน้าพี่เขานิ่งๆ แต่แอบแคร์คนอื่นเก่งเหมือนกันนะ
“ฝึกงานสายอีเว้นท์ งานหนักมากเลยนะ”
“บอกเฉยๆ หรือว่าขู่ให้กลัวคะ? ”
“แล้วเรากลัวหรือเปล่าล่ะ? ” พี่ข้าวหอม อมยิ้ม...หรอ?
“ไม่บอกค่ะ ให้พี่ข้าวคอยดูเอาเอง และถ้าถูกใจ พายขอคะแนนฝึกงานเต็มร้อยนะ”
“เต็มร้อยเลยหรอ? มั่นใจไปหรือเปล่าเราน่ะ”
ฉันได้ยินเสียงหึผ่านประโยคออกมา คงมองว่าเด็กอย่างฉันนุ่มนิ่ม ไม่ทนทานกับงานลุยๆ ล่ะสิ เดี๋ยวคอยดูเลยพี่ข้าว พายจะทำให้พี่ลบภาพลูกคุณหนูไปให้หมด งานแบกหาม ใช้แรง หรือต้องอดหลับอดนอน พายทำมันได้ทั้งหมดนั่นแหละ …
Parazon Hall
ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง คราคร่ำไปด้วยสตาฟใส่เสื้อสีทึบ บางกลุ่มแบกกล่องสายไฟ บางกลุ่มแบกเครื่องดนตรี ทั้งสองสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเวที ข้าวห้อมรับ floor plan ทั้งหมดของงานมาจากพิชชาพร ใบหน้าง่วงงุนหายเกลี้ยงเมื่อกาแฟดีดเต็มที่ คนอายุมากกว่าชี้นิ้วนับดวงไฟที่ติดตั้งบนเวที ประกอบกับจิ้มนับกับแพลนในมือกันพลาดไปด้วย
ตั้งแต่ก้าวเข้างานมา ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ข้าวหอมจดจ่ออยู่แต่กับเอกสารในมือ เดินเช็คระบบไฟ เดินเช็คสตาฟประจำจุด เช็คทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ผิดแผนเกิดขึ้น “ อ่า มุมนี้ครบ” เด็กฝึกงานคนใหม่โดนลากไปมุมนู้นที มุมนี้ที “เอ๋ แปลกๆ หรือเปล่านะ อือ ไม่หรอก” ข้าวหอมถามเองและตอบเอง เล่นเอาพิชชาพรทำความเข้าใจแทบไม่ทัน ได้แต่ก้มดูเอกสารในมือ ในเวลาที่คนอายุมากกว่าใช้นิ้วจิ้มและงึมงัมในลำคอ
“พาย ขึ้นไปเช็คบนเวทีกัน! ”
คนอายุน้อยกว่าสับขาตามไม่ทัน ทำให้ข้าวหอมต้องหันไปตะโกนเรียก โชคดีที่วันนี้พิชชาพรใส่กางเกงยีนส์ขาวยาวกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวมาทำงาน ไม่ใช่ชุดนักศึกษากระโปรงบาน การวิ่งร่นระยะห่างเข้าไปหาข้าวหอม จึงทำได้อย่างทะมัดทะแมง
เวทีขนาดใหญ่กลางฮอลล์ตั้งเด่นท่ามกลางที่นั่งนับพัน จอแอลอีดีด้านบนกำลังถูกเปิดทดลองกราฟิก และแสงสีประกอบการแสดงเล่นสลับโทนควบคู่กันไป จะขาดก็แต่ระบบเสียงที่ตอนนี้เกือบติดตั้งได้ร้อยเปอร์เซ็น ร่างบอบบางของข้าวหอมกระทืบ กระโดดไปบนฟลอร์ เพื่อเช็คความปลอดภัย ก่อนที่นักร้องและนักดนตรีจะมาใช้งานจริง
“ลองกระโดดดูสิ” พี่ข้าวหอมยักยิ้วพยักหน้าเชิญชวน
“หือ? ให้พายกระโดด? ” ฉันทำหน้าฉงน
“อื้อ มากระโดดด้วยกัน”
เวทีขนาดใหญ่มีสองสาวกำลังกระโดดไปทั่วพื้นที่ คล้ายจะเล่น แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง มีสายตาจากเหล่าสตาฟมองมาอย่างขำขัน เพราะปกติ ข้าวหอมจะเซ็ตใบหน้าให้อยู่ในโหมดเย็นชายิ้มยากเสมอ ไม่ค่อยได้มีจังหวะที่ปลดปล่อยความผ่อนคลายออกมาเท่าไร ดูจากเนื้องาน จะเห็นว่าข้าวหอมนั้นแบกความรับผิดชอบไว้เยอะพอสมควร ไหนจะดูแลทีมเซ็ตอัพ ระบบแสงสีเสียง ต้องรับผิดชอบทุกตารางเมตรของงานนั้นๆ
“ทำไมต้องกระโดดด้วยล่ะคะ? ” พิชชาพรหยุดกระทืบฟลอร์ ยืนสูดหายใจเข้าออกด้วยความเหนื่อย ยกมือพัดหน้าไปมาคลายความอบอ้าว ข้าวหอมหยิบห่อทิชชู่อันเล็กออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ แล้วส่งมาให้อีกคนซับเหงื่อ
“จะได้มั่นใจไง เกิดมีศิลปินหรือใครได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เราจ่ายค่ารับผิดชอบบานเลยนะ” ข้าวหอมใช้กระดาษพัดคลายความร้อนบ้าง
“แต่เวทีนี่เราให้ซัพพลายเออร์ทำไม่ใช่หรอคะ? แล้วทำไมเราต้องรับผิดชอบคนเดียวด้วยล่ะ”
“ก็เราเป็นเจ้าของงานนี่ เกิดอะไรขึ้นมา ลูกค้าก็ต้องมาด่าเรา เรียกร้องค่าเสียหายจากเราอยู่แล้ว แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ละก็ เลิกคิดเรื่องงานต่อๆ ไปได้เลย ไม่โดนฟ้องก็บุญแล้ว”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ารับทราบหงึกๆ เธอเข้าใจแล้วว่างานอีเว้นท์นี่มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคือ เรื่องระบบความปลอดภัย สำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่ศิลปินหรือผู้บริหารเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่เป็นทุกคนนับตั้งแต่เด็กยกของ ช่างไฟ แม่บ้าน รวมถึงสตาฟและพนักงานหลัก ข้าวหอมมีการจัดการดูแลอย่างทั่วถึงเหมือนกัน
เรื่องภาพรวมภายในงาน ถือว่าข้าวหอมได้เช็คหมดแล้ว หลังจากบ่ายก็เป็นการส่งไม้ต่อให้พี่แอนนี่ดูแลเหล่าศิลปิน และผู้ใหญ่ของงาน ด้วยบุคลิกภาพที่ข้าวหอมเป็น ไม่เหมาะกับการรับหน้าแขกสักเท่าไร เธอปั้นหน้าเสแสร้งและประจบใครไม่เป็น ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบคนเลียแข้งเลียขาเอาใจเก่ง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หน้าที่นี้จึงตกไปอยู่ที่คนมีศิลปะในการพูดอย่างพี่แอนนี่เต็มตัว
เหวอ~ พลุบ! เสียงร่างคนหล่นกระทบกับพื้นอย่างแรง เด็กฝึกงานคนใหม่สะดุดสายไฟล้มก้นจ้ำเบ้า เสียงซี๊ดซ้าดดังออกมาจากริมฝีปากอวมอิ่มระหว่างที่ยกสองมือที่ใช้ค้ำร่างตัวเองตอนล้มขึ้นมาดู ข้าวหอมส่ายหัวให้กับคนอายุน้อยกว่า กวักมือเรียกสตาฟให้มาจัดการสายไฟที่ไม่เรียบร้อยนี่ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าพิชชาพร แล้วยื่นมือไปช่วยพยุงขึ้นมา
“สะดุดสายไฟหน้าคะมำแบบนี้เนี้ยนะ จะมาเอาร้อยคะแนนเต็ม”
“อุบัติเหตุอะ ไม่นับได้มั้ยละคะ” พิชชาพรตวัดสายตาใส่ตัวต้นเหตุ ที่ต้องล้มก้นจำเบ้าเช่นนี้ เป็นเพราะพยายามก้าวขาให้ทันข้าวหอมนั่นแหละ คนอะไรตัวเล็กกว่าเป็นคืบ แต่ดันเดินไวอย่างกับจรวด แล้วยังมีหน้ามาขำคนอื่น
“ข้อเท้าพลิกหรือเปล่า เดินต่อไหวมั้ย? ”
“ไหวค่ะ พายไม่ได้เจ็บอะไร แต่ว่า...” พิชชาพรนิ่งคิด เพราะไม่รู้ว่าไอ้คำขอร้องที่จะพูด มันดูไม่เหมาะสมกับคนที่พึ่งจะขอร้อยคะแนนเต็มหรือเปล่า การที่เดินไม่ทัน มันก็น่าจะเป็นปัญหาของตัวเธอเอง ไม่ใช่โยนเรื่องนี้ไปใส่ข้าวหอม
“คะ...? ” เสียงใสเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงดีต่อหูแบบนี้ พิชชาพรจึงพูดไป
“อืม...พี่ข้าวเดินช้าๆ หน่อยได้ไหมคะ พายตามไม่ทัน”
“อ่า ขอโทษนะ มันชินไปหน่อยน่ะ ปกติเดินลุยคนเดียวตลอดเลย” ข้าวหอมยกมือขึ้นเกาแก้ม เธอไม่ทันได้สังเกตคนด้านข้างสักเท่าไร พอได้ลุยงานคนเดียวบ่อยๆ มันเลยชินกับการทำอะไรให้กระชับฉับไว “เอาไว้ฉันจะเตือนตัวเองบ่อยๆ นะ ว่ายังมีอีกคนที่อยู่ข้างๆ ” ข้าวหอมผลิยิ้มน้อยๆ
“อ โอเคค่ะ” พิชชาพรรู้สึกเหมือนกับว่า ไอ้ประโยคเมื่อครู่มันดู...เล่นกับใจคนฟังแปลกๆ แต่คงเป็นปกติสำหรับคนพูดน้อยละมั้ง
“รอตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะวิ่งไปเช็คในห้องรับรองแป๊บเดียวเดี๋ยวมา”
ข้าวหอมทิ้งให้พิชชาพรนั่งรอบนเก้าอี้ตัวหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากเวที นี่จึงเป็นโอกาสให้เด็กฝึกงานคนใหม่ นั่งสังเกตการทำงานของผู้คนในฮอลล์ เธอกวาดสายตาเก็บรายละเอียดโครงสร้างเวที แม่บ้านที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูตามเก้าอี้ สถานที่แห่งนี้กว้างขวางถึง 5,200 ตารางเมตร ใหญ่โตเสียจนไม่อยากเชื่อว่าคนตัวเล็กๆ อย่างข้าวหอมจะสามารถดูแลทุกอย่างออกมามีคุณภาพได้ขนาดนี้
คนที่กำลังถูกนึกถึงวิ่งๆ เหยาะๆ ออกมาจากโซนห้องรับรอง ผมยาวสีดำสะบัดปัดป่ายไปทางด้านหลัง พาใบหน้าขาวใสมาหยุดตรงหน้า “ปะ กินข้าวกัน หิวหรือยังเราน่ะ? ”
“พี่ข้าวทักปุ๊บ พายหิวปั๊บเลยค่ะ” เด็กอายุน้อยกว่าลูบท้องฉีกยิ้มแป้น
“จะกินร้านไหนเลือกเอาเลย แต่...มีงบอยู่สองร้อยนะ”
“อ เอิ่ม เกริ่นซะเหมือนมีงบล้านห้า ดับฝันด้วย 200 ซะงั้น”
“ทำไงได้ล่ะ งบบริษัทให้มาเท่านี้ ไปกินราเมงสักชามมั้ย เสร็จแล้วพี่จะพาไปเลี้ยงชาไข่มุก”
“จริงนะคะ! งั้นแบบนี้ต้องให้พี่ข้าวเลี้ยงชานมเสือ นะคะ นะนะ พายอยากกินมานานแล้ว ” คนอายุน้อยกว่าสะสมความดีใจไว้เกินเหตุ ทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนมาเกาะแขนเขย่า เหมือนกับตอนร้องขอให้พี่ชายที่บ้านตามใจ คนที่ไม่ค่อยได้สกินชิพกับใครสะดุ้งเฮือก แต่ก็ยกมือเกาแก้มแก้อาการทำตัวไม่ถูก
“อ่า มันก็ได้ล่ะนะ”
“เยสสสส! ขอบคุณค่า ได้ชานมแก้วนี้นะ พายมีแรงทำงานทั้งคืนเล้ย”
“นั่นก็เวอร์ไป จะหลอกให้เลี้ยงบ่อยๆ หรอเราอะ”
คนอายุมากกว่าอมยิ้มส่ายหัวแล้วเดินนำไปร้านราเมงเจ้าประจำ ปล่อยให้พิชชาพรเดินตามมาทีหลัง สำหรับคนอายุน้อยกว่า ที่เห็นใบหน้านิ่งยิ้มยากไม่ค่อยสนใจคนรอบตัวมาหลายวัน การที่ข้าวหอมเอ่ยปากเลี้ยงชาไข่มุก แถมยังยอมให้เลือกร้านที่อยากกินมานาน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์ในการทำงานที่ดี…
สามทุ่ม… งานคอนเสิร์ตใกล้ถึงเวลาสิ้นสุด วงดนตรีปิดท้ายก้าวขึ้นเวทีปุ๊บ เสียงกรี๊ดในฮอลล์ก็ดังกระหึ่ม คล้ายอัดอั้นรอคอยมานาน เพียงแค่นักร้องหน้าหล่อขยับเอื้อนท่อนแรกของเพลงออกมา ทุกคนก็สามารถขยับปากร้องคลอตามไปได้ตลอด เพลงนี้เป็นเพลงดังมาก แต่ไม่ใช่ดังเพราะลำโพงตัวใหญ่บนเวทีนะ มันดังเพราะยอดวิวเกิน 20 ล้าน ในยูทูปต่างหาก
“น้องพายๆ เห็นข้าวไหม? พี่เดินหาทั่วงานไม่เจอเลย วอไปก็ไม่ตอบ” พี่แอนนี่สะกิดเรียก ริมฝีปากแห้ง ใบหน้าเหนื่อยหน่าย คล้ายหมดแรงจากการสนทนากับผู้คน
“เห็นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนะคะ” ฉันรู้เท่าที่บอกพี่แอนนี่ไป แอบสงสัยเหมือนกันว่าพี่ข้าวหอมหายไปไหนตั้งพักใหญ่ ทิ้งให้ยืนงงอยู่ท่ามกลางทีม Sound Controller แต่ก็ถือว่าทิ้งได้ถูกจุดเสียเหลือเกิน เพราะตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่มองเห็นภาพรวมของคอนเสิร์ตได้เต็มตามาก
“โอเคจ่ะ ถ้าเจอบอกให้โทรหาพี่หน่อยนะ แล้วนี่ได้กินข้าวมั่งยัง? ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ สตาฟเอามาให้”
“อือดีๆ งั้นพี่ไปหาข้าวกินมั่งละ นี่พึ่งแยกตัวออกจากลูกค้าได้ หิวจนไส้บิดหมดแล้วเนี้ย” ดูจากใบหน้าพี่แอนนี่ คงเหนื่อยจริงแหละ
“พี่แอนนี่ไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวพายช่วยตามหาพี่ข้าวให้”
“ขอบใจจ้ะ” พี่แอนนี่ฉีกยิ้ม เดินเข้ามาตบบ่าแล้วเดินหายไปท่ามกลางความมืด ฉันเลยคิดว่าควรพักความเพลิดเพลินไว้เท่านี้ เดินออกจากหลังคอนโทรล ตามหาพี่เลี้ยงที่หายตัวไป
ห้องพักออแกไนซ์เซอร์
อยู่นี่จริงด้วย ฉันเปิดประตูห้องพักเข้ามาก็เจอคนที่ตามหา พี่ข้าวหอมกำลังจ้วงตักข้าวกล่องมื้อเย็นเคี้ยวเต็มสองแก้ม พี่เขาไล่ให้ฉันรับข้าวจากสตาฟไปจัดการตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ตัวเองกลับวิ่งวุ่นดูความเรียบร้อยทั่วทั้งงาน เพราะช่วงเวลานั้นเป็นช่วงโกลาหล คนทะยอยเข้างาน และคอนเสิร์ตกำลังจะเริ่ม ไอ้ที่บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ น่าจะรวบยอดหนีมานั่งกินข้าวเงียบๆ ด้วยเลย ดูจากแก้มตุ่ยๆ คงหิวมากสิท่า
“พี่แอนนี่ตามหาอยู่นะคะ เห็นบอกวอมาแล้วไม่ตอบ”
“อ้าวหรอ วอพี่แบตหมดอะ เดี๋ยวโทรหาเลยแล้วกัน”
“กินข้าวก่อนมั้ยล่ะคะ ล่าสุดที่กินไปน่ะมันตอนบ่ายนะ นี่จะสี่ทุ่มแล้วค่ะ”
“ก็เผื่อมีไรเร่งด่วนไง” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ชะงักมือถือไว้ ไม่ได้กดโทรออกทันทีอย่างที่ใจต้องการ ฉันมองดูข้าวในกล่อง ยังพร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง อยากจะให้เรื่องปากท้องเป็นเรื่องด่วนสำหรับชีวิตพี่เขาบ้างจัง
“ไม่ด่วนหรอก พี่แอนนี่หนีไปแอบกินข้าวเหมือนพี่นี่แหละ กินก่อนนะคะ”
“อะๆ ฟังก็ได้ นี่เห็นว่าไม่มีไรด่วนหรอกนะ”
“เพราะหิวมากก็พูดมาเถอะค่ะ พายไม่คิดว่าพี่อู้หรอกน่า”
“รู้มากจริงเด็กคนนี้” ข้าวหอมตักข้าวกินต่อ
น้ำเสียงโทนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนจะดุ แต่ก็แค่เหมือนล่ะนะ น้ำเสียงที่พี่ข้าวหอมใช้ ไม่เคยถึงขั้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกเกรงกลัวสักครั้ง ฉันหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคุณพี่เลี้ยงเท่าไร ยกมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวในโลกอินเตอร์เน็ตบ้าง กรุ๊ปแชทเพื่อนสนิทขึ้นแจ้งเตือนเกือบร้อยข้อความ ส่วนใหญ่บ่นว่าเบื่อ เพราะบริษัทที่ฝึกงานไม่ยอมให้ทำอะไร นอกจากถ่ายเอกสาร และไปซื้อกาแฟ
“แค่ก..แค่ก~ พ พาย โยนน้ำมาให้พี่ขวดนึงสิ แค่ก...” เนี่ยแหละน้า ตักข้าวเสียคำโต ตุนมันจนเต็มแก้ม ยังไม่ทันเคี้ยวไอ้ที่อยู่ในปากหมด ก็เตรียมจ่อคำใหม่ไปสมทบ สุดท้ายก็นั่งสำลักน้ำหูน้ำตาไหล ไม่รู้จะรีบอะไรขนาดนั้น
“โห หน้าแดงหมดแล้วค่ะ ไหวมั้ยเนี้ย” ฉันรีบเปิดขวดน้ำแล้วยื่นให้พี่ข้าวหอม และเดินอ้อมมาตบหลังเบาๆ ช่วยบรรเทาอาการสำลัก
“เฮ้ออออ โล่งแล้ว ขอบใจนะพาย” ริมฝีปากแดงฉ่ำน้ำพ่นลมหายใจระบายยาวเหยียด
“ไม่เห็นต้องรีบกินขนาดนั้นเลยนี่คะ กลัวพายแย่งกินหรือไง? ”
“ไม่ใช่แบบนั้น มันชินอะ ปกติเวลาออกมาคุมงาน ก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาตลอด พอมีช่วงได้พักกินข้าว ก็มักจะรีบๆ กินให้มันเสร็จตลอด”
อืม ฉันเห็นแล้วว่ามันยุ่งมากไม่เกินจากที่พี่เขาพูดมาเลย เบื้องหน้าที่สนุกสนาน แตกต่างกับเบื้องหลังลิบลับ กว่าจะสร้างให้เป็นอีเว้นท์หนึ่งได้ มันมีขั้นตอนหลังบ้านอีกเพียบ นำเสนอแผนงานกับลูกค้า งบประมาณ การออกแบบ การบริหารจัดการคน เยอะแยะวุ่นวายไปหมด
“แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องรีบนี่คะ และอีกอย่าง ถ้ามันรีบจริง พี่ข้าวก็มีพายเป็นเบ๊นะ ใช้ๆ มาเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ 3 เดือนนี้เอาให้คุ้มไปเลย”
“แน่ใจ? ” พี่ข้าวหอมเลิกคิ้วถาม
“แน่ใจค่ะ” ฉันยืดอกทำหน้ามั่นใจสุดขีด
“บ่นปุ๊บ 100 คะแนน หายปั๊บเลยนะ”
“โห่ ถ้ามันเหนื่อยจริง ก็ขอบ่นหน่อยเถอะค่ะ อย่ามางกเรื่องนี้กับพายได้ไหมล่ะ”
“555 ถึงกับทำหน้ามู่ใส่พี่เลยหรอเนี้ย เด็กหวงคะแนน”
ฉันเผลอทำหน้ายุ่งไปหรอเนี้ย ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย แต่ก็ไม่คิดว่าไอ้ความไม่รู้ตัว จะเรียกเสียงหัวเราะของพี่ข้าวหอมออกมาได้ คนอารมณ์ดีเปิดแอพกล้องวงจรปิดขึ้นดู เจ้าจิ๋วกำลังหลับตาพริ้มตวัดลิ้นกินน้ำ ยิ้มน้อยๆ จึงผลิออกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแมวเด็กตัวนั้นยังอยู่ดีเป็นสุข
“พายอยากได้เกียรตินิยมนี่นา”
“แล้วจะเอาไปทำอะไรล่ะ ชีวิตจริงมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไรหรอกนะ”
“พายไม่ได้จะเอามาใช้ แต่จะเอาไปตีแสกหน้าพวกที่ชอบนินทาว่าพายเป็นลูกคุณหนู สวยใสไร้สมอง ยิ่งพวกเพื่อนแม่นี่ตัวดีเลยค่ะ”
“แต่ก็สวยจริงอย่างที่เขานินทานะ” ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม พี่ข้าวหอมเอ่ยปากชมกันโต้งๆ แบบนี้ หรือว่าชมบางสิ่งในจอมือถือ เพราะพี่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดคุยด้วย
“นี่ชมพาย? สวยเฉยๆ ใช่ปะคะ ห้ามต่อว่าไร้สมองนะ ”
“อือ สวยค่ะ สวยจริงๆ ไม่ไร้สมอง แถมยังทนทานด้วย เพราะว่าคืนนี้พายจะต้องอยู่กับพี่ไปจนรื้อถอนเสร็จ”
“หืออ ไหนว่าคอนเสิร์ตเลิกก็หมดหน้าที่แล้วนี่คะ”
“ตอนแรกก็ตามนั้นแหละ แต่เนี่ยดูสิ พี่แอนส่งแชทมาบอกว่าฮู๊ดมันปวดท้องอะ อยู่คุมงานรื้อถอนไม่ได้ ก็เลยต้องเป็นพี่ แต่ถ้าเราไม่ไหวจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ พี่ก็แค่...จะลองคิดๆ เรื่องให้คะแนนเราดู”
ขี้ขู่ พอเห็นฉันให้ความสำคัญกับคะแนนฝึกงานเข้าหน่อย ก็ยกมาขู่จัง แต่พอสังเกตดีๆ จะรู้ว่าพี่ข้าวหอมพูดเล่นทั้งนั้น เพราะคนที่มีนิสัยเอาจริงเอาจังกับงาน มีความตรงไปตรงมาเสมอ คงไม่เขียนคะแนนมั่วให้กับเด็กปีสี่ตาดำๆ หรอกนะ เขาต้องประเมินความสามารถตามเนื้องานอยู่แล้ว
พี่ข้าวหอมบอกว่าซื้อเวลาห้างเพื่อรื้อถอนไว้ถึงตีหนึ่ง ตอนได้ยินฉันแอบอึ้ง เพราะไอ้ข้าวของทั้งหมดที่ประกอบกันจนเป็นคอนเสิร์ตใหญ่คับฮอลล์นี้เนี้ย ใช้เวลาติดตั้งถึงสองวัน แล้วจะให้เก็บเสร็จภายใน 2-3 ชั่วโมงอะนะ มันจะวันไนท์มิราเคิลเกินไปละ คนสวยหน้านิ่งไม่เปิดโอกาสให้ถามต่อ หันมาสั่งให้ปลุกตอนคอนเสิร์ตเลิก และกอดอกนอนราบไปกับเก้าอี้ที่นำมาต่อกันหลายตัว เข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว …
***********
TBC.
จะพยายามมาอัพทุกวันพุธ และวันศุกร์นะคะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ #อ้อนนนนนน
.
02
friendliest sound i ever heard
ตีสอง...ช่วงเวลาแห่งความหลากหลายทางอารมณ์ ฉันนอนมองเพดานห้องท่ามกลางความมืดกินเวลากว่าชั่วโมง เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงนาฬิกาติดผนังทำงานคลอความเงียบ แม้ใจจะต้องการชัตดาวน์ร่างกายมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้สักที มันเป็นเช่นนี้แทบทุกคืน
ตีสอง…เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่ซื่อตรงกับตัวเองมากที่สุด สี่ห้องหัวใจของคนเรานั้นคล้ายห้องแห่งความลับ กักเก็บภาพความทรงจำต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งเรื่องดี ทั้งเรื่องร้าย ถูกพับเก็บไว้อย่างมิดชิด แม้กระทั่งเรื่องที่มันโหดร้ายต่อความรู้สึก เราไม่เคยโยนมันทิ้งไปได้อย่างที่ปากพูด และไอ้ความรู้สึกร้ายกาจเหล่านั้น มันมักจะอาศัยช่วงเวลาที่เราสงบนิ่ง กรีดกรายออกมาเพ่นพ่าน ก่อกวนจนหน่วงใจ พาลให้นอนไม่หลับอยู่ร่ำไป
ฉันพยายามทำตามทุกวิธีที่เขารีวิวกันในอินเตอร์เน็ต วิธีไหนที่คนคอมเม้นท์ว่าได้ผลดี ลองเอามาปรับใช้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ดื่มชาคาโมมายล์ ฟังเพลงบรรเลง และพยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งมันไม่เคยได้ผลอย่างที่ใจหวัง ฉันยังคงนอนพลิกตัวไปมา ปล่อยความคิดวุ่นวายให้ตีกันในหัวจนเผลอหลับไปเองตอนเกือบตีสี่ และแบกความเบลอเข้าออฟฟิศไปทำงาน
ประเด็นสำคัญคือฉันไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับนั้นมาจากอะไร หากถามหาความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ฉันตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้ฉันใช้โหมดความรู้สึกไหนดำเนินชีวิต มันไม่เศร้า ไม่สนุก ไม่ได้มีความสุข จะเรียกว่าว่างเปล่า ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก มันเป็นเหมือนวันที่อากาศครึ้ม ก้อนเมฆตั้งเค้าเป็นสีเทา ลมพัดเอื่อยเฉื่อย มีแสงแดดโผล่มาแบบรำไร ไม่ถึงกับฝนตก มันเป็นอะไรที่แบบครึ่งๆ กลางๆ ใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ ฉันถึงตั้งคำจำกัดความไม่ได้
มิ้ว มิ้ว~ เสียงชัดแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าจิ๋ว ฉันหยิบมือถือเปิดโหมดไฟฉายแล้วลุกขึ้นมองหาตัวแมวน้อย “หึ จิ๋วเอ๊ย~” ฉันเอ็นดูแมวเด็กตัวนี้เสียเหลือเกิน มิ้ว~ น้องพยายามหอบพุงป่องตะเกียกตะกายชายผ้าห่มขึ้นเตียง กำลังแขนที่มีน้อยกว่าพุง ทำให้เกาะเนื้อผ้าไว้ไม่ไหว ลื่นแพรดซ้ำไปซ้ำมา เมี้ยว~ เสียงร้องเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ หากมีวุ้นแปลภาษา ใจความในเสียงเหมียวคงกำลังบ่นมนุษย์ที่มัวแต่นั่งยิ้มบนเตียง ไม่ยอมยื่นแขนมาช่วยสักที
มิ้ว~ เมี๊Z@#$#%&+Z<%~
“โอ๊ยใจเย็นสิแมว พี่กำลังลุกไปช่วยอยู่” เสียงร้องที่เปร่งออกมาไม่หยุดหย่อนนั่น ทำเอาฉันรู้สึกผิด “ไงจิ๋ว คิดถึงแม่อีกแล้วหรอ? ” ทันทีที่ฉันอุ้มขึ้นมากอด เจ้าจิ๋วก็รีบเอาหัวซุกถูไถออดอ้อนทันที คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ต้องนอกกกให้ความอุ่นแก่แมวกำพร้าตัวนี้ ฉันวางเจ้าจิ๋วบนหมอนด้านข้าง หวังว่าความนุ่มจะทำให้น้องหลับสบาย แมวเด็กเดินวนหาท่าที่เหมาะแก่การทิ้งตัว ไม่รู้ว่าจะเดินวนหลายรอบทำไม เพราะสุดท้ายก็นอนขดตัวกลมเป็นลูกบอลเหมือนเดิม
ฉันขยับหมอนใบที่มีแมวเด็กเข้าใกล้ลำตัว เพื่อที่จะได้นอนกกแบ่งปันความอุ่นได้ถนัด ปลายนิ้วทั้งห้าขยับลูบไล้ขนสีขาวตุ่นกล่อมเกลา ในขณะที่พยายามถ่ายเทความรู้สึกปลอดภัยเหมือนที่แม่แมวพึงกระทำ ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างส่งผ่านกลับมา เสียงสั่นในลำคอแมวซึ่งฟังแล้วคล้ายเสียงกรน ไม่หนักแน่นน่ารำคาญ แต่เสียงนั้นเป็นมิตรต่อหูทั้งสองข้าง ฟังแล้วรู้เลยว่า เจ้าจิ๋วกำลังโบยบินเข้าสู่ห้วงนิทราแห่งการหลับฝันดี
สบายใจ… การที่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถในการกล่อมแมว มันช่างสบายใจเสียจริง ไม่รู้ว่าคนเลี้ยงแมวบ้านอื่นรู้สึกถึงข้อนี้ไหม แต่สำหรับฉัน การที่ได้เห็นเจ้าจิ๋วนอนหลับตาพริ้ม และเปร่งเสียงเพอร์ยามหายใจเข้าออกข้างกัน มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย สารภาพตามตรง ตอนนี้ฉันกำลังถูกความง่วงเกาะกินรอบดวงตา อาจเป็นเพราะถูกคลื่นเสียงในลำคอจิ๋วกล่อม มือที่ใช้ลูบเปลี่ยนเป็นโอบรอบลำตัว อืม...จะว่าไป กอดแมวมันก็อุ่นเหมือนกัน ฝันดีนะจิ๋ว~
สถานีรถไฟฟ้า
08 : 15 พี่ข้าวหอมนัดฉันที่สถานีรถไฟใกล้ออฟฟิศ วันนี้เป็นวันแสดงงานคอนเสิร์ตรวมนักร้องเพลงรัก ประตูจะเริ่มเปิดให้ผู้คนเข้าชม 5 โมงเย็น แต่สำหรับเบื้องหลัง พนักงานส่วนใหญ่จะต้องไปจัดการเช็คระบบทุกอย่างล่วงหน้า ก่อนงานเริ่มหลายชั่วโมง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันวิ่งหน้าตาเหรอหรามาให้ทันเวลานัด เพราะต้องเอารถไปจอดที่ออฟฟิศ และเดินข้ามถนนมาสถานีรถไฟแห่งนี้
ถามว่าทำไมไม่ขับรถไปล่ะ? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมไม่ยอมเอ่ยปากเสนอตอนที่พี่ข้าวหอมโทรมานัด ได้แต่ตอบค่ะ รับฟังแผนงานและหน้าที่ไปจนสิ้นสุดบทสนทนา ฉันไม่ใช่พวกรักสบาย หรือเป็นคุณหนูแบบที่ใครหลายคนชอบนินทา เรื่องการใช้ขนส่งสาธารณะแค่นี้สบายมาก อีกอย่าง การก้าวบันไดขั้นสุดท้ายมาเจอ ใบหน้าง่วงงุนกำลังดูดกาแฟอึกใหญ่ ฉันว่ามันก็เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่น่ารักดีนะ
“มอนิ่งค่ะพี่ข้าว” ฉันฉีกยิ้มกว้างขัดจังหวะดูดกาแฟของพี่ข้าวหอม
“อ้าวพาย อือ มอนิ่ง อะนี่ พี่ซื้อบัตรขึ้นรถไฟไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่ข้าว” ฉันยื่นมือไปรับไว้ ปลายนิ้วเราเฉียดกันนิดหน่อย พี่ข้าวหอมเดินนำหน้าเข้าสู่ชานชาลา ส่วนฉันกระชับกระเป๋าเดินตามอย่างเงียบๆ
นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในเมืองแบบนี้ น่าจะตั้งแต่คุณพ่อซื้อรถให้ขับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เพราะมันไปไหนมาไหนสะดวกกว่ากันเยอะ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้กลับมายืนเกาะราวรถไฟอีกครั้ง และดูเหมือนว่าสกิลการทรงตัวของฉันจะไม่ค่อยดีเท่าไร ยืนโงนเงนคล้ายคนเมา รถไฟเข้าโค้งทีก็ถลาไปตามแรงเหวี่ยงที ช่างแตกต่างจากคนอื่นในขบวนเสียจริง
“จับแขนพี่ก็ได้นะ” พี่ข้าวหอมหันมายื่นข้อเสนอ มุมปากติดอมยิ้ม คงนึกขันเด็กเงอะงะที่ทรงตัวไม่อยู่มากสินะ ถามว่าอายไหม? ก็ไม่.. คนอย่างพายไม่มามัวอายอะไรแบบนี้หรอก
“อ เอ่อ ขอบคุณค่ะพี่ข้าว” สิ่งที่ควรทำคือรับข้อเสนอนั่นมากอดไว้ ฉันเขยิบตัวเข้าไปใกล้ แล้วคว้าแขนพี่ข้าวมาเกาะจนแน่น นอกจากเจ้าจิ๋วที่ได้รับความใจดีไปครอง ยังมีฉันอีกหนึ่งคนที่ควรนับเพิ่มไปด้วย ถึงแม้ว่าความสูงและขนาดตัวของพี่ข้าวจะเล็กกว่าฉันอยู่เป็นคืบ แต่ความเอื้อเฟื้อต่อเด็กฝึกงานนั้นช่างใหญ่เกินตัวไปไกลเลย
“ไม่ค่อยได้ขึ้นรถไฟหรอเรา? ” ริมฝีปากบางเปร่งเสียงนุ่มเอ่ยถามอย่างราบเรียบ ฉันชอบที่พี่เขาเรียก “เรา” มากกว่าคำว่า “คุณ” และคำเรียกแทนตัวเองว่า “พี่” มันน่าฟังกว่าคำว่า “ฉัน” เยอะเลย ใบหน้านิ่งผินมองวิวตึกรามบ้านช่องนอกรถไฟ หรือไม่ก็มองก้อนเมฆขยุกขยุยล่องลอยประดับบนท้องฟ้า ฉันเข้าใจดี โลกนี้มันไม่ได้มีแค่เราสองคน บนขบวนรถไฟยังมีผู้คนร่วมเดินทางอีกเป็นสิบ หนาแน่นเสียจนไม่รู้ว่าควรเอาสายตาไปแช่ตรงไหนถึงจะไม่เสียมารยาท
“ค่ะ ตั้งแต่เรียนจบม.ปลาย พายแทบจะไม่ได้ขึ้นเลย” ถ้าไม่ได้รู้สึกไปเอง ไอ้แรงเขยื้อนเมื่อกี้ น่าจะมาจากการที่พี่ข้าวขยับตัวเข้าหา ไม่น่าใช่แรงเบรคลากยาวของรถไฟ การเกาะแขนจึงลงล็อคและทรงตัวอยู่กับที่ได้ง่ายขึ้น เห็นหน้าพี่เขานิ่งๆ แต่แอบแคร์คนอื่นเก่งเหมือนกันนะ
“ฝึกงานสายอีเว้นท์ งานหนักมากเลยนะ”
“บอกเฉยๆ หรือว่าขู่ให้กลัวคะ? ”
“แล้วเรากลัวหรือเปล่าล่ะ? ” พี่ข้าวหอม อมยิ้ม...หรอ?
“ไม่บอกค่ะ ให้พี่ข้าวคอยดูเอาเอง และถ้าถูกใจ พายขอคะแนนฝึกงานเต็มร้อยนะ”
“เต็มร้อยเลยหรอ? มั่นใจไปหรือเปล่าเราน่ะ”
ฉันได้ยินเสียงหึผ่านประโยคออกมา คงมองว่าเด็กอย่างฉันนุ่มนิ่ม ไม่ทนทานกับงานลุยๆ ล่ะสิ เดี๋ยวคอยดูเลยพี่ข้าว พายจะทำให้พี่ลบภาพลูกคุณหนูไปให้หมด งานแบกหาม ใช้แรง หรือต้องอดหลับอดนอน พายทำมันได้ทั้งหมดนั่นแหละ …
Parazon Hall
ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง คราคร่ำไปด้วยสตาฟใส่เสื้อสีทึบ บางกลุ่มแบกกล่องสายไฟ บางกลุ่มแบกเครื่องดนตรี ทั้งสองสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเวที ข้าวห้อมรับ floor plan ทั้งหมดของงานมาจากพิชชาพร ใบหน้าง่วงงุนหายเกลี้ยงเมื่อกาแฟดีดเต็มที่ คนอายุมากกว่าชี้นิ้วนับดวงไฟที่ติดตั้งบนเวที ประกอบกับจิ้มนับกับแพลนในมือกันพลาดไปด้วย
ตั้งแต่ก้าวเข้างานมา ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ข้าวหอมจดจ่ออยู่แต่กับเอกสารในมือ เดินเช็คระบบไฟ เดินเช็คสตาฟประจำจุด เช็คทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ผิดแผนเกิดขึ้น “ อ่า มุมนี้ครบ” เด็กฝึกงานคนใหม่โดนลากไปมุมนู้นที มุมนี้ที “เอ๋ แปลกๆ หรือเปล่านะ อือ ไม่หรอก” ข้าวหอมถามเองและตอบเอง เล่นเอาพิชชาพรทำความเข้าใจแทบไม่ทัน ได้แต่ก้มดูเอกสารในมือ ในเวลาที่คนอายุมากกว่าใช้นิ้วจิ้มและงึมงัมในลำคอ
“พาย ขึ้นไปเช็คบนเวทีกัน! ”
คนอายุน้อยกว่าสับขาตามไม่ทัน ทำให้ข้าวหอมต้องหันไปตะโกนเรียก โชคดีที่วันนี้พิชชาพรใส่กางเกงยีนส์ขาวยาวกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวมาทำงาน ไม่ใช่ชุดนักศึกษากระโปรงบาน การวิ่งร่นระยะห่างเข้าไปหาข้าวหอม จึงทำได้อย่างทะมัดทะแมง
เวทีขนาดใหญ่กลางฮอลล์ตั้งเด่นท่ามกลางที่นั่งนับพัน จอแอลอีดีด้านบนกำลังถูกเปิดทดลองกราฟิก และแสงสีประกอบการแสดงเล่นสลับโทนควบคู่กันไป จะขาดก็แต่ระบบเสียงที่ตอนนี้เกือบติดตั้งได้ร้อยเปอร์เซ็น ร่างบอบบางของข้าวหอมกระทืบ กระโดดไปบนฟลอร์ เพื่อเช็คความปลอดภัย ก่อนที่นักร้องและนักดนตรีจะมาใช้งานจริง
“ลองกระโดดดูสิ” พี่ข้าวหอมยักยิ้วพยักหน้าเชิญชวน
“หือ? ให้พายกระโดด? ” ฉันทำหน้าฉงน
“อื้อ มากระโดดด้วยกัน”
เวทีขนาดใหญ่มีสองสาวกำลังกระโดดไปทั่วพื้นที่ คล้ายจะเล่น แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง มีสายตาจากเหล่าสตาฟมองมาอย่างขำขัน เพราะปกติ ข้าวหอมจะเซ็ตใบหน้าให้อยู่ในโหมดเย็นชายิ้มยากเสมอ ไม่ค่อยได้มีจังหวะที่ปลดปล่อยความผ่อนคลายออกมาเท่าไร ดูจากเนื้องาน จะเห็นว่าข้าวหอมนั้นแบกความรับผิดชอบไว้เยอะพอสมควร ไหนจะดูแลทีมเซ็ตอัพ ระบบแสงสีเสียง ต้องรับผิดชอบทุกตารางเมตรของงานนั้นๆ
“ทำไมต้องกระโดดด้วยล่ะคะ? ” พิชชาพรหยุดกระทืบฟลอร์ ยืนสูดหายใจเข้าออกด้วยความเหนื่อย ยกมือพัดหน้าไปมาคลายความอบอ้าว ข้าวหอมหยิบห่อทิชชู่อันเล็กออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ แล้วส่งมาให้อีกคนซับเหงื่อ
“จะได้มั่นใจไง เกิดมีศิลปินหรือใครได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เราจ่ายค่ารับผิดชอบบานเลยนะ” ข้าวหอมใช้กระดาษพัดคลายความร้อนบ้าง
“แต่เวทีนี่เราให้ซัพพลายเออร์ทำไม่ใช่หรอคะ? แล้วทำไมเราต้องรับผิดชอบคนเดียวด้วยล่ะ”
“ก็เราเป็นเจ้าของงานนี่ เกิดอะไรขึ้นมา ลูกค้าก็ต้องมาด่าเรา เรียกร้องค่าเสียหายจากเราอยู่แล้ว แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ละก็ เลิกคิดเรื่องงานต่อๆ ไปได้เลย ไม่โดนฟ้องก็บุญแล้ว”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ารับทราบหงึกๆ เธอเข้าใจแล้วว่างานอีเว้นท์นี่มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคือ เรื่องระบบความปลอดภัย สำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่ศิลปินหรือผู้บริหารเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่เป็นทุกคนนับตั้งแต่เด็กยกของ ช่างไฟ แม่บ้าน รวมถึงสตาฟและพนักงานหลัก ข้าวหอมมีการจัดการดูแลอย่างทั่วถึงเหมือนกัน
เรื่องภาพรวมภายในงาน ถือว่าข้าวหอมได้เช็คหมดแล้ว หลังจากบ่ายก็เป็นการส่งไม้ต่อให้พี่แอนนี่ดูแลเหล่าศิลปิน และผู้ใหญ่ของงาน ด้วยบุคลิกภาพที่ข้าวหอมเป็น ไม่เหมาะกับการรับหน้าแขกสักเท่าไร เธอปั้นหน้าเสแสร้งและประจบใครไม่เป็น ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบคนเลียแข้งเลียขาเอาใจเก่ง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หน้าที่นี้จึงตกไปอยู่ที่คนมีศิลปะในการพูดอย่างพี่แอนนี่เต็มตัว
เหวอ~ พลุบ! เสียงร่างคนหล่นกระทบกับพื้นอย่างแรง เด็กฝึกงานคนใหม่สะดุดสายไฟล้มก้นจ้ำเบ้า เสียงซี๊ดซ้าดดังออกมาจากริมฝีปากอวมอิ่มระหว่างที่ยกสองมือที่ใช้ค้ำร่างตัวเองตอนล้มขึ้นมาดู ข้าวหอมส่ายหัวให้กับคนอายุน้อยกว่า กวักมือเรียกสตาฟให้มาจัดการสายไฟที่ไม่เรียบร้อยนี่ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าพิชชาพร แล้วยื่นมือไปช่วยพยุงขึ้นมา
“สะดุดสายไฟหน้าคะมำแบบนี้เนี้ยนะ จะมาเอาร้อยคะแนนเต็ม”
“อุบัติเหตุอะ ไม่นับได้มั้ยละคะ” พิชชาพรตวัดสายตาใส่ตัวต้นเหตุ ที่ต้องล้มก้นจำเบ้าเช่นนี้ เป็นเพราะพยายามก้าวขาให้ทันข้าวหอมนั่นแหละ คนอะไรตัวเล็กกว่าเป็นคืบ แต่ดันเดินไวอย่างกับจรวด แล้วยังมีหน้ามาขำคนอื่น
“ข้อเท้าพลิกหรือเปล่า เดินต่อไหวมั้ย? ”
“ไหวค่ะ พายไม่ได้เจ็บอะไร แต่ว่า...” พิชชาพรนิ่งคิด เพราะไม่รู้ว่าไอ้คำขอร้องที่จะพูด มันดูไม่เหมาะสมกับคนที่พึ่งจะขอร้อยคะแนนเต็มหรือเปล่า การที่เดินไม่ทัน มันก็น่าจะเป็นปัญหาของตัวเธอเอง ไม่ใช่โยนเรื่องนี้ไปใส่ข้าวหอม
“คะ...? ” เสียงใสเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงดีต่อหูแบบนี้ พิชชาพรจึงพูดไป
“อืม...พี่ข้าวเดินช้าๆ หน่อยได้ไหมคะ พายตามไม่ทัน”
“อ่า ขอโทษนะ มันชินไปหน่อยน่ะ ปกติเดินลุยคนเดียวตลอดเลย” ข้าวหอมยกมือขึ้นเกาแก้ม เธอไม่ทันได้สังเกตคนด้านข้างสักเท่าไร พอได้ลุยงานคนเดียวบ่อยๆ มันเลยชินกับการทำอะไรให้กระชับฉับไว “เอาไว้ฉันจะเตือนตัวเองบ่อยๆ นะ ว่ายังมีอีกคนที่อยู่ข้างๆ ” ข้าวหอมผลิยิ้มน้อยๆ
“อ โอเคค่ะ” พิชชาพรรู้สึกเหมือนกับว่า ไอ้ประโยคเมื่อครู่มันดู...เล่นกับใจคนฟังแปลกๆ แต่คงเป็นปกติสำหรับคนพูดน้อยละมั้ง
“รอตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะวิ่งไปเช็คในห้องรับรองแป๊บเดียวเดี๋ยวมา”
ข้าวหอมทิ้งให้พิชชาพรนั่งรอบนเก้าอี้ตัวหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากเวที นี่จึงเป็นโอกาสให้เด็กฝึกงานคนใหม่ นั่งสังเกตการทำงานของผู้คนในฮอลล์ เธอกวาดสายตาเก็บรายละเอียดโครงสร้างเวที แม่บ้านที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูตามเก้าอี้ สถานที่แห่งนี้กว้างขวางถึง 5,200 ตารางเมตร ใหญ่โตเสียจนไม่อยากเชื่อว่าคนตัวเล็กๆ อย่างข้าวหอมจะสามารถดูแลทุกอย่างออกมามีคุณภาพได้ขนาดนี้
คนที่กำลังถูกนึกถึงวิ่งๆ เหยาะๆ ออกมาจากโซนห้องรับรอง ผมยาวสีดำสะบัดปัดป่ายไปทางด้านหลัง พาใบหน้าขาวใสมาหยุดตรงหน้า “ปะ กินข้าวกัน หิวหรือยังเราน่ะ? ”
“พี่ข้าวทักปุ๊บ พายหิวปั๊บเลยค่ะ” เด็กอายุน้อยกว่าลูบท้องฉีกยิ้มแป้น
“จะกินร้านไหนเลือกเอาเลย แต่...มีงบอยู่สองร้อยนะ”
“อ เอิ่ม เกริ่นซะเหมือนมีงบล้านห้า ดับฝันด้วย 200 ซะงั้น”
“ทำไงได้ล่ะ งบบริษัทให้มาเท่านี้ ไปกินราเมงสักชามมั้ย เสร็จแล้วพี่จะพาไปเลี้ยงชาไข่มุก”
“จริงนะคะ! งั้นแบบนี้ต้องให้พี่ข้าวเลี้ยงชานมเสือ นะคะ นะนะ พายอยากกินมานานแล้ว ” คนอายุน้อยกว่าสะสมความดีใจไว้เกินเหตุ ทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนมาเกาะแขนเขย่า เหมือนกับตอนร้องขอให้พี่ชายที่บ้านตามใจ คนที่ไม่ค่อยได้สกินชิพกับใครสะดุ้งเฮือก แต่ก็ยกมือเกาแก้มแก้อาการทำตัวไม่ถูก
“อ่า มันก็ได้ล่ะนะ”
“เยสสสส! ขอบคุณค่า ได้ชานมแก้วนี้นะ พายมีแรงทำงานทั้งคืนเล้ย”
“นั่นก็เวอร์ไป จะหลอกให้เลี้ยงบ่อยๆ หรอเราอะ”
คนอายุมากกว่าอมยิ้มส่ายหัวแล้วเดินนำไปร้านราเมงเจ้าประจำ ปล่อยให้พิชชาพรเดินตามมาทีหลัง สำหรับคนอายุน้อยกว่า ที่เห็นใบหน้านิ่งยิ้มยากไม่ค่อยสนใจคนรอบตัวมาหลายวัน การที่ข้าวหอมเอ่ยปากเลี้ยงชาไข่มุก แถมยังยอมให้เลือกร้านที่อยากกินมานาน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์ในการทำงานที่ดี…
สามทุ่ม… งานคอนเสิร์ตใกล้ถึงเวลาสิ้นสุด วงดนตรีปิดท้ายก้าวขึ้นเวทีปุ๊บ เสียงกรี๊ดในฮอลล์ก็ดังกระหึ่ม คล้ายอัดอั้นรอคอยมานาน เพียงแค่นักร้องหน้าหล่อขยับเอื้อนท่อนแรกของเพลงออกมา ทุกคนก็สามารถขยับปากร้องคลอตามไปได้ตลอด เพลงนี้เป็นเพลงดังมาก แต่ไม่ใช่ดังเพราะลำโพงตัวใหญ่บนเวทีนะ มันดังเพราะยอดวิวเกิน 20 ล้าน ในยูทูปต่างหาก
“น้องพายๆ เห็นข้าวไหม? พี่เดินหาทั่วงานไม่เจอเลย วอไปก็ไม่ตอบ” พี่แอนนี่สะกิดเรียก ริมฝีปากแห้ง ใบหน้าเหนื่อยหน่าย คล้ายหมดแรงจากการสนทนากับผู้คน
“เห็นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนะคะ” ฉันรู้เท่าที่บอกพี่แอนนี่ไป แอบสงสัยเหมือนกันว่าพี่ข้าวหอมหายไปไหนตั้งพักใหญ่ ทิ้งให้ยืนงงอยู่ท่ามกลางทีม Sound Controller แต่ก็ถือว่าทิ้งได้ถูกจุดเสียเหลือเกิน เพราะตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่มองเห็นภาพรวมของคอนเสิร์ตได้เต็มตามาก
“โอเคจ่ะ ถ้าเจอบอกให้โทรหาพี่หน่อยนะ แล้วนี่ได้กินข้าวมั่งยัง? ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ สตาฟเอามาให้”
“อือดีๆ งั้นพี่ไปหาข้าวกินมั่งละ นี่พึ่งแยกตัวออกจากลูกค้าได้ หิวจนไส้บิดหมดแล้วเนี้ย” ดูจากใบหน้าพี่แอนนี่ คงเหนื่อยจริงแหละ
“พี่แอนนี่ไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวพายช่วยตามหาพี่ข้าวให้”
“ขอบใจจ้ะ” พี่แอนนี่ฉีกยิ้ม เดินเข้ามาตบบ่าแล้วเดินหายไปท่ามกลางความมืด ฉันเลยคิดว่าควรพักความเพลิดเพลินไว้เท่านี้ เดินออกจากหลังคอนโทรล ตามหาพี่เลี้ยงที่หายตัวไป
ห้องพักออแกไนซ์เซอร์
อยู่นี่จริงด้วย ฉันเปิดประตูห้องพักเข้ามาก็เจอคนที่ตามหา พี่ข้าวหอมกำลังจ้วงตักข้าวกล่องมื้อเย็นเคี้ยวเต็มสองแก้ม พี่เขาไล่ให้ฉันรับข้าวจากสตาฟไปจัดการตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ตัวเองกลับวิ่งวุ่นดูความเรียบร้อยทั่วทั้งงาน เพราะช่วงเวลานั้นเป็นช่วงโกลาหล คนทะยอยเข้างาน และคอนเสิร์ตกำลังจะเริ่ม ไอ้ที่บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ น่าจะรวบยอดหนีมานั่งกินข้าวเงียบๆ ด้วยเลย ดูจากแก้มตุ่ยๆ คงหิวมากสิท่า
“พี่แอนนี่ตามหาอยู่นะคะ เห็นบอกวอมาแล้วไม่ตอบ”
“อ้าวหรอ วอพี่แบตหมดอะ เดี๋ยวโทรหาเลยแล้วกัน”
“กินข้าวก่อนมั้ยล่ะคะ ล่าสุดที่กินไปน่ะมันตอนบ่ายนะ นี่จะสี่ทุ่มแล้วค่ะ”
“ก็เผื่อมีไรเร่งด่วนไง” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ชะงักมือถือไว้ ไม่ได้กดโทรออกทันทีอย่างที่ใจต้องการ ฉันมองดูข้าวในกล่อง ยังพร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง อยากจะให้เรื่องปากท้องเป็นเรื่องด่วนสำหรับชีวิตพี่เขาบ้างจัง
“ไม่ด่วนหรอก พี่แอนนี่หนีไปแอบกินข้าวเหมือนพี่นี่แหละ กินก่อนนะคะ”
“อะๆ ฟังก็ได้ นี่เห็นว่าไม่มีไรด่วนหรอกนะ”
“เพราะหิวมากก็พูดมาเถอะค่ะ พายไม่คิดว่าพี่อู้หรอกน่า”
“รู้มากจริงเด็กคนนี้” ข้าวหอมตักข้าวกินต่อ
น้ำเสียงโทนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนจะดุ แต่ก็แค่เหมือนล่ะนะ น้ำเสียงที่พี่ข้าวหอมใช้ ไม่เคยถึงขั้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกเกรงกลัวสักครั้ง ฉันหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคุณพี่เลี้ยงเท่าไร ยกมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวในโลกอินเตอร์เน็ตบ้าง กรุ๊ปแชทเพื่อนสนิทขึ้นแจ้งเตือนเกือบร้อยข้อความ ส่วนใหญ่บ่นว่าเบื่อ เพราะบริษัทที่ฝึกงานไม่ยอมให้ทำอะไร นอกจากถ่ายเอกสาร และไปซื้อกาแฟ
“แค่ก..แค่ก~ พ พาย โยนน้ำมาให้พี่ขวดนึงสิ แค่ก...” เนี่ยแหละน้า ตักข้าวเสียคำโต ตุนมันจนเต็มแก้ม ยังไม่ทันเคี้ยวไอ้ที่อยู่ในปากหมด ก็เตรียมจ่อคำใหม่ไปสมทบ สุดท้ายก็นั่งสำลักน้ำหูน้ำตาไหล ไม่รู้จะรีบอะไรขนาดนั้น
“โห หน้าแดงหมดแล้วค่ะ ไหวมั้ยเนี้ย” ฉันรีบเปิดขวดน้ำแล้วยื่นให้พี่ข้าวหอม และเดินอ้อมมาตบหลังเบาๆ ช่วยบรรเทาอาการสำลัก
“เฮ้ออออ โล่งแล้ว ขอบใจนะพาย” ริมฝีปากแดงฉ่ำน้ำพ่นลมหายใจระบายยาวเหยียด
“ไม่เห็นต้องรีบกินขนาดนั้นเลยนี่คะ กลัวพายแย่งกินหรือไง? ”
“ไม่ใช่แบบนั้น มันชินอะ ปกติเวลาออกมาคุมงาน ก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาตลอด พอมีช่วงได้พักกินข้าว ก็มักจะรีบๆ กินให้มันเสร็จตลอด”
อืม ฉันเห็นแล้วว่ามันยุ่งมากไม่เกินจากที่พี่เขาพูดมาเลย เบื้องหน้าที่สนุกสนาน แตกต่างกับเบื้องหลังลิบลับ กว่าจะสร้างให้เป็นอีเว้นท์หนึ่งได้ มันมีขั้นตอนหลังบ้านอีกเพียบ นำเสนอแผนงานกับลูกค้า งบประมาณ การออกแบบ การบริหารจัดการคน เยอะแยะวุ่นวายไปหมด
“แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องรีบนี่คะ และอีกอย่าง ถ้ามันรีบจริง พี่ข้าวก็มีพายเป็นเบ๊นะ ใช้ๆ มาเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ 3 เดือนนี้เอาให้คุ้มไปเลย”
“แน่ใจ? ” พี่ข้าวหอมเลิกคิ้วถาม
“แน่ใจค่ะ” ฉันยืดอกทำหน้ามั่นใจสุดขีด
“บ่นปุ๊บ 100 คะแนน หายปั๊บเลยนะ”
“โห่ ถ้ามันเหนื่อยจริง ก็ขอบ่นหน่อยเถอะค่ะ อย่ามางกเรื่องนี้กับพายได้ไหมล่ะ”
“555 ถึงกับทำหน้ามู่ใส่พี่เลยหรอเนี้ย เด็กหวงคะแนน”
ฉันเผลอทำหน้ายุ่งไปหรอเนี้ย ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย แต่ก็ไม่คิดว่าไอ้ความไม่รู้ตัว จะเรียกเสียงหัวเราะของพี่ข้าวหอมออกมาได้ คนอารมณ์ดีเปิดแอพกล้องวงจรปิดขึ้นดู เจ้าจิ๋วกำลังหลับตาพริ้มตวัดลิ้นกินน้ำ ยิ้มน้อยๆ จึงผลิออกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแมวเด็กตัวนั้นยังอยู่ดีเป็นสุข
“พายอยากได้เกียรตินิยมนี่นา”
“แล้วจะเอาไปทำอะไรล่ะ ชีวิตจริงมันไม่ค่อยสำคัญเท่าไรหรอกนะ”
“พายไม่ได้จะเอามาใช้ แต่จะเอาไปตีแสกหน้าพวกที่ชอบนินทาว่าพายเป็นลูกคุณหนู สวยใสไร้สมอง ยิ่งพวกเพื่อนแม่นี่ตัวดีเลยค่ะ”
“แต่ก็สวยจริงอย่างที่เขานินทานะ” ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม พี่ข้าวหอมเอ่ยปากชมกันโต้งๆ แบบนี้ หรือว่าชมบางสิ่งในจอมือถือ เพราะพี่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดคุยด้วย
“นี่ชมพาย? สวยเฉยๆ ใช่ปะคะ ห้ามต่อว่าไร้สมองนะ ”
“อือ สวยค่ะ สวยจริงๆ ไม่ไร้สมอง แถมยังทนทานด้วย เพราะว่าคืนนี้พายจะต้องอยู่กับพี่ไปจนรื้อถอนเสร็จ”
“หืออ ไหนว่าคอนเสิร์ตเลิกก็หมดหน้าที่แล้วนี่คะ”
“ตอนแรกก็ตามนั้นแหละ แต่เนี่ยดูสิ พี่แอนส่งแชทมาบอกว่าฮู๊ดมันปวดท้องอะ อยู่คุมงานรื้อถอนไม่ได้ ก็เลยต้องเป็นพี่ แต่ถ้าเราไม่ไหวจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ พี่ก็แค่...จะลองคิดๆ เรื่องให้คะแนนเราดู”
ขี้ขู่ พอเห็นฉันให้ความสำคัญกับคะแนนฝึกงานเข้าหน่อย ก็ยกมาขู่จัง แต่พอสังเกตดีๆ จะรู้ว่าพี่ข้าวหอมพูดเล่นทั้งนั้น เพราะคนที่มีนิสัยเอาจริงเอาจังกับงาน มีความตรงไปตรงมาเสมอ คงไม่เขียนคะแนนมั่วให้กับเด็กปีสี่ตาดำๆ หรอกนะ เขาต้องประเมินความสามารถตามเนื้องานอยู่แล้ว
พี่ข้าวหอมบอกว่าซื้อเวลาห้างเพื่อรื้อถอนไว้ถึงตีหนึ่ง ตอนได้ยินฉันแอบอึ้ง เพราะไอ้ข้าวของทั้งหมดที่ประกอบกันจนเป็นคอนเสิร์ตใหญ่คับฮอลล์นี้เนี้ย ใช้เวลาติดตั้งถึงสองวัน แล้วจะให้เก็บเสร็จภายใน 2-3 ชั่วโมงอะนะ มันจะวันไนท์มิราเคิลเกินไปละ คนสวยหน้านิ่งไม่เปิดโอกาสให้ถามต่อ หันมาสั่งให้ปลุกตอนคอนเสิร์ตเลิก และกอดอกนอนราบไปกับเก้าอี้ที่นำมาต่อกันหลายตัว เข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็ว …
***********
TBC.
ฝากติดตามด้วยนะคะ #อ้อนนนนนน
lgbtq
นิยายยูริ_yuri_lgbtq
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย