ฮาเยก ( Nicolas G. Hayek ) ที่เดิมเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ เข้ามาช่วยปรับโครงสร้างองค์กรและต่อมาควบรวมทั้งสองกิจการเข้าด้วยกัน เขามองว่าปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของบริษัทคือ มีจำนวนบริษัทย่อยที่แยกกันบริหารมากเกินไป
ในปี ค.ศ.1985 Swatch สร้างเสน่ห์แบบฉบับของตัวเองด้วยโปรเจกต์ Swatch Art Special ร่วมมือกับศิลปิน พางานศิลปะที่เคยต้องตระเวนชมตามพิพิธภัณฑ์ มาเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาที่ถูกสวมใส่บนข้อมือของผู้คนในชีวิตประจำวัน
เช่น One More Time ที่ออกแบบโดยจิตรกร Alfred Hofkunst เป็นนาฬิการูปทรงคล้ายเบคอนและไข่ แตงกวา และพริก วางจำหน่ายเพียง 9,999 เรือนที่ร้านอาหารเป็นหลัก เมื่อฉีกซองพลาสติกที่บรรจุนาฬิกาออกมา สภาพการใช้งานจะไม่คงทนนัก ไม่ต่างอะไรกับอาหารที่มีวันหมดอายุ
ความหลงรักในศิลปะของ Swatch ยังจริงจังมากจนถึงขั้นร่วมทุนซื้อโรงแรมในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อเปิดให้เป็นที่พำนักและจัดแสดงผลงานของศิลปินในชื่อ The Swatch Art Peace Hotel ซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปีแล้ว
Swatch x MoMA ซีรีส์ Museum Journey (Photo By Swatch)
นอกจากนี้ ช่วงปีที่ผ่านมา Swatch ยังจับมือกับพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเพื่อนำผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์มาอยู่ใกล้ชิดผู้คน เช่น Museum of Modern Art (MoMA) ที่มีภาพวาด The Starry Night ของปิกัสโซ
ตามวาระการแข่งขันเหล่านี้ที่บริษัทเข้าไปพาร์ตเนอร์ด้วย เช่น Swatch x Roland Garros สำหรับการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมที่ประเทศฝรั่งเศส และ The Olympic Winter Games Beijing 2022 เพื่อเฉลิมฉลองการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ด้วยการนำเสนอทิวทัศน์และกีฬาแต่ละประเภทบนเรือนนาฬิกา
Swatch แข็งแกร่งด้าน R&D มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครือ Swatch Group มีบริษัทที่ดูแลการผลิตนาฬิกาตั้งแต่ต้นน้ำหรือชิ้นส่วนเล็กๆ ของนาฬิกาด้วย ทำให้มีองค์ความรู้เพียบพร้อมพัฒนานวัตกรรมแปลกใหม่