1 เม.ย. 2023 เวลา 17:38 • นิยาย เรื่องสั้น
นครนิวยอร์ก

นิวยอร์กกู ตอน: เพราะ Half Marathon ครั้งแรกในชีวิตมีหนเดียว

ถ้าพูดถึงการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ก็ต้องนึกถึงสนาม New York Marathon ด้วยความที่มันเป็น 1 ใน 5 ของรายการ Major ระดับโลก นักวิ่งทั่วโลก ต่างก็ฝันว่าจะต้องมาโดนให้ได้สักครั้งในชีิวิต เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเกิดจากความสำเร็จเล็ก ๆ รวมกัน’ ตอนนี้หากจะมีสักอย่างหนึ่งที่ผมทำสำเร็จแล้วก็คือ ผมทำสำเร็จที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง! ผ่าง! งงป่ะล่ะ? 555
อย่างไรก็เถอะ สาบานเลยว่าการวิ่งมาราธอนกับผมเนี่ย ไม่ได้เกิดมาคู่กันเลย ยิ่งงานประจำ Food Runner ของร้านอาหารที่ทำอยู่นั้น วันนึงๆ ก็วิ่งเสิร์ฟอาหารเข้าหลัก 10 กิโลแล้ว ถ้าจะมีเวลาว่างขนาดว่าไปวิ่งล่ะก็ ขอเอามานั่งพักให้หายเหนื่อย ไม่ดีกว่าเหรอ? และเมื่อยืนยัน จนนอนยันว่า ไม่ชอบวิ่งขนาดนี้แล้ว ทำไมเอ็นวายกูตอนนี้ ถึงจะมาเล่าเรื่องของการวิ่งมาราธอนของผมได้ยังไง มา ๆ จะเล่าให้ฟังครับ
พฤษภาคม
“กูมาทำอะไรเห้อะไรที่นี่วะ!” ผมสบถในใจเสียงดัง ก่อนจะปัดเหงื่อตรงปลายจมูกทิ้ง มันเป็นเวลาประมาณ สิบโมงนิด ๆ แม้แสงแดดออกจะแรงไปบ้างตามประสาฤดูร้อน แต่ก็ยังมีสายลมเย็น ๆ พัดมาต้องใบหน้าไม่ให้รู้สึกร้อนจนเกินไปอยู่เรื่อย ๆ ผมอยู่บนถนนกว้างขนาดหกเลนสายหนึ่งที่ลาดยาวจากสวนสาธารณะชื่อ Botanic Garden ตรงไปจนสุดที่ริมชายหาดด้านทิศใต้ล่างสุดของ Brooklyn ที่ชื่อ Coney Island
แม้จะเป็นถนนใหญ่มาก แต่ไม่มีรถวิ่งเลย เพราะวันนี้มีม็อบ! เอ๊ย! ไม่ใช่ เขามีการปิดถนนเพื่อแข่งขันวิ่ง Half Marathon ต่างหากล่ะ งานวิ่งครั้งนี้ชื่อว่า ‘Popular Brooklyn Half Marathon 2019’ ถามว่า Popular แค่ไหน ก็เอาเป็นว่ามีคนเข้าร่วมวิ่งประมาณ 25,000 คน และก็ไม่ได้วิ่งฟรีนะ ต้องเสียค่าสมัครด้วย คนละเกือบ $100! เรียกว่า รวยอย่างเดียวไม่พอนะ ต้อง...แข็งแรงด้วย! 555
บนถนนเส้นใหญ่นั้น มีชายไทยวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังวิ่งอยู่ด้วยท่าทางที่ไม่น่าจะเรียกว่าวิ่งได้ เพราะว่ามันช้ามากประหนึ่งเต่าเดิน แถมท่าวิ่ง การสวิงแขน ก็ดูทุลักทุเลเหมือนหมาโดนสิบล้อทับขาหลัง คือตัวผมเอง สาบานได้ว่า นั่นคือท่าวิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ในตอนนี้
“เช็ดครก อีกสองไมล์เลยเหรอวะ” ผมคิดขณะที่มองเห็นป้ายหลักไมล์ที่ 11 แปลว่าเหลืออีก 2.1 ไมล์ ก่อนจะถึงเส้นชัย ผมคว้าน้ำดื่มสามแก้วยกซดไปขณะที่กระเผล็กผ่านจุดดื่มน้ำ เติมพลัง ผมกัดฟันก้มหน้าวิ่งต่อไป สายตาจับจ้องอยู่เส้นแบ่งเลนถนนสีส้ม ที่ลากยาวตรงไปไกลจนสุดสายตา... เล่าแบบไม่อายใครเลยว่า ที่ผมต้องมาทนลำบาก ลากสังขารเหมือนซอมบี้หิวโปรยทานนั้น มันเริ่มมาจากความไม่เชื่อ
สี่เดือนก่อนหน้า...
“หนังสือของใครอ่ะ?” ผมถามลอย ๆ ขณะกำลังทำความสะอาดร้านหลังเลิกงาน มันเป็นหนังสือที่เด็กในร้านเอามาอ่านแล้ว ซุกไว้บนตู้ไมโครเวฟ แล้วคงลืมทิ้งเอาไว้ หน้าปกเขียนชื่อเรื่องว่า ‘ที่...หัวมุมถนน’ เป็นหนังสือของพี่รวิศ หาญอุตสาหะ แห่ง MIssion to the Moon
ผมไม่รู้จักแก แต่จำชื่อได้เพราะเคยได้ยินเรื่องการ Rebranding แป้งฝุ่นศรีจันทร์มาบ้างตามสายงานที่เราเคยทำ ก็เลยหยิบมาดูซักนิดนึง คร่าว ๆ ในหนังสือมีการพูดถึงเรื่องทั่วไปในชีวิตอย่างเช่น ชีวิตการทำงาน, ปรัชญาการใช้ชีวิต แต่เรื่องที่พี่รวิศเล่ามากเป็นพิเศษ คือ เรื่องของการวิ่ง โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอน ว่ามันเปลี่ยนชีวิตแกไปอย่างไร
ผมก็อ่านไปแบบไม่ได้สนใจอะไร จะเปลี่ยนชีวิตพี่ก็เปลี่ยนไปซิ ผมไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วยซะหน่อย ยิ่งเรื่องวิ่งน่ะมันคือ เรื่องธรรมดาสำหรับ New Yorker อยู่แล้ว ยิ่งพวกเรามนุษย์ห้องครัวด้วยนะ แค่ทำงานวัน ๆ นึง เดินจากหน้าร้านมาหลังร้าน ไปกลับ ๆ วันนึงก็สามไมล์กว่าแล้ว จะไปวิ่งอีกให้เหนื่อยทำไมฟ่ะ?
แม้ใจจะบ่นเป็นต่อยหอย แต่ผมก็อ่านไปเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดกับประโยคที่มันสะกิดใจ ประมาณว่า “...ถ้าอยากเอาชนะใจตัวเองให้ไปวิ่งมาราธอน” หืม....ขนาดนั้นเลย? ถามจริง? ชนะใจตัวเองน่ะเหรอ? แค่วิ่งเนี่ยนะจะรู้อะไรขนาดนั้น? ไอ้ผมก็เป็นพวกคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ซะด้วย ถือคติว่าถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลอง!
สามวันผ่านไป ผมก็เหมือนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ไฟแรง นั่งสไลด์โทรศัพท์ ดูรองเท้า เช็คอุปกรณ์ว่าต้องมีอะไรมั่ง ว่าง ๆ ก็ดูพี่คิปโชเก้แล้วก็ฝันว่าตัวเองเป็นเทพลู่วิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไหน 555 ว่างก็นอน อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ ดูทีวีเหมือนเดิม ห้วย! ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น......ตึกตัก...ตึกต๊ะตึก...ต๊ะตึกตึก (โปรดอ่านให้เป็นเสียงโทรเข้าไอโฟนนะครับ)
“ฮัลโหล ว่าไงพี่แจ็ค” ผมรับสาย พี่แจ็คแกเป็นศิลปินนักวาดรูปฝีมือดีอีกหนึ่งคนที่ยังหาความฝันอยู่ที่นิวยอร์ก สนิทกันเพราะเราเคยเป็นรูมเมท บ้านเดียวกัน แถมลงทะเบียนเรียนวิชาเมรัยศาสตร์กันมาก่อนก็หลายหน่วยกิจ
“พี่โต้ ผมจะมาชวนพี่...” พี่แจ็คบอก
“เฮ้ย! ไม่ต้องมาชวนกรูไปสัมมนา ขายตรงเลยนะ กรูเบื่อ” ผมรีบดัก เพราะหลัง ๆ เจอบ่อย
“เปล่าพี่ ผมจะมาชวนพี่ไปวิ่ง” พี่แจ็คตอบ เล่นเอาผมติดสตั๊นท์ นึกว่าหูฝาด เมื่อได้ยินวาจาของเพื่อน ที่เรียนเอกเบียร์ โทวิสกี้ อย่างแจ็คจู่ ๆ จะมาชวนไปวิ่ง
“มรึงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ มรึงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ!” ผมคิดในใจ นิ่งเงียบไม่ตอบคำ
“พี่โต้ ผมรู้นะว่าพี่คิดอะไรอยู่” แจ็คทักมาน้ำเสียงเหมือนรู้ทัน
“พี่คงคิดในใจว่า ‘มรึงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ มรึงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ’ ใช่ไหม ผมรู้นะ” แจ็คบอก ผมได้แต่ร้องว่าแม่นเหรี้ย!
แจ็คเล่าต่อว่า ตอนนี้แกตั้งแก๊งค์วิ่ง ชื่อ ‘แก๊งค์หางม้า’ นั้น ผมสัณนิษฐานว่า ชื่อแก๊งค์นั้นมาจากการที่แกเป็นศิลปินผมยาวสลวย สวยเก๋ เวลาวิ่งก็เลยต้องมัดผมเป็นหางม้า ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อทีมไป ก็เท่ดีนะ ตั้งตามคาแรคเตอร์ แหม่ เสียดาย ๆ ที่ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ด้วย ไม่งั้นชื่ออาจเปลี่ยนเป็น ‘หำม้า’ แทน 555
“วิ่งไรวะ” ผมถามเสียงนิ่ง ๆ จะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีพี่แจ็คชวนผม แก๊งค์หำม้า เอ๊ย! แก๊งค์หางม้า เขาวิ่งมาหลายต่อหลายสนามกันแล้ว ลงมาหมดแล้วแทบจะทุกสนามในนิวยอร์ก ว่าง ๆ แรงเหลือก็ไปวิ่งต่างรัฐอีกต่างหาก แกชวนผมมาสองสามครั้งผมก็ปฎิเสธตลอด ก็แหม่ ชวนแต่ละทีก็ไม่เคยดูเวล่ำเวลา ชวนซะกลางวง กำลังชงเหล้าอยู่เลย หมาหรือนักการเมืองที่ไหนมันจะไปวะ ถามจริง!
แจ็คชวนผมทีไร ผมก็อิดออด ให้เหตุผลว่า ไม่ว่างมั่ง เข่าไม่ค่อยดีมั่ง ก็เลี่ยงมาได้ตลอดจนนึกว่าพี่แจ็คคงเบื่อไม่อยากชวนวิ่งอีกแล้ว แต่นี่ก็ยังทู่ซี้จะมาชวนผมวิ่งอีกนะ
“วิ่งฮ๊าฟ มาราธอนครับ” แจ็คบอก
“มาราธอนฮ๊าฟ?” ผมพูดกลับไปตบเสียงตอนท้ายสูง ๆ ทำเป็นเหมือนประโยคคำถาม
“ไม่ใช่มาราธอนฮ๊าฟ ฮ๊าฟมาราธอนโว๊ย! เล่นมุขไรไม่รู้ เลอะเทอะ” แจ็คบอก
“มันมีแข่งเดือนห้าพี่ เป็นรายการวิ่งที่ Brooklyn สนุกพี่ เชื่อผม มาวิ่งกันเถอะ ๆ” พี่แจ็คเสริมข้อมูลมาให้ แต่ผมไม่สนใจกลับมองบน แต่ขณะจะปฎิเสธคำชวนอยู่นั้น จู่ ๆ ห้องก็เหมือนถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองเรืองรองขึ้นมา ผมหันไปมองด้านหลัง ก็พบว่าหนังสือ ‘ที่...หัวมุมถนน’ ที่ผมเอากลับมาอ่านที่บ้านกำลังฉายแสงออกมาอยู่
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อยู่ดี ๆ ก็ฮึกเหิม คิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็กำลังบ่นอยู่เลยว่าอยากจะลองวิ่งมาราธอนดู อยากรู้ว่าการวิ่งมาราธอนเนี่ยจะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือเปล่า แต่จะไปวิ่งเลยก็คงไม่ไหว เพราะแมร่งไกล เอาเป็นว่า คนละครึ่ง ลองลง Half ดูก่อนก็แล้วกัน
“เอ้าวะ พี่กล้าชวน ผมก็กล้าลง” ผมตอบไป พี่แจ็คดีใจ ก่อนจะรีบปิดการขาย อธิบายต่อว่าต้องสมัครยังไงให้กับผม
“พี่เข้าไปที่เว๊ปมัน ชื่อ ‘NYRR’ (New York Road Runner) ไปเปิดเมมกับมันก่อนแล้วก็เข้าไปที่ Brooklyn Half Marathon นะครับ” แจ็คบอก ผมก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เปิดเมม...แหม่ ได้เหล้าสองขวดป่าววะเนี่ย เอ๊ย ไม่ใช่ล่ะ ๆ ก่อนจะหารายการชื่อ Brooklyn Half Marathon แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอว่า
“เช็ดเขร้! เปิดเมม $40 ต่อปี ค่าสมัครวิ่งอีก $80” ผมสะดุ้งเมื่อเห็นราคาค่าเปิดเมมกับค่าวิ่ง คือโดนไปเป็นร้อยเหรียญเนี่ย เท่ากับทำงานทั้งวันเลยนะ วิ่งก็เหนื่อยกรู ตังก็ไม่ได้ แถมยังต้องลางานเสียรายได้ เสียแม่มทุกอย่าง!
“เฮ้ยพี่ เชื่อผม แมร่งดีจริง” พี่แจ็คชวนอีกครั้ง ใจผมก็คิด เอาไงดีวะกรู อืม แจ็คมันก็ไม่ได้จะมาชวนผมไปเป็นดาวน์ไลน์ หรือไปลงขวด ลงชาบูอย่างที่เคยซะหน่อย เสียเงินแค่นี้เองจะกลัวอะไรฟ่ะ นี่มันเป็นพรหมลิขิต บัญชาสวรรค์ บันดาลมาจากฟ้าแท้ ๆ นะ ที่ส่งแจ็ค เทวดาในคราบซาตานมาชวน 555
“อะเคร ๆ ลงก็ได้วะ” ผมตบปากรับคำพี่แจ็คไปแบบเอาก็เอาวะ ให้มันรู้กันไป ผมก็สมัครจ่ายตังเบ็ดเสร็จในไม่กี่อึดใจ ความรู้สึกเหมือนกับโดนป้ายยา เบลอ ๆ ให้ทำอะไรก็ทำ รู้ตัวอีกที เหรี้ย! กรูเสียค่าสมาชิกไปเรียบร้อยแล้ว!
“งานนี้เหรียญสวยครับ ผมรับรอง!” แจ็คบอก แหม่ มีให้คะแนนเหรียญสวยด้วย สมกับที่เป็นศิลปินจริงจริ๊ง ก่อนจะบอกว่าอย่าลืมซ้อมด้วย ไม่งั้นไม่น่ารอด ก่อนจะวางสายไป ทิ้งให้ผมได้แต่คิดว่า ไม่วิ่งก็ต้องวิ่งล่ะ ลงเงินไปเป็นร้อยเหรียญแล้ว เสียเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องเสียเหงื่อด้วยซะแล้ว ว่าแล้วเย็นวันนั้น ผมก็เริ่มออกไปซ้อมวิ่งทันทีครับ
การออกรอบวิ่งครั้งแรกนั้นเรียกได้ว่า สภาพทุลักทุเลเหมือนซอมบี้ใน Walking Dead คือ คนมันไม่เคยวิ่งอ่ะครับ พอวิ่งแป๊ปเดียวก็เจ็บเท้า ก็เลยเดินกระเผล็ก ๆ ร้องอืออา ๆ หอบเป็นหมาเหนื่อยตลอดทาง ใจนี่เต้นตุบ ๆ แรงอย่างกับจะระเบิดออกมา ขาสั่นแถมหนักจนยกแทบไม่ไหว เหงื่อแตกเหมือนวิ่งเป็นสิบไมล์ แต่พอกดดู App วิ่ง ชื่อ Strava เลยรู้ว่าตัวเอง เพิ่งวิ่งไปได้ประมาณไมล์นิด ๆ โอ๊ยยย.... กรูจะรอดไหมเนี่ย
ช่วงที่ออกวิ่งแรก ๆ นั้นเหนื่อยแบบแทบลากเลือด ทรมานนรก ถามตัวเองทุก ๆ ก้าวว่า ทำไมกรูต้องมาทนทรมานอยู่อย่างนี้ด้วย แต่พอผ่านไปซักสี่ห้าครั้ง ร่างกายก็เหมือนจะเริ่มปรับตัวได้บ้าง ออกวิ่งได้ไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ทำได้สองสามไมล์ ก็เริ่มกลายเป็นสี่ห้าไมล์...แล้วก็หกเจ็ดไมล์ แต่ก็ด้วยความที่ตารางชีวิตไม่ค่อยจะประจำเหมือนชาวบ้านเขา ว่างก็วิ่ง ไม่ว่างก็ไม่วิ่ง วิ่งได้ครั้งนึงก็ 3-4 ไมล์ ว่าเราเหนื่อยล้าจากงานมั่ง เวลาก็ไม่ค่อยจะมี แล้วก็เอาเหตุผลมาร้อยแปดเพื่อสนับสนุนการอู้ของตัวเอง 555
ผมซ้อมอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน จนกระทั่งถึงวันแข่งวิ่งก็มาถึง รายการวิ่งที่ชื่อว่า ‘The Popular Brooklyn Half marathon’ ผมก็ทำใจบอกตัวเองว่า
“เอาวะ ซ้อมแค่นี้ก็พอแล้วล่ะมั้ง วิ่ง Half Marathon มัน 13.1 ไมล์ ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวล...”
ที่จุดฝากสัมภาระที่อยู่ที่บริเวณหน้า Brooklyn Museum คนสองหมื่นกว่าคนมายืนกันเต็มถนนที่ปิดเอาไว้เฉพาะงานนี้ แต่แม้คนจะเยอะมากแต่การจัดการเรื่องคิวฝากของหรือห้องน้ำ ก็ไม่ได้แย่เลย ยกนิ้วให้แม่งานครับ! ขณะที่ผมกำลังยืนงง ๆ ว่าควรจะไปอยู่ตรงไหนนั้น ก็มีเสียงเรียกเป็นภาษาไทยลอยมาแต่ไกล
“พี่โต้ ๆ พร้อมยังพี่” พี่แจ็คถามพร้อมเดินมาหา พ่วงด้วยสมาชิกแก๊งค์หางม้าอีกเป็นสิบคนที่มาร่วมวิ่งด้วย แต่ละคนดูสดชื่นอย่างกะม้าดีด! 555
“พร้อมแค่ไหน พร้อมแค่นั้นพี่ แต่ตั้งแต่ซ้อมมา ไม่เคยวิ่งเกิน 7 ไมล์เลย” ผมตอบ
“ระวังตะคริวกินนะพี่” พี่แจ็คบอก แต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ งานก็เยอะ เมื่อคืนยังเลิกงานเกือบตีสอง ตื่นมาวิ่งตอนตีห้าได้แบบไม่เลิกซะก่อน บอกตรง ๆ ว่าแทบจะไม่เชื่อตัวเองเล๊ย 555
“ไงถ้าพี่จะเก็บสะสมคะแนนสนาม เอาไว้แข่ง New York Marathon ปีหน้า พี่ต้องวิ่งเข้าเส้นชัยในสามชั่วโมงนะพี่” พี่แจ็คบอก ผมเองก็ไม่สนใจอะไร ไม่ได้กะจะไปแข่งสนามไหนอยู่แล้ว เอาสนามนี้ให้รอดก่อนก็พอ 555 แถมตอนซ้อมเนี่ย Pace ของผมอยู่ที่ 11 นาทีต่อ 1 ไมล์ แปลว่าหนึ่งชั่วโมงผมจะวิ่งได้ประมาณ ห้าไมล์กว่า ๆ แปลว่าผมน่าจะจบงานนี้ที่สองชั่วโมงครึ่งแบบสบาย ๆ
“ป่ะพี่ เข้าข้างในกัน” พี่แจ็คชวนเข้าข้างใน ระบบความปลอดภัยที่นี่ก็ถือว่าเข้มงวดมากเลย มีการแสกนตัว การเดินผ่านที่ตรวจจับวัตถุ คงเป็นเพราะว่าจากที่เกิดโศกนาฏกรรมวางระเบิดที่งาน Boston Marathon เมื่อหลายปีก่อนทำให้การรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังมากที่สุด
ขณะที่พวกเรากำลังยืนรอปล่อยตัว บ้างก็ยืดเส้น ยืดสายเพื่อให้ร่างกายมันพร้อมกับการที่จะต้องวิ่งระยะไกล ๆ พี่แจ็คก็มาหาผม
“อ่ะ พี่โต้ พกไว้ซดเวลาหมดแรงนะพี่” พี่แจ็คบอก พลางยัดซองอะไรไม่รู้มาให้ในมือ พอดูก็เห็นว่ามันเป็นซองเจลเพิ่มพลัง ฉีกดูดเติมพลังงานได้เลยแบบทันที ก่อนจะอธิบายให้ผมรู้ว่า การวิ่งระยะไกล ๆ ต้องมีการเติมพลังระหว่างทาง ไม่งั้นน็อค แถมนักวิ่งป้ายแดงแบบผม ดูทรงแล้วไม่น่ารอด 1,000% แกเลยแบ่งเจลให้ ผมได้แต่คิดในใจว่า แหม่ ดูแลดีจริง ๆ ถ้าเป็นแฟนนะ รักตายเลย 555 ผมเองก็ออกลูกเกรงใจ ไม่กล้ารับ
“เฮ้ย เอาไปพี่ เชื่อผม พี่ต้องใช้มัน” พี่แจ็คบอกเสียงเข้มจนผมไม่รู้จะปฎิเสธไปทำไม
“เจอกันที่เส้นชัยนะครับ!” แก๊งค์หางม้าร่ำลากัน ก่อนจะแยกกันไปที่จุดออกตัวกันตามเวลาของแต่ละคน แต่ละคนตอนนี้ดูสดเหมือนม้าดีด
ปรี๊ดดด! เสียงนกหวีดปล่อยตัวดังลั่น พี่น้องนักวิ่งทั้งหลายต่างทยอยออกตัวกันอย่างพร้อมเพรียง งาน Brooklyn Half Marathon เขาออกตัวกันในสวนสาธารณะ Prospect Park ไมล์แรก ๆ เขาจะให้เราชิล ๆ วิ่งชมนกชมไม้ในสวนพองาม แต่พอเข้าไมล์ที่แปดก็จะเป็นทางตรงให้เราควบยาวไปอีกห้าไมล์ เส้นชัยอยู่ตรงล่างสุดของ Brooklyn ที่เป็นชายหาดที่ชื่อว่า Coney Island
ในช่วงแรกบอกตรง ๆ ว่าไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นอะไรกับเขาเล๊ย วิ่งไปเรื่อย ๆ เจอสาวสวยนุ่งกางเกงขาสั้นน่ารัก ๆ ผมก็เร่งฝีเท้าวิ่งตามไปเพลิน ๆ แต่เอ๊ะ ทำไมน้องสาววิ่งเร็วจริง ๆ ตามไม่ทันเลย นี่นางเป็นน้องสาว คิปโชเก้ หรือไงฟ่ะ!
หลังจากวิ่งเพลิน ๆ ดู Pace ตัวเองก็โล่งใจ เพราะอยู่ที่ 11 นาทีนิด ๆ ต่อ 1 ไมล์ เรียกว่าวิ่งได้อย่างกับที่ซ้อมมาเลย ไม่น่ามีปัญหาเรื่องเวลาเข้าเส้นชัยภายในสามชั่วโมง มองหลักไมล์ที่เพิ่มขึ้นทุกครั้ง ก็แปลว่าใกล้จุดหมายขึ้นไปเรื่อย ๆ สี่...ห้า...หก...เจ็ด... ขามันก็เริ่มจะตึงหน่อย ๆ แต่คิดว่าสบาย ค่อย ๆ ไป ไม่มีปัญหา
จนวิ่งผ่านหลักไมล์ที่แปด “เกินครึ่งทางแล้วว๊อย อีกนิดเดียว” ผมคิดในใจ แล้วทันใดนั้นเองครับ ผมก็ร้องโอ๊ย วิ่งเสียศูนย์ จู่ ๆ ตะคริวก็กินแบบไม่ทันตั้งตัว รีบเดินกึ่งเขย่งไปนั่งลงข้างทาง เอามือบีบนวดตรงต้นขา คือ ผมซ้อมวิ่งมาประมาณหกเจ็ดไมล์เท่านั้น ไม่เคยวิ่งไกลกว่านั้นเลย พอมาเจอสนามจริงที่ยาวกว่าเดิม ร่างกายไม่คุ้นเคย รับไม่ไหว ตะคริวก็รับประทานไป หน้าเพื่อนแจ็คลอยมาแต่ไกล ‘ระวังตะคริวกินนะพี่’
แต่โบราณว่าไว้ ‘The Show must go on’ โชว์เริ่มเล่นไปแล้วจะเลิกกลางคันได้ยังไงล่ะครับ เหมือนรัฐประหารมาแล้ว จะไม่เป็นนายกต่อเหรอ เอ๊ย ไม่ใช่ ๆ คือ เกิดมาเพิ่งเคยวิ่งลงงานเป็นครั้งแรก เลยไม่รู้จะเลิกยังไง 555 ไอ้จะให้เดินออกไปขึ้น Subway กลับบ้านเหรอ ที่วิ่งมาก็สูญเปล่าน่ะซิ เสียตังค่าสมัครไปเป็นร้อย ต้องวิ่งให้คุ้มซิ!
ผมนวดไปได้ซักพัก อาการตะคริวก็ดีขึ้น กลับเข้าสนามไปวิ่งต่อ วิ่งไปเรื่อย ๆ อาการตะคริวเจ้ากรรมก็แสดงตัวออกมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ นวดแล้วนวดอีก ยืดแล้วยืดอีก พอเราหยุดบ่อยเข้าๆ เหมือนเครื่องมันจะดับครับ แต่ล่ะก้าวนี่รู้สึกขามันหนักมาก ระยะทางแต่ละไมล์ก็เหมือนจะยาวขึ้นๆ เลขหลักไมล์ที่ตอนแรกเห็นแล้วรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้น กลายเป็นรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เหลืออีกสี่ห้าไมล์เลยหรอวะ.... พลางได้แต่สบถในใจ
สภาพผมเหมือนกับรถยนต์เครื่อง Overheat เวลาผ่านจุดดื่มน้ำข้างทาง ผมกวาดน้ำอย่างกับอูฐหิวน้ำ เดินพ้นมาได้ไม่ทันไร ท้องก็ร้องโคร่ก ๆ หิวข้าวไปอีก!
“จะเอาอะไรกับกูอีก!” ผมสบถในใจ ขณะที่กำลังท้อแท้อยู่นั้นเอง ก็ฉุกคิดได้
“เจลพลังงาน!” หน้าพี่แจ๊คลอยมาอีกทีนึง 555 ผมรีบแกะออกมาดูดแบบแทบจะเลียซอง! ก่อนจะต้องอุทานกับความแปลกของเจ้าตัวเจล ที่เหมือนเมือกข้น ๆ ต้องบีบตูด ดูดปากถึงจะได้ รสชาดมันโอเคอยู่ อารมณ์เหมือนน้ำผึ้งหวาน ๆ ข้น ๆ ด้วยความหิวจัดดูดทีเดียวหมด 3 ซอง! กินแล้วเหมือนมีแรงขึ้นมาทันที แต่คอแห้งสั้ส! แถมเพิ่งผ่านจุดดื่มน้ำมาด้วย เวร!
อดทนลากสังขารมาได้จนถึงไมล์ที่สิบเอ็ด ขณะที่แวะกินน้ำกับนวดขาอยู่คิดในใจ อีกสองไมล์เองโว๊ย พลางกดดู App ว่าตอนนี้เราวิ่งมากี่นาทีแล้ว ก่อนจะตกใจ เมื่อเห็นว่าผมลากไปแล้วสองชั่วโมงครึ่ง! Pace ผมหล่นไปแถว 14 นาทีต่อไมล์
ตาเหลือบไปมองทางวิ่ง เห็นรถงานเก็บกรวยไล่หลังมาไกล ๆ เยี๊ยดเปียด! นี่กรูอยู่ท้ายขบวนแล้วเหรอวะเนี่ย! ก่อนกัดฟันลุกขึ้น บอกตัวเองว่าห้ามหยุดพักแล้ว ไม่งั้นงานนี้จบไม่สวยแน่!
ผ่านไมล์ที่ 12 สภาพเหมือนซอมบี้โดนสิบล้อทับขาหลัง วิ่งนะ แต่ความเร็วเหมือนเดิน ได้แต่บ่นกับตัวเองว่า “กูมาทำอะไรเห้อะไรที่นี่วะ!” ก่อนจะเขย่งตัวไปข้างหน้าแบบกระท่อนกระแท่น ทันใดนั้นผมก็นึกถึงหนังสือของ พี่รวิศ กับคำถามที่ผมอยากจะหาคำตอบ ว่าการจะชนะใจตัวเอง มันต้องลองวิ่งมาราธอน!
เย้สเข้! ซาโตริ! ยูเรก้า! ตระหนักรู้! รัฐประหาร! เอ๊ย ไม่ใช่ๆ ผมเข้าใจแล้วว่า การจะชนะใจตัวเอง มันต้องเริ่มที่ตัวเอง แล้วจะเริ่มจากตรงไหนเหรอ ก็เริ่มที่ก้าวแรกไงละ จากนั้นก็ก้าวทีละก้่าว... เราอาจจะไม่เร็วเท่าคนอื่น แต่ตราบใดที่ยังไม่ตายและก้าวต่อไปไม่หยุด ไม่เลิก การชนะความเจ็บปวด ชนะความอยากเลิก นั่นแหละคือ การชนะใจตัวเอง! วันนึงเราต้องผ่านเส้นชัยของความฝันและมันก็จะกลายเป็นความจริง เชี่ย ขนลุกพรึ่บ!
แม้จะเข้าใจแล้วว่า การชนะใจตัวเองนั้นเป็นยังไง แต่ร่างกายมันไม่ทำตามอ่ะครับ ก่อนจะร้องโอดโอยทุกครั้งที่ก้าวขาออกไป และขณะที่ใจกำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรงอยู่นั้น ผมก็ตาลุกวาว เมื่อเห็นหน่วยสนับสนุนที่ชื่อ Bio Freeze โดยเขาจะคอยฉีดสเปรย์เย็นๆ ช่วยคลายกล้ามเนื้อให้กับนักวิ่ง
“ขอหน่อยได้ไหม?” ผมบอกทีมงานเสียงอิดโรยมาก นางเห็นสภาพผมคงรู้ว่าไอ้นี่ไม่ไหวแล้ว ก่อนจะฉีดให้ทันทีครับ แต่ด้วยความที่ผมใส่กางเกงขายาว (และผมน่าจะเป็นคนเดียวในงานเลยมั้งที่ใส่กางเกงขายาววิ่งในงานหน้าร้อน!) สเปรย์มันมันฉีด เข้าไม่โดนเนื้อขาข้างใน เลยแค่รู้สึกเย็นเบา ๆ เท่านั้นเอง ผมพยายามดึงขากางเกงขึ้น แต่ขากางเกงเจ้ากรรมก็ฟิต พอดีขาเสียเหลือเกิน!
“มันไม่โดนอ่ะ” ผมบอกพลางสบตาเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้หญิง ว่าแล้วผมดึงกางเกงลงทันที พรึ่บ! เหลือแต่ Boxer ตัวจิ๋วข้างใน
“ว๊อทเดอะฟลัก!” เจ้าหน้าที่สาวอุทานเสียงหลง นักวิ่งกับเจ้าหน้าที่แถวนั้นถึงกับหันมามองเป็นตาเดียว ไอ้ตี๋คนนี้มันทำอะไรของมันฟ่ะ!
“ขออีกยกนะ เอ๊ย! ขออีกทีนะ” ผมบอกพลางยิ้มแฉ่ง เจ้าหน้าที่สาวสวยตกใจ รีบสะบัดฉีดให้ผมทันที คงตะลึงในความใหญ่ เอ๊ย ไม่ใช่ๆ คงอยากให้ผมไปไกลๆ 555
ว่าก็ว่าไป เจ้าสเปรย์ Bio Freeze นี้มันมีพลานุภาพที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ครับ มันโคตรจะเย็น ทำให้ขาที่อ่อนแรงของผมสดชื่นขึ้นได้ทันที (ไม่ได้รับค่าโฆษณามานะ 555) ผมกลับมาวิ่งขย่อง ๆ ได้อีกครั้งนึง 'เช็ดโด้ ของแมร่งดีจริง' ผมคิดในใจ แต่ขณะที่กำลังดีใจอยู่นั้นเอง เอ๊ะ! ทำไมความเย็นมันเริ่มแผ่ซ่านไปยังอวัยวะเล็กๆ ที่อยู่เหนือต้นขานะ?
“โอ๊วววว....ไม่นะ ขุ่นพระช่วย! ซี๊ดส์...” ผมเริ่มดูดปาก ขาเริ่มขยิบ ขณะที่ตูดเริ่มขมิบ น้องชายผมโดน Freeze เข้าไปด้วยครับ! เย็นขนาดไหน ให้นึกถึงสมัยเป็นเด็กที่อาบน้ำแล้ว เอาแป้งตรางูทาไข่นั่นแหละครับ แสบสั้ส โอ๊ยยยยยย!
มันเป็นภาพที่ดูแล้วชวนสยองขนลุกขนพอง ยากจะพรรณนาออกมาเป็นตัวอักษรจริง ๆ ครับคุณผู้อ่านเอ๊ย! หนุ่มเอเชียหน้าซังกะตายแบบคนหมดแรง แถมยังเดินกระเผล็กพร้อมเหน็บตูด หนีบไข่เป็นระยะ ๆ แล้วช่วงประมาณห้าร้อยเมตรสุดท้ายนี่ก็เป็นช่วงที่มีช่างภาพ มีผู้ชมมารอดูนักวิ่งเต็มไปหมดอ่ะครับ หมดกันที่กรูกะจะเก็กหล่อ!
ในที่สุดผมก็กัดฟันเข้าเส้นชัยด้วยเวลาอยู่ที่ 2:58:59 นาที! เรียกว่าเข้าเส้นชัยก่อนเส้นตายแค่นาทีเดียวเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่โคตรจะโล่งอ่ะครับ แบบว่ากรูทำได้แล้วโว๊ย อะไรประมาณนั้นเลย
ขอขอบคุณพี่รวิศ หาญอุตสาหะ ที่แนะนำให้ผมได้รู้ถึงการวิ่ง (Half) มาราธอนที่เป็นที่มาของประสบการณ์ที่ดีครั้งนี้, ขอบคุณพี่แจ็ค เพื่อนเลิฟที่ชวนมาทรมาน, ขอบคุณพี่น้องแก๊งค์หางม้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำอย่างดีเยี่ยม และขอขอบคุณเจ้า Bio Freeze สเปรย์โคตรพ่อโคตรแม่ เจ้าแห่งความเย็น ฉีดขาแต่เย็นถึงไข่!
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า 'ชีวิตก็เหมือนการวิ่งมาราธอน มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเข้าเส้นชัยก่อน มันสำคัญแค่ว่า คุณเข้าเส้นชัยได้หรือไม่เท่านั้นเอง’ ผมว่าถูกต้อง 100% เลยล่ะ การวิ่ง คือ การแข่งขันกับตัวเอง อาศัยความมีระเบียบ มีวินัยในการออกกำลังกาย และเส้นชัยคือ ความสำเร็จ และทุกความสำเร็จมันเริ่มจากก้าวแรกเสมอ
หากชอบ เอ็น.วาย.กู. New York Kitchen University สามารถอ่านเพิ่มเติม, กด Like, Subscribe, Comment, Share ก็จะขอบคุณมาก ๆ คร้าบบบ ^^

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา