29 มี.ค. 2023 เวลา 14:35 • ปรัชญา
เรื่องของสิ่งที่ปกปิดเราอยู่ .มันก็เรื่องของอารมณ์ที่เราใช้ ในกายเรานั้น เค้าบอกว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประทาน แต่จิตเรามันใหญ่ไม่จริง มันเป็นจิตดวงเล็ก ริบหรี่ เหมือนหิ่งห้อย มีแสงวับๆยิบๆเหมือนถูกลม ถูกอารมณ์ก็ปลิวพัดไปตามลม ตามอารมณ์ ขึ้นๆลงๆ เกิดๆดับๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวพอใจ เดี๋ยวไม่พอใจ อยู่ๆก็หน้าคว่ำ ไปเสัยยังงั้น ไม่อยากพูด อยากจา มันเป็นทาสของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย ที่สั่งจิตให้ใช้กาย ใช้วิญญาณหก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
จิตเรามันถูกอารมณ์ใช้ ที่เค้าเปรียบเสมือนควาย ที่ถูกอารมณ์สนตะพาย จูงจิต..ให้ใช้กายวาจาใจไปตามที่อารมณ์เค้าสั่ง อารมณ์เป็นนายจิตเป็นบ่าว
การที่จะไปถึงขั้นหูทิพย์ตาทิพย์ได้ ก็ต้องชำระสะสาง ..อารมณ์ต่างๆ ที่เป็นเหมือนสิ่งสกปรกเลอะเทอะออกไปจากกาย ออกไปจากวิญญาณทั้งหก ที่เป็นสภาพนามธรรม ต้องทำความให้ใสสะอาด เอาสิ่งสกปรกออกไปคืออารมณ์ออกไป ..แล้วจิตนั่นก็ต้องมีกำลัง มีแสงสว่าง เค้าเรียกว่า จุดเทียนธรรม กายนั้นเปรียบเสมือนเที่ยน จิตนั้นเปรียบเสมือนไส้เทียน
1
เราก็หาวิธีทำให้ใส้เทียนนั่นสว่างไสว เพื่อที่จะอาศัย ถูกจุดขึ้นมา ให้จิตนั้นมีแสงสว่างเกิดขึ้น วิธีการจุดเทียน ก็นำกายที่พ่อแม่ให้มา มาสวดมนต์ กราบพระ สร้างบุญกุศล นำกายมาปฏิบัติธรรม ..เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(อัครสาวก เช่น พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอานนท์ พระสีวลี ..) ให้จิตเราอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
เพราะจิตของพระ จิตพระอริยะ พระอรหันต์ท่านบริสุทธิ์ ..เราก็นอบน้อมจิตกราบท่าน ..ที่มีจิตบริสุทธิ์ ทำใจเราเฉยๆนิ่งๆ จิตไม่มีอะไร ไม่อารมณ์นึกคิดอะไร กราบพระสวดมนต์สัการะบูชาด้วยจิตของเรา เราทำไปเรื่อย เพื่อที่จะขยับขยายจิตหิ่งห้อยให้ส่องสว่างมากขึ้น เพื่อที่จะให้จิต..ได้เรียนรู้จักพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาเรียนธรรมของท่านที่เป็นพระบรมครูของจิตเรา
..จิตเราก็จะค่อยๆรับรู้ เรืองของกายของอารมณ์ เรื่องของกรรมที่เราสะสมมากเอง แต่นั่นแหละ เราต้องหมั่นเพียรกระทำ เพราะเราเป็นเหมือนจิตหิ่งห้อย..ต้องอาศัยจิตที่มีกุศลบุญบารมีเต็มดวงจิต ปลดปล่อยความโลภโกรธหลง ให้ค่อยๆออกไป จากกายวาจาใจของเรา ท่านบอกว่า หากกายวาจาใจเราบริสุทธิ เป็นกายบุญบารมี จิตเราก็จะได้ศึกษาเรื่องราวที่ละเอียดมากขึ้น ไปตามกำลังบุญบารมีของจิต ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมได้
1
จิตทำได้ ด้วยการอาศัยกายมาเดินในกิริยาของผู้ที่สำเร็จธรรม ด้วยกิริยาทั้งสี่ ทำไปจนทั้งกายนิ่งไม่ไหวติง จิตก็นิ่ง เรื่องกายนิ่ง จิตนิ่ง เป็นเรื่องที่จิตจะได้ศึกษาทุกข์ของกาย ทุกข์ที่ทำให้ต้องเกิด เกิดมาแก่เจ็บตาย แล้วละเหตุที่ทำให้เกิด ให้จิตนั้นจับอารมณ์ออกไปทิ้ง ด้วยอาศัยรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะสำเร็จตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วแนะนำสาวกของท่าน พระอัครสาวกให้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติตามรอยที่ท่านแนะนำให้
ส่วนพระเทวทัต..ท่านคิดเป็นใหญ่ อยากครองศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุททธเจ้า จิตมันก็เลยหนัก หนักด้วยเวรกรรม ที่ตนไปกระทำเอง..ทำให้แม่ทั้งสี่ที่กายอาศัย เป็นธาตุกรรม ไม่มีใครทำให้ ก็ต้องรับกรรมของตนเอง จิตถูกดูด.งมหาธาตุหรือดินฟ้าอากาศดูดลงนรกอเวจี หายจากโลกไปนาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ขึ้นมามีกายเป็นมนุษย์
มีเรื่องหนึ่ง เรื่องอสุภะ .เป็นเรื่องของธรรมสอนจิต ดึงจิตของเราออกไปยืนดู เรือนกายของเรา แล้วก็ลอกหนังออกไป ดูน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลออกมา ดูเรือนกายของที่เปลี่ยนสภาพขึ้นอืด ลิ้นออกมาจุกปาก ดูลมดูแก๊สที่ดันปะทุออกมาจากเปื่อยเน่าในเรือนกาย
เมื่อออกไปยืนดูกายที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วกลับมาเหมือนเดิม..แล้วเค้าก็บอกให้เข้าไปอาศัยในเรือนกายใหม่..ถามว่าเมื่อเราเห็นสภาพกายที่เปลี่ยนแปลงเน่าเปื่อยเหม็นเน่าแล้ว..เราอยากกลับเข้ามาอาศัยในเรือนกายอีกหรือไม่.. นั้นเป็นเรื่องของธรรมสอนจิต ให้จิตเรารู้จักกายที่อาศัย ให้จิตเราดู จิตเราจะยึดเรือนกายนี้แบบไหนล่ะ กายนี้เป็นของเราอีกต่อไปมั้ย แล้วทำไมเราต้องกลับมาอาศัยกายนี้อีก.. อยู่กับของที่มันเน่าเหม็น เหมือนผลไม้ หากปล่อยไว้เฉยมันก็เน่า เรากินเข้าไป ..มันก็ไปเน่าในท้อง .กายก็ต้องขับถ่ายของเน่าๆออกมา
โฆษณา