1 เม.ย. 2023 เวลา 01:41 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของสมาธิ มันมีการใช้คำว่าสมาธิกันเกลื่อนกลาด สมาธิที่ปราศจากนิวรณ์ ขจัดความยึดถือ....ถือตัวถือตน ..ขจัดความยึดถือ สิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต..ขจัดความโลภโกรธหลงออกไปจากจิตนั่นกระทำได้ยากให้เหลือแต่จิตดวงเดียว มีสติสัมปชัญญะของจิต
สมาธิที่มุ่งมั่นหาอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช อยากได้ฤทธิ์ ก็มีมากมาย ..แต่หาผู้ที่ทำสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ ขจัดสิ่งสกปรก เลอะเทอะออกไปจากจิต หาผู้ที่กระทำได้..หายาก
..บางคนนั่งสมาธิ ก็ถูกอารมณ์สกัดกั้น พาคิดเรื่องนั่นเรื่องนี้ นั่งเป็นได้ เป็นชั่วโมงๆ ด้วยจิตที่ปรุงแต่งด้วยอารมณ์ หลง..เข้าใจว่าเป็นสมาธิ
..บุคคลที่สามารถใช้สมาธิของจิต ให้เกิดปัญญาธรรมได้ ก็เห็นจะมีแต่องค์พระสิทธัตถะเป็นเยี่ยงอย่าง ท่านกระทำในที่แจ้ง ตากแดดตากฝน จนจิตของท่านพ้นทุกข์ …ท่านไม่ได้ไปนั่งทำในเวียงวัง
การที่เราดูรอยองค์พระสิทธัตถะ ก็เพื่อที่จะเตือนสติของเรา ว่าผู้ที่ท่านมีปัญญาสละทรัพย์สมบัติ เวียงวัง ท่านกระทำแบบไหน เพื่อเกิดเป็นชาติสุดท้าย ส่วนเราไม่มีปัญญาทำตามท่านได้ ไม่มีแม้เศษองธุลีของท่านได้เลย..ก็อาศัยคำสอนของท่าน นำกายวาจาใจ มาสร้างสะสมคำว่าบุญกุศลบารมี ให้แก่จิตของตนเอง
..บางคนก็ ว่า ..ทำอย่างนี้เป็นสมาธิ ..สมาธิตามอารมณ์..สบาย.สุขสบาย.. จิตมันก็จมอยู่แค่ตัวสุขสบาย มีที่สบาย ห้องแอร์เย็นๆ ..นั่งสมาธิสุขบาย ..มุ่งมั่นหาความสุขสบายของอารมณ์ ที่เกิดที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ วนเวียนอยู่แค่นี้ ไปไหนไม่ได้ เค้าเรียกว่า จมอยู่กับมายาที่เป็นกามารมณ์..กามาวจร ลดละอะไรไม่ได้เลย ..(สมาธิ ..บำเรอกามมันก็มี คนก็ชอบอกชอบใจ สบายอารมณ์ที่ปรุงแต่งเรือนกาย)
..บางคน บอกว่า ทำสมาธิ ..ก็เอาคาถามาท่อง ..ท่องได้เป็นชั่วโมง บริกรรมคาถาเป็นชั่วโมงๆ ..แล้วที่เค้าบอกว่า ..ทำสมาธิเพื่อ..ปล่อยวาง ..ทำจิตเจ้าไปหาพระ ให้จิตเป็นพระ..ภาวนาสองคำ พุทโธ..แค่นี้พอแล้ว..แล้วไปท่องคาถามุ่งมั่นอยากได้อะไร ..ให้เป็นมายาปรุงแต่งจิตของตัวเอง..ไปเรียกร้องหาอะไร..เข้ามาสู่จิต .. แล้วจะสามารถมีสัมปชัญญะ ดูลมกายใจเจ้าออกได้ภายในกายได้หรือ..
..แล้วมันก็เรื่องแปลก คำสองคำนี้ ..คำว่า ..พุทโธ ..ภาวนา..กำกับสติที่ดูลมหายใจเข้าออก ตลอดสายที่นั่งปฏิบัติธรรม ..กระทำได้ยาก .. ขาดคำว่า..พุทโธ..ไปก็แสดงว่าขาดสติ ..นั่นคือ เรื่องราวของจิตที่จะมุ่งมั่น ให้จิตเข้าหาพระ.. ไม่แวะไปถวิลหาอารมณ์เข้ามาในขณะที่ปฏิบัติธรรม..
แล้วยังมีเรื่องราวของกิริยาของกาย..นั่งพับเพียบนอบน้อม..ที่ต้องเพียรตรวจสอบตัวเอง ในขณะที่ปฏิบัติธรรม ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา นั่งตัวตรงเหมือนเสาที่ปักตั้งตรง หนักแน่น ไม่ขยับเขยื้อนอะไรเลย ..มีสติปัญญา..รักษาเสานี้ให้มั่นคง ตลอดการประพฤติปฏิบัติธรรม..
หากคนที่เค้าทำสมาธิได้จริงๆ จิตเค้าย่อมมีความเปลี่ยนแปลง ผลักดันชีวิต..ให้สนใจเรื่องราวการแก้ไขนิสัยตัวเอง ที่หลงใหลอยู่ในโลกที่ให้มายา เป็นอารมณ์ปรุงแต่ง ทำอย่างไรจิตจะได้รู้จักคำว่ากรรม ลดละกรรมนั่นออกไป ให้เกิดเป็นอโหสิกรรม
..จิตจะค่อย.ๆ แยกทางเดินออกมา จากที่เคยเห็นทะเยอทะยานเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ยศฐานบรรดาศักดิ์ มันก็จะค่อยผ่อน..มาทำความเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้ ว่าจิตทะเยอทะยานไปหาสุขหรือทุกข์กันแน่ ใคร่ครวญพิจารณาเรื่องราวบุญกุศลนั่นเป็นอย่างไร มันมีเรื่องราวมากมาย ที่จะได้เรียนรู้จัก ฝึกหัดเดินตามรอยสมาธิขององค์พระสิทธัตถะ มิใช่สมาธิฌานฤาษีที่หวังอยากได้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์โลกีย์ …หลอกลวงจิตให้มีกรรม
..รอยทั้งสี่ รอยกิริยาเดิน นั่ง ยืน นอน มีแค่คำภาวนา ..พุทโธ..ให้จิต..ไม่มีกรรม หลุดพ้นจากอารมณ์กรรม..รอยนี้..เป็นรอยของผู้ที่บุญกุศล ที่จะหนีกรรม..หากสะสมไม่เพียงพอ ..ก็เหมือน เดินตกบันได้แก้วที่ใสสะอาด ลาดชัน ..ที่ทอดลงมาให้เดิน ..เดินไม่ดีก็หกล้มลื่นไถล นำกายมาปฏิบัติธรรมในรอยนี้ไม่ได้เลย
..จึงต้องไปเดินในรอยอื่น ..รอยสร้างเวรกรรม ..เดินได้สะดวกดีนักแล..เพราะไม่ต้องฝืน..กินนอนอยู่กับกรรม ..ไม่ต้องเสาะแสวงหาสติปัญญาธรรม .ไม่ต้องใช้ขันติอดทนอะไร ไม่ต้องลดละอารมณ์อะไรเลย..ทางมันสบาย ..หนทางกว้างใหญ่ เป็นเหมือนแมงเม่า เห็นแสงสว่างสวยงาม ทะเยอทะยานด้วยมีอารมณ์โลภโกรธหลง..ผลักใสจูงให้เดินเข้าไปเอง
โฆษณา