1 เม.ย. 2023 เวลา 08:53 • ท่องเที่ยว
ภูเขาฟุจิ

ปีนฟูจิซังครั้งที่สาม เพราะรักแรกพบแท้ๆ

ว่ากันว่าปีนฟูจิซังครั้งแรก เป็นความฝันของใครหลายคน
ว่ากันว่าปีนฟูจิซังครั้งที่สอง น่าจะคลั่งรักนิดหน่อย
ว่ากันว่าปีนฟูจิซังครั้งที่สาม น่าจะบ้าแล้วล่ะ!!
‘ว่ากันว่า’ เหล่านี้ผู้เขียนเคยอ่านเจอในบทความคนรักฟูจิซังที่ไหนสักแห่ง จำฝังใจด้วยความยึดมั่นถือมั่นแปลกๆ โดยแท้
ผู้เขียนปีนฟูจิซังครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ราว 25 ปีมาแล้ว ตอนนั้นไปถึงแค่ชั้น 7 เพราะเพื่อนชาวญี่ปุ่นรออยู่ด้านล่าง ซ้ำเป็นช่วงเทศกาลโอบ้ง เขาจะรีบขับรถกลับบ้านเกิด ด้วยความที่เราโอ้เอ้ลงมากว่าจะถึงก็บ่ายสาม รถติดหนักตั้งแต่ยังไม่ออกจากจังหวัดยามานาชิ ใช้เวลานับสิบชั่วโมงจึงจะถึงที่พักแถบจังหวัดจิบะ เข็ดมาจนถึงทุกวันนี้ สงสารเพื่อนมากๆ
ตอนนั้นก็ตั้งความหวังเงียบๆ ในใจกับเพื่อนแล้วว่าฉันจะกลับมาปีนให้ถึงยอดให้ได้
อีกไม่กี่ปีต่อมาเตรียมตัวอย่างดีเพื่อไปค้างบนที่พักชั้น 5 กับเพื่อนสองคน ตื่นตีสี่ปีนขึ้นยอดเขาพร้อมกล่องข้าวกลางวันจากเรียวกัง จำได้แม่นว่าปีนถึงยอดเขาบ่ายสามโมง อากาศที่ทำท่าจะสดใสตลอดทางแปรปรวน มีเมฆหม่นดำคลุมทั่วอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าผ่าดังใกล้หูที่สุดในชีวิต ตลอดเส้นทางปีนขึ้นไปไม่มีต้นไม้ใดๆ เพราะภูเขาทั้งลูกคือลาวา พื้นเต็มไปด้วยหินดำตะปุ่มตะป่ำ มีเพียงดอกไม้ขึ้นตามพื้นดินเป็นหย่อมๆ มองไปทั้งสวยทั้งน่ากลัว
บนทางเดินปีนฟูจิซังเป็นดินดำจากลาวา หินระเกะระกะ และหย่อมดอกไม้ถึกทน
เวลาเดินขึ้นแล้วเหลียวมองลงมาด้านล่างถ้าอากาศแจ่มใสเราจะเห็นทะเลสาบยามานากะกับคาวางุจิเด่นชัด เป็นทิวทัศน์ที่ในชีวิตนี้ไม่มีวันลืมเลือน แพเมฆค่อยๆ ลอยต่ำลงทุกทีเมื่อเราปีนสูงขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็น้อยลงเรื่อยๆ จนต้องหยุดพักทุก 5 นาที แต่ก็ไม่ย่อท้อ
ตอนขึ้นว่าสาหัสแล้ว เราพักครู่เดียวก็ต้องไต่ลงทันทีเพราะกลัวไม่ทันรถบัสเที่ยวสุดท้าย ทำให้ครั้งนั้นกล้ามเนื้อขาด้านซ้ายอักเสบรุนแรงมาก และท้ายสุดก็ต้องหาโรงแรมแถวสถานีฟูจิโยชิดะพัก เพราะฝนตกหนัก เปียกทั้งตัว ได้ห้องสุดท้าย เจ้าของใจดีให้เราสามคนพักด้วยกันได้
เจ็บขนาดนั้นมาอีกหลายปีก็ยังไม่เข็ด ใจตั้งมั่นว่าเราควรจะได้เห็นแสงแรกของพระอาทิตย์บนยอดฟูจิซังจึงจะถือเป็นที่สุด ว่าแล้วสิบปีต่อมา (ก็คือสิบปีที่แล้วพอดีเลย) คิดว่าตัวเองน่าจะแข็งแรงพอ ประกอบกับเห็น Japanican ทัวร์ท้องถิ่นของญี่ปุ่นส่งเมลนำเสนอทัวร์พาไปปีนฟูจิซังสองวันหนึ่งคืน พร้อมบริการรถรับส่งจากชินจูกุ รวมที่พักบนกระท่อมชั้น 7 อาหารเช้าพกพา อาหารเย็นที่พัก ตบท้ายด้วยการพาไปออนเซ็นหลังไต่ลงมา ก็ตัดสินใจจองเลย ปีนกับไกด์ท้องถิ่นจะได้ปีนอย่างถูกต้อง
ปีนั้นมีคนร่วมปีนราวสามสิบคน ครึ่งหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่น อีกครึ่งเป็นคนต่างชาติ มีทั้งฝรั่งและเกาหลี มากกว่าครึ่งเป็นผู้ชาย และมีเรากับเพื่อนรุ่นพี่เป็นสตรีชาวไทยสองคน วันแรกรถบัสพาไปถึงชั้น 5 ราว 10.30 น. ตระเตรียมข้าวของ กินข้าวกลางวัน เริ่มปีนอย่างมุ่งมั่นไม่แตกแถวก่อนเที่ยง อากาศด้านล่างร้อนจัด แต่อากาศบนชั้น 5 กำลังสบาย ท้องฟ้าสดใสเป็นประกาย บ่งบอกลางดีแน่ๆ
เราไปถึงจุดพักคือกระท่อมบนชั้น 7 ตอนบ่ายสามโมงครึ่ง ระหว่างปีนไกด์จะคอยดูลูกทัวร์ มีคนไหนทำท่าอ่อนแรงจะลากให้ไปอยู่ด้านหน้าติดไกด์ แน่นอนว่าแรกๆ เราอยู่กลางๆ อยู่ไปอยู่มาก็ไปอยู่เกือบหน้าสุดใกล้ไกด์ เรี่ยวแรงฮึกเหิมสู้ผู้ชายไม่ได้จริงๆ
จุดชมวิวนั่งพักมอปุยเมฆหน้ากระท่อมชั้น 7
ไปถึงกระท่อมที่พักชั้น 7 ก็ตามอัธยาศัย นั่งชมวิว ดูคนปีนรายทางแวะเข้ามาประทับตราชั้น 7 บนไม้ปีนที่กระท่อมรายแล้วรายเล่า อาการนี้เราก็เคยเป็นตอนปีนสองครั้งแรก แล้วก็เลิกทำระหว่างทางเพราะประทับตราแต่ละครั้งพอเอามารวมๆ กันแล้วแพงมากกกก แล้วครั้งนี้เราตัดสินใจซื้อไม้ปีนเขา (จริงๆ) ของ Monbell มา ไม้ทนทานยืดหยุ่นดีมาก ช่วยได้มากกว่าไม้ปีนสวยๆ ที่วางขายกันเต็มไปหมดมากนัก
บนฟูจิซังห้ามทิ้งขยะ มีขยะต้องเก็บกลับลงมากับตัว มีห้องน้ำและน้ำซึ่งต้องใช้สอยอย่างประหยัดรู้คุณค่า ของกินทุกอย่างราคาสูงขึ้นตามระดับชั้น อาหารเย็นที่พักเราเป็นอาหารชุดง่ายๆ ข้าว กับแฮมเบิร์กเนื้อชิ้นกลางๆ ซุป เท่านี้ เชื่อว่าพวกผู้ชายกินไม่อิ่มแน่ เรายังต้องไปซื้อช็อกโกแลตกับกล้วยมารองท้องเพิ่มเลย
อาหารเย็นที่กระท่อมก่อนเข้าไปพักหลับตาแบบตัวตรง
เรามองชั้นเมฆที่ลอยต่ำกว่าตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานฟ้าก็เริ่มมืด พวกเราต้องเข้านอนแบ่งแยกห้องชายหญิง ท่านอนคือตัวตรงแหน็ว ค่อยๆ พลิก เพราะมีพื้นที่คนละเพียงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น ไกด์ให้นอนแต่ใครนอนได้ต้องเก่งมากหรือเหนื่อยมาก เพราะมีคนเข้าออกในกระท่อมตลอดคืน เสียงเคลื่อนไหวไม่หยุดพักทำให้ประสาททุกส่วนตื่นเต็มที่ สุดท้ายเราก็ได้แค่กลอกตาไปมาในความมืดเท่านั้น
ห้าทุ่มเริ่มปีนต่อไปจากชั้น 7 เส้นทางปีนจากชั้น 7 ไป 8 ใช้เวลาราวสามชั่วโมง ต้องไต่หน้าผาทั้งเส้น ปีนกันท่ามกลางแสงไฟวอมแวมและแสงสว่างจากดวงจันทร์ซึ่งส่องสาดมาใกล้ที่สุดในชีวิต เป็นสามชั่วโมงที่เราหวาดกลัวมากที่สุดเพราะมองทางไม่ชัด อ่อนล้าเพราะอดนอน อากาศหนาวเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจเริ่มสูดเข้าออกยากลำบากติดขัดขึ้นทุกที ทางเดินเหยียบลงบนพื้นขรุขระ มือต้องเกาะชะง่อนหินที่ผลุบโผล่อย่างแม่นยำซึ่งบางครั้งหลุดคว้าก็มี
ไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับดวงจันทร์เท่านี้มาก่อนเลย ระหว่างห้าทุ่มถึงตีสองมีแต่แสงจันทร์คอยนำทางและเป็นเพื่อน
อึดใจที่รู้สึกเหมือนจะไปต่อไม่ไหวก็บอกตัวเองว่าขอพลังจากจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนฟูจิซังโปรดคุ้มครองให้ลูกไปถึงยอดเขาสำเร็จและปลอดภัยสมดังความปรารถนาด้วยเถิดถ้าเรามีบุญต่อกัน จากนั้นพลังบางอย่างก็ผลักดันให้เราก้าวต่อไปจนถึงยอดเขา ขาแต่ละก้าวมั่นคงขึ้น สติแจ่มใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถไปยืนร้องไห้ชื่นชมแสงแรกของพระอาทิตย์บนยอดฟูจิซังได้ราวตีสี่เศษ ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำสิบองศา รู้สึกเหมือนได้พิชิตความฝันอันสูงสุดแสนยาวนานของตัวเองลุล่วงอย่างภาคภูมิใจ
ขณะจ้องมองแสงแรกนั้น ก็เลื่อนสายตาลงไปเบื้องล่างเห็นเงาสะท้อนของฟูจิซังทอดทาบลงไปกับพื้นแผ่นดินโดยมีแพเมฆล้อมเป็นกรอบ ชั่ววินาทีนั้นขนลุก เต็มไปด้วยความตื้นตัน อาจจะแค่อึดใจเดียว อาจจะแค่ไม่กี่นาที ต้องเฉพาะช่วงนั้นเท่านั้นจึงจะเห็นภาพแบบนั้น รู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่บันดาลให้ไปถึงและไต่ลงมาได้อย่างปลอดภัยตรงเวลา แม้จะรั้งท้ายสุดก็ตาม
ยืนหยัดชื่นชมแสงแรกท่ามกลางอากาศต่ำสิบ เย็นเยือกจนตัวสั่น
แน่นอนว่าช่วงขึ้นว่ายากแล้ว ช่วงไต่ลงยิ่งยากกว่าเพราะร่างกายอ่อนล้าเต็มที กล้ามเนื้อขาอักเสบภายในแต่เดิมก็แผลงฤทธิ์ออกมา เห็นหลายคนสไลด์ลงจากฟูจิซังราวเล่นสกีแล้วอิจฉาในความแข็งแรงของร่างกายมากๆ เราบอกตัวเองว่าต้องลงไปให้ดี แม้จะล้มสองสามรอบเพราะผืนดินใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำ ฝ่ามือพองบวมแดง แต่ก็ยืนหยัดจนลงไปได้ ดูไกด์โล่งใจมาก 5555
เงาสะท้อนฟูจิซังทาบทับผืนดินด้านล่าง ปรากฏการณ์เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
แรงบันดาลใจ กำลังใจขาขึ้นของเราคือฟูจิซัง ส่วนขาลงขอยกความดีงามครึ่งหนึ่งให้คอนเสิร์ตวงนิวส์ที่เรากำลังจะไปดูในอีกสองสามวันข้างหน้า (ถึงตอนนั้นก็ลากขาไปโอซาก้า ฮอลล์ เพื่อนๆ น้องๆ ที่รอเจอกันต่างเวทนาถ้วนหน้า ฮือ)
พอลงมาชั้น 5 แล้วก็สบายละ ดีกว่ามาเองเป็นไหนๆ เพราะเราได้ขึ้นรถบัสลงไปออนเซ็นที่รีสอร์ทเชิงภูเขา แค่ขึ้นรถก็หลับสนิทกันทั้งคัน หมดสภาพจริงๆ ไปออนเซ็นแสนสบาย ได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รู้สึกเลยว่าหนนี้ไม่บาดเจ็บเท่าครั้งก่อน พอออกมาจากแช่น้ำร้อน สองขาก็เดินได้เกือบปกติ
เส้นทางเดินลง และทิวทัศน์มุมกว้างสุดสายตา
ถามว่าจะปีนฟูจิซังครั้งที่ 4 หรือไม่ ใจจริงอยากตอบว่าปีน เพราะฟูจิซังไม่ใช่ภูเขาที่ใครๆ ก็ปีนขึ้นไปและลงมาได้ง่ายๆ ไกด์ญี่ปุ่นบอกว่าคนญี่ปุ่น 120 ล้านคนมีความฝันอยากพิชิตฟูจิซังให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่มีคนเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ทำสำเร็จ ถึงแม้ระหว่างการปีนจะมีช่วงเวลาน่าท้อแท้ อยากยอมแพ้สักเพียงไหน แต่เมื่อก้าวไปถึงตรงนั้นได้แล้ว ทุกสิ่งที่ทำลงไปล้วนมีค่าเหลือเกิน
อย่างไรก็ยังมีสิ่งติดค้างในใจเล็กน้อย คือการเดินรอบปล่องภูเขาไฟ เพราะครั้งที่ปีนล่าสุดมีลมพัดแรงมากจนไกด์ไม่พาไป ที่สำคัญคือต้องเดินรอบปล่องให้ได้สักค่อนทางจึงจะได้เขียนโปสการ์ดร่อนลงมาจากยอดเขาพร้อมกับรับประกาศนียบัตรซึ่งผู้เขียนยังมีกิเลส แบบว่าอยากได้
แต่ถ้าไม่มีโอกาสอีกด้วยสุขภาพร่างกายไม่เป็นใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ได้ถึงกับยึดมั่นเหมือนสามครั้งนั้นแล้ว เพราะภายหลังปีนฟูจิซังครั้งนี้สำเร็จ เหมือนได้ชนะจุดที่อ่อนแอที่สุดของตัวเองแล้ว ยิ่งเมื่อขึ้นไปถึงยอดและกลับลงมาอย่างปลอดภัย ยิ่งรู้สึกนับถือตัวเอง ภาคภูมิใจในตัวเอง รักตัวเองถึงขั้นฮึกเหิมเลยทีเดียว ถึงขนาดคิดว่าจากนี้ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราก้าวข้ามขีดจำกัดที่สุดของตัวเองไปหมดแล้ว
วิวทะเลสาบเมื่อมองจากฟูจิซังด้านบน
ทั้งช่วงที่กลัวที่สุด ท้อแท้ที่สุด เจ็บปวดอ่อนล้าที่สุด อดนอนที่สุด กระทั่งช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองเฉียดใกล้ความตายมากที่สุด
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมต้องฝังใจกับการปีนฟูจิซังนักหนา ตอบได้ว่าฟูจิซังสำหรับเราไม่เคยเป็นเพียงภูเขาไฟสวยงามและสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นรักแรกพบ เป็นพลังอันแรงกล้าที่จะผลักดันจิตวิญญาณของเราให้ก้าวต่อไปอย่างมีสติ ทรหดอดทน ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตทีดีทั้งกายและใจให้จงได้
และเป็นอย่างนี้มามากกว่าสามสิบปีแล้ว
โฆษณา