Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธเนศเล่าขาน "ทานทางปัญญา"
•
ติดตาม
4 เม.ย. 2023 เวลา 03:11 • การศึกษา
โครงการศึกษาสำหรับชาติ พ.ศ. 2441
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรกในพ.ศ. 2440 ได้ทอดพระเนตรเห็นบรรดานักเรียนไทย ที่รัฐบาลส่งไปศึกษาวิชาในทวีปยุโรปต้องใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนนานกว่าจะสำเร็จ ไม่ทันใช้ในราชการ
จึงโปรดให้ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี แต่ครั้งยังเป็นพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ เอกอัครราชทูตพิเศษประจำประเทศอังกฤษ ศึกษาวิธีการจัดการศึกษาของต่างประเทศ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ในประเทศไทยเป็นการเร่งรัดการศึกษาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
เจ้าพระยาพระเสด็จฯ ได้เรียบเรียงข้อเสนอแนะส่งมาทูลเกล้าฯถวาย และกรมศึกษาธิการได้ประมวลข้อเสนอแนะเข้ากับความดำริที่จะขยายการศึกษาของกรม
เป็นโครงการศึกษาพ.ศ. 2441 (ในตอนนั้นยังไม่เรียกแผนการศึกษาชาติ) แบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งว่าด้วยการศึกษาในกรุงเทพฯ ภาคสองว่าด้วยการศึกษาในหัวเมือง แบ่งออกเป็นหมวดๆดังต่อไปนี้
ภาคหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาในกรุงเทพฯ
หมวด 1 ว่าด้วยแผนการศึกษาและลำดับชั้นโรงเรียน
หมวด 2 ว่าด้วยการสอบไล่
หมวด 3 ว่าด้วยประมาณจำนวนเด็กในอายุเข้าโรงเรียนมณฑลกรุงเทพฯ และจำนวนโรงเรียนที่ต้องการจะให้เพียงพอกับการศึกษาของเด็กนั้น
หมวด 4 ว่าด้วยการที่จะให้โรงเรียนมากขึ้น
หมวด 5 ว่าด้วยการที่จะให้มีครูอาจารย์พอแก่โรงเรียน
หมวด 6 ว่าด้วยการตรวจ
หมวด 7 ว่าด้วยสมุดตำราเรียน
หมวด 8 ว่าด้วยโรงเรียนพิเศษ
หมวด 9 ว่าด้วยการใช้จ่ายในการศึกษา
หมวด 10 ว่าด้วยการศึกษาสำหรับเด็กหญิง
ภาคสอง ว่าด้วยการศึกษาในหัวเมือง
ในภาค 1 หมวด 1 แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ชนิด คือการเล่าเรียนสามัญ และการเล่าเรียนพิเศษ การศึกษาสามัญแบ่งเป็น 4 ลำดับชั้น คือชั้นมูลศึกษา ชั้นประถมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษา และชั้นอุดมศึกษา ส่วนการศึกษาพิเศษ คือการเรียนวิชาเฉพาะอย่าง เช่น วิชาครู แพทย์ ศิลปะ ช่าง ฯลฯ
เมื่อได้พิจารณาโครงการศึกษาพ.ศ. 2441 แล้วจะเห็นว่าเขียนรายละเอียดทั้งหมดไว้แจ่มแจ้งตลอดจนการคาดคะเนจำนวนเด็กนักเรียนมีประมาณเท่าไหร่ ควรจะตั้งโรงเรียนขึ้นสำหรับโรงเรียนสักกี่โรง จะต้องมีการผลิตครูเพื่อไปสอนเด็กสักเท่าไหร่ จะต้องเปิดโรงเรียนฝึกหัดครูเพิ่มขึ้นอย่างไร จึงจะผลิตครูได้เพียงพอ ตลอดจนเงินงบประมาณที่จะใช้จ่าย และทางที่จะได้เงินมาใช้ ดังระบุไว้ในหมวด 9 ว่าด้วยการใช้จ่าย ในการศึกษาดังนี้
การใช้จ่ายที่ใกล้ชิดใน 5 ปี
73. การใช้จ่ายที่ใกล้ชิด ในการศึกษามณฑลกรุงเทพฯ ใน 5 ปีข้างหน้า ประมาณดังต่อไปนี้
ร.ศ 118 (พ.ศ. 2442) 5,650 ชั่ง
“ 119 4,150 “
“ 120 4,800 “
“ 121 5,450“
“122 6,100“
หมายเหตุ (1) ประมาณการจ่ายนี้ ไม่ได้รวมเงินที่ได้อนุญาตสำหรับนักเรียนในต่างประเทศด้วย
(2) ประมาณสำหรับศก 118 รวมเงินการจรสำหรับสร้างโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ 1,300 ชั่ง โรงเรียนสวนกุหลาบ 1,000 ชั่ง อยู่ในนี้ด้วย
การที่จะได้เงินมาจ่าย
74. การใช้จ่ายนี้ ในการที่จะได้เงินนั้นมาใช้โดย
1. อนุญาตจากพระคลังหรือ
2. อนุญาตจากพระคลัง กับทั้งอากรการศึกษาที่ควรจะตั้งขึ้นเก็บเพื่อการเล่าเรียนในกรุงเทพฯ มาจ่ายในการศึกษาด้วย
สำหรับเงินที่จะใช้จ่ายในการศึกษาในหัวเมืองก็มีเขียนไว้ดังนี้
ใช้จ่ายในการศึกษา
9. การใช้จ่ายสำหรับการศึกษา ควรจะตั้งอากรการเล่าเรียน เก็บเป็นเร็ต(rate)ในมณฑลนั้น วิธีจัดเก็บนั้นแล้วแต่กระทรวงคลังกับข้าหลวงเทศาภิบาลในมณฑลนั้น จะตั้งวิธีเก็บสมควรกับเทศ ใช้จ่ายในการศึกษาสำหรับเมือง และมณฑลนั้นเอง ถ้าเป็นการสมควรที่ต้องบำรุงแล้ว เงินแผ่นดินในกรุงเทพฯจะอนุญาตให้เป็นส่วนในการใช้จ่ายบำรุงการเล่าเรียนในหัวเมืองนั้น พอควรแก่ที่จะเป็นไปได้
จะเห็นได้ว่า ความคิดในการที่จะหาเงินมาจัดการศึกษา โดยเก็บอากรเพื่อการศึกษา ดังที่รัฐบาลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จัดให้มีแสตมป์ ก.ศ.ส. ขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งนั้น ได้มีมาตั้งแต่พ.ศ. 2441 แล้ว
โครงการศึกษาที่ร่างขึ้นนี้ ยึดเอาโครงการศึกษาของอังกฤษเป็นหลัก โดยดัดแปลงให้เหมาะสมกับประเทศไทยในสมัยนั้น
อย่างไรก็ดี การที่จะนำเอาระเบียบงานต่างๆที่ใช้อยู่ในประเทศตะวันตกซึ่งมีพื้นฐานวัฒนธรรมและอารยธรรมที่แตกต่างกันมาก มาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับประเทศไทยนั้น เป็นของที่ทำได้ยาก และเข้ากันไม่ได้สนิท
ด้วยเหตุนี้เองในคราวที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จกลับประเทศไทยโดยผ่านมาทางญี่ปุ่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจึงโปรดให้พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ออกไปรับเสด็จ ณ ประเทศญี่ปุ่น
และโปรดให้ข้าหลวงตรวจการศึกษา 3 นาย มี เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แต่ครั้งยังเป็นหลวงไพศาลศิลปศาสตร์ พระยาอนุกิจวิธูร ครั้งยังเป็นขุนอนุกิจวิธูร และพระยาชำนิบรรณาคม ครั้งยังเป็นนายอ่อน สาริกบุตร ออกไปดูงานการศึกษาของญี่ปุ่น เพื่อนำมาเป็นแนวพิจารณาการจัดการศึกษาในประเทศไทยอีกแนวหนึ่งด้วย
เพราะในเวลานั้นประเทศญี่ปุ่นได้วางแผนการศึกษาของชาติไว้เป็นหลักฐานแล้ว โดยได้จัดส่งข้าราชการออกไปศึกษาแผนการศึกษาจากต่างประเทศในทวีปยุโรปหลายประเทศด้วยกัน แล้วนำมารวบรวมพิจารณาจัดวางแผนการศึกษาในประเทศของตน ฉะนั้นแผนการศึกษาของญี่ปุ่นจึงเป็นแผนที่กลั่นกรองและรวมการศึกษาใหม่ๆเข้ามาไว้ เป็นแนวทางที่ดีอยู่แล้ว
เมื่อข้าหลวงตรวจการศึกษากลับมายังประเทศไทยแล้ว ก็ได้ทำรายงานเสนอให้กระทรวงธรรมการ พิจารณาและนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงได้จัดแผนการศึกษา พ.ศ. 2445 ขึ้นใหม่ ใช้แทนโครงการศึกษา พ.ศ. 2441
--------------------
ประมวล/สรุปจาก..พงศ์อินทร์ ศุขขจร(ประวัติการศึกษาไทย, 2512)
https://www.blockdit.com/tanes009
Cr. เจ้าของภาพ
ประวัติศาสตร์
เรื่องเล่า
แผนการศึกษาชาติ
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย