3 มิ.ย. 2023 เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน ทุกอณูของเราทุกคนมีประวัติโชกโชนมาก่อน

ทุกครั้งที่มีคนถามผมว่า เชื่อเรื่องชาติภพไหม ผมจะถามกลับไปว่า ชาติภพ ที่ว่านี้หมายถึงอะไร
2
ถ้าหมายถึงการเกิดใหม่ เช่น ชาติก่อนเป็นหมา ชาตินี้เป็นคน ชาติหน้าเป็นลิง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากกรรม ผมก็ไม่มีความรู้ดีพอจะตอบได้ อีกประการ ถ้าผมเกิดใหม่จริง ก็จำไม่ได้แล้วว่าชาติก่อนเป็นอะไร อีกทั้งผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องชาติต่อไป แค่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ก็เหนื่อยมากแล้ว
10
อีกคำถามหนึ่งที่มีคนชอบถามผมคือ คนเราตายแล้วจะไปไหน เช่นกัน คำตอบคือไม่รู้
ที่น่าสนใจคือสองคำถามนี้มักผูกติดกันเสมอ
1
การที่คนถามเรื่องนี้ก็อาจเพราะติดนิสัยวางแผนเรื่องอนาคต อยากได้อนาคต (ในที่นี้คือชาติต่อไป) ที่ดี ไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรช์ไม่ดี
2
มนุษย์แทบทุกอารยธรรมผูกความตายกับเสียงร้องไห้และสีดำ ปลูกฝังมาให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องไม่ดี โตมาแบบนี้ ก็ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา
1
บางทีเหตุที่คนจำนวนมากกลัวความตาย เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไรจริงๆ
2
เวลาเราต้องรับการผ่าตัด เช่น ตัดไส้ติ่งหรือถุงน้ำดี หมอวางยาสลบ เราก็หมดความรู้สึกในทันที แต่เราไม่กลัวเท่าไร เพราะเรารู้ว่าโอกาสรอดจากการผ่าตัดสูงมาก
1
ในทำนองคล้ายกัน หากเรารู้ว่ากำลังจะตาย เราไม่รู้ว่าหลังจากลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุด เราจะ ตื่น อีกครั้งไหม มีความไม่แน่นอนอะไรรอเราอยู่ คนส่วนมากจึงกลัวตาย หรือพูดได้อีกอย่างคือ กลัวความไม่รู้
4
แต่โชคดีสำหรับคนเกิดในเมืองพุทธที่สอนย้ำเรื่องความไม่แน่นอน ความเสื่อม หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราย่อมคุ้นชินกับการสอนวิธีหรืออุบายพิจารณาความตายและความเสื่อมอย่างหนึ่งคือ อสุภกรรมฐาน เป็นวิธีพิจารณาความเสื่อมของชีวิต เพื่อให้แลเห็นชีวิตตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์บางคนแนะนำให้ไปนั่งสมาธิในป่าช้า เพื่อให้ได้บรรยากาศ!
5
อสุภกรรมฐานมาจากคำว่า อสุภ (ไม่สวย) + กรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการงานหมายเอาอุบายทางใจ) หมายถึงอุบายทางใจโดยพิจารณาสิ่งไม่สวยงาม โดยมากมักหมายถึงซากศพ โดยใช้ซากศพเป็นเครื่องมือในการพิจารณา
1
เพราะซากศพน่าจะเป็นที่สุดของความไม่น่าดูแล้ว
การพิจารณาอสุภกรรมฐานมีหลายอย่าง หลักการคือมองเห็นซากศพต่างๆ ที่ไม่สวยไม่งาม น่าขยะแขยง เพื่อทำให้เราเข้าใจว่า ความเสื่อมของสังขารเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยง และเกิดขึ้นกับทุกคน
1
พิจารณาให้รู้ว่าร่างกายของเราไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เหี่ยวย่น และเมื่อเราตาย ร่างกายก็เสื่อม เน่าเปื่อย ท้ายที่สุดก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ
ประโยชน์อย่างหนึ่งของอสุภกรรมฐานคือยับยั้งราคะจริต ความอยาก (ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องเพศเสมอไป) ทำให้ได้สติ เกิดปัญญา
1
แต่จุดที่สำคัญก็คือ เพื่อให้เราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาเพื่ออยู่ชั่วคราว แล้วจากไป
ในเรื่องนี้ผมเลือกมองลึกกว่านั้น
มองลึกกว่า ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ามีปัญญามากกว่า แต่หมายความตรงคำ คือมองลึกแบบใช้กล้องจุลทัศน์ ส่องลึกลงไปถึงเซลล์ และจินตนาการว่าเรามองลึกไปถึงโมเลกุลและอะตอม
2
บางครั้งเมื่อนอนไม่หลับ หรือฟุ้งซ่าน ผมทำสมาธิให้ใจสงบโดยพิจารณาอะตอมของตัวเอง ผมเรียกเองว่า อะตอมกรรมฐาน
2
ยกตัวอย่าง เช่น ผมมองที่นิ้วชี้หรือนิ้วก้อย จินตนาการมองลึกลงไป จะพบว่านิ้วนี้ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ มากมาย เมื่อมองลึกลงไปอีก แต่ละเซลล์ก็ประกอบด้วยอะตอมจำนวนมหาศาล นับไม่ถ้วน เป็นอะตอมของธาตุต่างๆ
2
อะตอมเหล่านี้ก็คืออะตอมของธาตุต่างๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน เหล็ก ทอง ฯลฯ
1
อะตอมก็เหมือนตัวเลโก้ที่ประกอบเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ พวกมันก็คือ building blocks แห่งจักรวาล ตัวเลโก้แห่งจักรวาลนี้อยู่มานานแล้ว อาจตั้งแต่กำเนิดจักรวาล พวกมันประกอบรูปหรือเปลือกต่างๆ นับไม่ถ้วน กว่าจะมาประกอบเป็นนิ้วของเรา และตัวเรา
6
อะตอมตัวเดิม เปลี่ยนแค่เปลือก
บางครั้งเปลือกนี้ไร้ชีวิต บางครั้งมีชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น อะตอมออกซิเจนสองตัวไปเจออะตอมไฮโดรเจนหนึ่งตัวที่ย่านดาวน์ทาวน์ของทางช้างเผือก ก็ผสมกันเป็นน้ำหนึ่งโมเลกุล
1
ถ้าอะตอมไฮโดรเจนสองตัวนั้นไม่จับกับออกซิเจน มันก็อาจไปจับกับอะตอมอื่น กลายเป็นสิ่งอื่น ไม่ว่าเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรือสิ่งมีชีิวิต
3
สำหรับอะตอมที่รวมกันเป็นน้ำนี้ ถ้าไม่มีการแยกตัว ก็อาจอยู่ด้วยกันเป็นพันๆ ล้านปี น้ำนี้อาจอยู่ในดาวหาง วิ่งข้ามดาราจักรมาชนโลกเรา และอาศัยที่โลกเรานี่แหละ วันดีคืนดีก็อยู่ในร่างกายเรา
1
ดังนั้นน้ำที่เราดื่มทุกวันนี้ หรือที่เขาบรรจุขวดขายแพงๆ อาจเป็นน้ำที่ไดโนเสาร์เคยซด อาจเคยเป็นเมฆ อาจเป็นฝนที่ตกลงมากลางทุ่งของชาวนา อาจเคยอยู่ในเลือดของ เจ็งกิส ข่าน หรือเคยเป็นน้ำลายของฮิตเลอร์ตอนปราศรัยใหญ่
7
นี่แสดงว่าอะตอมจำนวนมหาศาลที่เกาะกลุ่มกลายเป็นตัวเราในขณะนี้ ก็คืออะตอมที่ลอยล่องอยู่ในจักรวาล พวกมันอาจเคยเป็นดาวมาก่อน อาจเป็นดาวมาแล้วหลายรอบ
3
เรารู้ว่าเรามีธาตุเหล็กในร่างกาย เลือดเรามีเหล็กมาก แต่รู้ไหมว่าเราก็มีธาตุทองในตัวเรา อยู่ในสมอง หัวใจ เลือด ข้อต่อต่างๆ คนที่น้ำหนัก 70 กก. มีทองในร่างกายราว 0.22 ม.ก.
5
แล้วรู้ไหมว่าธาตุทองในตัวเรามาจากไหน? ก็เกิดมาจากดวงดาวขนาดใหญ่ระเบิดในรูปซูเปอร์โนวา แล้วมันก็ลอยเท้งเต้งไปมา วันหนึ่งก็มาเกาะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา
นี่แสดงว่าอณูทองของเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวขนาดใหญ่ และเคยผ่านการระเบิดใหญ่มาแล้ว
น่าตื่นเต้นไหม?
1
เปรียบเทียบแบบง่ายๆ คือถ้าเราแต่ละคนเป็นอาหารหนึ่งจาน เราก็เกิดจากการปรุงแต่งของพ่อครัวธรรมชาติ โดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ ก็คือธาตุต่างๆ
1
ถ้าเปรียบอะตอมเป็นนักแสดง เราก็เป็นเพียงหนังเรื่องหนึ่ง สร้างเสร็จแล้ว พวกอะตอมก็ไปเล่นเรื่องใหม่
1
ถ้าเราสามารถพูดคุยกับอะตอมแต่ละตัวได้ และสัมภาษณ์พวกมันว่ามันมาจากไหน บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เราอาจได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึง
อะตอม ก. บอกว่า ฉันเป็นอะตอมออกซิเจน ฉันเกิดไม่นานหลัง บิ๊ก แบง ฉันเดินทางไปมาในจักรวาล แวะหลายที่ ประกอบเป็นสิ่งต่างๆ หลายครั้ง ตอนนี้ฉันประกอบเป็นนิ้วชี้ของคุณ
อะตอม ข. ตอบว่า ผมเป็นอะตอมไฮโดรเจน ผมอายุยาวพอกับจักรวาล ผมเดินทางท่องจักรวาลมาหมื่นล้านปี เคยประกอบเป็นดวงอาทิตย์ เคยเป็นดาวเคราะห์ เคยเป็นดาวหาง มีอยู่ปีหนึ่งผมติดดาวหางมาแถวนี้ เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์นี้ แล้ววันหนึ่งหลุดมาอยู่ในโลกนี้ แล้วตอนนี้มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ
3
อะตอม ค. บอกว่า ผมเกิดมาตั้งแต่ช่วงแรกของจักรวาล เมื่อดาวบ้านเกิดผมแตกสลาย ผมหลุดออกมา แล้วไปตั้งหลักในดาวหลายดวง วนวียนอยู่ในอวกาศนานหลายล้านปี ในที่สุดเพื่อนก็ชวนไปประกอบเป็นดาวเคราะห์ดวงนึง ผ่านไปหลายพันล้านปี ดาวเคราะห์ดวงนั้นพัง ผมก็หลุดออกมา ลอยมาจนถึงเนบิวลาแถวนี้ พอดวงอาทิตย์ของคุณกำเนิด
2
ผมอยู่ในเศษซากของดวงดาวที่เกาะเกี่ยวเป็นโลกของคุณ ผมเคยประกอบเป็นภูเขา แม่น้ำ น้ำดื่ม ผมเคยไหลเวียนในตัว เจ็งกิส ข่าน เคยผ่านร่างนักบุญ ฆาตกร จนในที่สุดเมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ผมก็มาอยู่ในนิ้วชี้ของคุณ
3
เราคงไม่มีเวลาถามอะตอมทุกตัว เพราะแค่ในนิ้วชี้ของเรา ก็มีอะตอมมากมายเกินกว่าจะถามครบ แต่เรารู้จากวิทยาศาสตร์ว่า อะตอมทุกตัวที่ประกอบเป็นนิ้วชี้ของเราตอนนี้ เดินทางไกลมาจากที่ต่างๆ ในจักรวาล
4
ทุกอะตอมของเรามีประวัติโชกโชนมาก่อน เราไม่ได้เพิ่งเกิด อะตอมเหล่านี้เกิดมานานแล้วตั้งแต่เริ่มต้นจักรวาล
ไม่ได้พูดเล่น เรามีอายุเท่าจักรวาลหรือราว 13.8 พันล้านปี
5
อะตอมของเราเคยเป็นดวงดาว อะตอมของเราเคยลอยล่องกลางความว่างของดาราจักร อะตอมของเราเคยเป็นอากาศที่พระพุทธหายใจ อะตอมของเราเคยเป็นต้นไม้ ก้อนหิน สายน้ำ สัตว์ป่า เชื้อโรค อะตอมของเราเคยเป็นก้อนเมฆที่ลอยล่องไปทั่วโลก เป็นสายฝนที่โปรยเหนือป่าดงดิบ เป็นหิมะบนยอดเขา เป็นดินกลางท้องทุ่ง เป็นเกสรดอกไม้ เป็นพยาธิ
2
มองในแง่นี้ จะเห็นว่าคอนเส็ปต์ของอสุภกรรมฐานและอะตอมกรรมฐานก็คือเรื่องเดียวกัน กายเราเกิดจากการวมตัวกันของสิ่งเล็ก แล้วแยกตัวเมื่อเรา ตาย
1
แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องความตายของเรายังไง?
2
เนื่องจากอะตอมเหล่านี้ไม่ได้ดับสูญ แค่ย้ายจากรูปกายของเราไปประกอบของของใหม่ สิ่งใหม่ หรือชีวิตใหม่ จักรวาลจึงไม่เคยมีการเกิดการตาย มีแต่การเปลี่ยนรูป
5
มันก็คือชาติภพ แต่เป็นชาติภพในมุมวิทยาศาสตร์ ซึ่งในความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นกว่า
3
ตัวตนของเราในชีวิตนี้หรือชาตินี้เป็นเพียงท่อนหนึ่งของเปลือกที่เหล่าอะตอมกลุ่มหนึ่งมาเกาะรวมกัน
3
เราคือดวงดาว
เราคือจักรวาล
เราคือชีวิตรวม และชีวิตรวมก็คือเรา
1
มองแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นเพียงโซ่ท่อนหนึ่งของมหาโซ่แห่งจักรวาล มาเดี๋ยวเดียว แล้วสลายตัวไป
ดังนั้นใน ‘วันตาย’ ของเรา อะตอม ก. ข. ค. ง. ฯลฯ ก็แยกทางกันอีกครั้ง อะตอม ก. อาจไปรวมกับอะตอม ข. ค. หรือ ฮ. กลายเป็นเปลือกใหม่ รูปใหม่
2
หลังจากเราหมดลมหายใจ อะตอมก็แยกทาง ร่างกายเราก็แยกออก แต่เรายังไม่ตาย เราเพียงเปลี่ยนรูป หรือจะเรียกว่าชาติภพก็ตามสบาย
1
อะตอมที่แยกจากร่างกายเราเหล่านี้จะกระจายไปตามที่ต่างๆ อาจไปรับบทใหม่ ร่างใหม่ สิ่งของใหม่ ช้าหรือเร็วก็กระจายไปทั่วโลก จนเวลาผ่านไปสักห้าพันล้านปี โลกเราสลาย อะตอมก็แยกตัวอีก ลอยล่องในจักรวาล
3
วันหนึ่งในอนาคตไกลออกไป อะตอมแต่ละตัวอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ ชีวิตต่างๆ ไปจนถึงดวงดาวดวงใหม่ที่เกิดใหม่
1
คนที่บอกว่า ชีวิตผมจืดชืด ไม่มีสีสัน หรือ ฉันอายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ล้วนเข้าใจผิด
5
มองในมุมของจักรวาล เราแต่ละคนมีประสบการณ์โชกโชนมาก่อน เราเคยท่องจักรวาลมาแล้ว เราไปไกลกว่า นานกว่ายานอวกาศใดๆ ในหนัง Star Wars และ Star Trek
มองแบบนี้ก็จะเห็นว่าความตายไม่น่ากลัว เพราะมันไม่เคยมีความตาย มีแต่การโยกย้ายตำแหน่งของเหล่าอะตอม
13
สลายร่างแต่ไม่สลายสิ้น
14

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา