5 เม.ย. 2023 เวลา 00:13 • ปรัชญา
ในเมื่อเราไปอ่านใจคนอื่น..เราอ่านใจตัวเราเองออกมั้ย แยกแยะ .อารมณ์นึกคิด..ที่เกิดขึ้นที่ตัวเราออกมั้ย การที่ไปอ่านใจคนอื่น ..คนอื่นที่มีอารมณ์นึกคิด มีความหงุดหงิด ความโมโห มีความยึดถือเรื่องนั่นเรื่องนี้มากมาย ..เมื่อไปอ่าน. ตาไปดู หูรับเสียง .ตาบันทึกภาพ หูบันทึกเสียง ..(จิตของเราลบภาพลบเสียงที่บันทึกออกได้มั้ย เราเคยศึกษาจิตเราเองมั้ยหนอ) มันก็เหมือนเราไปรับเรื่องจองเค้ามา รับเอาอารมณ์กรรมของเค้าเข้ามาในกายในจิตของเรา
บางคนมันวิญญาณร้าย มีเรื่องราวพัวพันไสยศาสตร์ ..อารมณ์โมโหโกรธง่าย มีความว้าวุ่น วุ่นวายยิ่งขึ้น ก็เคยสงสัยว่า เช่น พยาบาลจิตเวช..ทำไมไม่สดใส ข้างในเค้าเหมือนคนร้องไห้ ถามเค้าว่า มีความรู้สึกแบบนั่นมั้ย แล้วกินยาปรับสมดุลเคมีใช่มั้ย เรื่องพวกนี้..ส่วนมากพอคนมีอาการ ผิดปรกติ เสียใจ นอนไม่หลับ ก็ตีตรา จดจำมาพูด.ว่า สารเคมีในสมองไม่เท่ากัน แล้วไอ้สิ่งที่ทำให้สารเคมีในสมองไม่เท่ากันมันมาจากไหนกัน เราจะไม่ได้คำตอบ.ว่ามาจากไหนได้บ้าง มีวิธีอะไรที่จะแก้ไขเลือกทางอื่น ที่ไม่ใช้ยาปรับสมดุลกดประสาทได้บ้าง
หากสังเกต..ในเรื่องของบุคคลที่เค้ายึดถือ .เจ้าพ่อเจ้าแม่ เซ่นไหว้ผี ..จิตหลอน จนต้องกินยาปรับสมดุล ..ยิ่งกินยา ก็ต้องยิ่งใช้ยาให้แรงขึ้น เป็นเพราะอะไรหรือ..มีเรื่องหนึ่ง ..ที่เราเคยคุยกับพระ..ยิ่งบุคคลที่มีอาการ มีความยึดถือ แล้วมีความผิดปกติจิตหลอนนอนไม่หลับ ยิ่งไปกินยากดประสาท..สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นแหละ จะยิ่งขย่มจิต..ให้จิตเค้าไม่ค่อยรับรู้อะไร .เพราะประสาทในเรือนกายถูกฤทธิ์ของยากดทับไว้ จิตของเค้าก็ยิ่งบังคับกายไม่ค่อยได้ ..พวกสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นแหละ จะขย่มจิตให้มีการรับรู้ของจิตที่วิปริต
(ไอ้เรื่อง ไสยศาสตร์ ไสยเวช มนต์ดำ คาถาอาคม ไหว้ผี เจ้าพ่อเจ้าแม่ ..ทีแต่ละคนยึดถือเข้ามาสู่จิตของเค้าเอง ปกคลุมบุคคลนั้นเอง ..มันไม่มีเรียนรู้ในตำราจิตวิทยาเสียด้วย ถ้าเราเจอเจอะ ไปอ่านจิตใจเค้าเข้า ..จิตใจเราก็จะไม่ปกติ เรื่องนี้ไม่อยากเขียนเยอะ มันกระเทือนซางคนที่เค้ายึดว่าดี แม้แต่บุคคลที่ว่าเก่ง..เก่งทางโลก เค้าก็ขอบยึดถือกัน มีกันทุกอาชีพสาขา แล้วจิตของเค้าก็ถูกห้อมล้อม จมอยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวเอง)
เรื่องราวที่ การดูจิตใจตัวเอง .เราอ่านจิตเราออกมั้ย เราสลัดแยกแยะอารมณ์เค้าอารมณ์ของเราออกมั้ย เราลดละอารมณ์ นึกคิด อารมณ์โลภโกรธหลง เรารู้จักอารมณ์ที่พาไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้ามาภายในจิตตัวเองหรือไม่ .การที่จะช่วยเหลือจิตของตัวเอง วิธีที่ดีที่สุด คือ การทำบุญ สร้างบุญกุศล การประพฤติปฏิบัติธรรม..ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทเจ้า
ถ้าหากเราหมั่นฝึก เอาแค่การกราบพระ ตั้งใจกราบ ..ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน กลับบ้านก็เข้าไปกราบพระ . ถ้าจิตเราดีๆ นิ่ง..แค่นำกายไปนั่งหน้าพระ เตรียมพนมมือ..ก็จะรับรู้ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับกาย มีความแตกต่างกัน จากตอนเช้าตอนเย็น ..ในตอนเย็น ..แค่เข้าไปกราบพระก็รู้สึกร้อน ตัวมีไอร้อน หงุดหงิด กระสับกระส่าย..นั่นก็คือ วิญญาณหูตา..ของเราไปสัมผัสเรื่องนั้นเรื่องนี้มามากมาย. แล้วมันก็เกาะติดอยู่กับกายเรา .
อ่านตัวเองให้ออก อ่านจิตตัวเองให้ออก..มันเป็นอย่างไร อ่านจิตตัวเองไม่ออก ตัวเองก็มีอารมณ์ปรุงแต่ง คนอื่นเค้าก็มีอารมณ์ปรุงแต่ง ยึดเอารวมกัน มันก็เหมือนเอาอาหารจานนั้นนี้ แกง ต้มจืด น้ำพริก มาเทลงหม้อเดียวกัน.. แล้วอารมณ์ที่ตัวเราจะเป็นอย่างไร ..มันคงสับสนวุ่นวาย หาความสุขที่ตัวเองไม่เจอเลย
เรื่องจิตวิทยา ..ในคำว่าจิต..ตำราจิตวิทยาให้นิยามอย่างไร ในทางพุทธศาสนา คำว่าจิตหมายถึงอะไร ..เราก็ควรทำความเข้าใจ คำว่าจิตให้มันชัดเจน.. จิตใครจิตมัน ..กรรมใครกรรมมัน ของใครของมัน
เราควรทำความเข้าใจ คำว่าจิต..จิตนั้นเป็นอย่างไร มีสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร. ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร อาศัยอะไร ยึดอะไร จิตยึดถืออะไรบ้าง ทำให้เกิดอะไรบ้าง ..เค้าจึงมีคำว่า ให้รู้จักปล่อยวาง ความยึดถือของจิต ความยึดถือในกาย ความยึดในอารมณ์นึกคิด ..ไปจนรู้จักสิ่งที่คิด และ สิ่งที่ไม่คิด ..จิตนั้นเป็นอย่างไร..นั่นก็เป็นเรื่องของจิตอีกเหมือนกัน ที่แต่ละบุคคล มีศีลสมาธิปัญญา..ไม่เหมือนกันเอาเสียเลย
ปล..อย่าเชื่อที่เราเขียนน่ะ ต้องไปกลั่นกรอง พิจารณาเอง เห็นว่าไม่มีสาระก็ทิ้งมันไป ปฏิเสธทิ้งไปซะ ไม่ต้องเอาไปคิดพิจารณาใคร่ครวญ ให้หนักกายหนักจิต ทับถมจิตใจให้เป็นภาระทับจิตตัวเอง..การเรียนรู้เรื่องของวัตถุสิ่งของที่มีการตรวจสอบตรวจวัดได้ มันอย่างหนึ่ง ส่วนที่เป็นนามธรรมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด นั่นมันยากที่จะไปหาสาเหตุว่า รู้จักอารมณ์ ..แม้แต่ตัวเราเอง ..ก็ไม่สามารถเข้าเรื่องภายในกายได้เลย ในส่วนที่เป็นนามธรรม เค้าจึงบอกว่า มองไปข้างนอกรู้ไปหมด แต่มองมาช้างในกลับไม่รู้ มองตัวเองไม่ออกเลย
โฆษณา