6 เม.ย. 2023 เวลา 15:17 • ความคิดเห็น
เวลาหมดกำลังใจ ก็ถามตัวเองเสียหน่อย ว่ามันหมดที่กาย หรือว่าที่จิต ถ้ากายเราเป็นปกติ ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ต้องต้องยกจิตขึ้นมาให้มีกำลัง หายใจเข้าออกลึกๆ สำรวจอารมณ์นึกคิดดู มันฟุ้งซ่าน ว้าวุ่นเรื่องราวอะไร มันมีตัวตนมั้ย อารมณ์ไม่มีตัวตน แต่มีน้ำหนัก .
เราก็สลัดอารมณ์นั่นออกไป หายใจลึกๆ กลั้นลมหายใจ เป่าลมออกแรงๆ ของเราก็ใช้ ท่องพุทโธเร็วๆ เป่าลมทางปาก ปากก็พูดคำว่า พุทโธให้หูเราได้ยิน เพื่อไปกลบเสียงอารมณ์นึกคิด (มีนเป็นเสียงของอารมณ์) เพื่อจะให้จิตนั่นตื่นขึ้นมา..ให้จิตนั้นมึกำลังเอาชนะอารมณ์นึกคิดที่กดทับจิตอยู่…
นั่นก็เป็นการช่วยเหลือจิตของตัวเอง อีกวิธีหนึ่ง ก็ทำบุญ ..จิตของเราต้องการบุญกุศลไปหล่อเลี้ยงจิต สวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม ..ดูที่ลมหายใจ .. เราก็จะได้ทั้งกายที่เข้มแขฟังจิตเข้มแข็ง หากเราระลึกถึงกายพ่อแม่ที่เราอาศัย นำกายนี้มาเดินจงกรม ..ไม่นึกคิดอะไรเลย มีแค่ภาวนา พุทโธ ดึงจิตเรามาอยู่กับพระ .ให้จิตเรามีกำลัง ..ชนะอารมณ์ สลัดอารมณ์นึกคิดออกไปก่อน เพื่อให้จิตได้พัก
เวลาอารมณ์จะหลุดออกไป ..มันร้อนรุ่ม กายหนัก เราก็ต้องฝืนปฏิบัติธรรม ประคองสติบังกายเดินนิ่ง จิตเฉย ไม่ไปยึด ความร้อนแสบร้อนที่เกิดขึ้น เพราะนั้นก็คือพิษของอารมณ์ที่กำลังไหลออกไป นั่นจึงเป็นเรื่องของความเพียรของจิต..ตัวเราเอง ช่วยเหลือจิตเราเอง ให้มีกำลังขึ้นมา แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะเริ่มเป็นปัจจัตตัง เรื่องเฉพาะตัวของผู้ที่เริ่มกระทำ สลัดละอารมณ์ออกไปได้ ค่อยๆขนสิ่งสกปรกขนสิ่งสกปรกขออกไปจากกายจากจิต
ที่เค้าเปรียบเทียบ จิตของเรามันจมอยู่ในปลักควาย เมื่อจิตเราเข้าใจว่า จิตเรามันชอบคลุกปลักควาย .เราก็ต้องหาวิธีแก้ไข ออกจากปลักควาย ก็จะต้องอาศัยปัญญาธรรมช่วยเหลือเกื้อกูล แล้วทำอย่างไร จึงจะเกิดปัญญาธรรม นั้นก็เป็นเรื่องที่เราต้อง ใช้เหตุผล ลดละ อารมณ์ลดละกรรม ไปเรื่อย .ต้องพิจารณา ใคร่ครวญ ทั้งกาย อารมณ์ จิต ให้สะอาดสะอ้าน .
โฆษณา