8 เม.ย. 2023 เวลา 01:08 • ท่องเที่ยว

WOW ทานปูอลาสก้ายักษ์นอร์เวย์ แสนอร่อย&สดมาก ที่ Snow Hotel กับเรื่องเหลือเชื่อ

เที่ยวไปทั่วกับหมอเฉลิมชัย : ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันเรื่องปูอลาสก้าที่คนไทยคุ้นเคยกันสักนิดว่า
1
จริงๆแล้วปูชนิดเดียวกันนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปถึง 3 ชื่อด้วยกัน ก็คือ
King Crab
1) ปูคัมชัตคา (Kamchatka Crab) เพราะเป็นปูพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่คาบสมุทรคัมชัตคา แคว้นไซบีเรีย ตะวันออกสุดของรัสเซียที่อยู่ใกล้กับรัฐอลาสก้า
2) ปูอลาสก้า (Alaska King Crab) เนื่องจากรัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกานั้น เดิมเคยเป็นของรัสเซียมาก่อน และอยู่ไม่ห่างนักจากคาบสมุทรคัมชัตคา มีเพียงทะเลแบริ่งกั้นเท่านั้น ปูจึงอยู่ในทะเลนี้ระหว่างคัมชัตคากับอลาสก้า
1
3) ปูยักษ์ของนอร์เวย์ (King Crab) อันนี้ไม่ใช่ปูของนอร์เวย์แต่ดั้งเดิม หากแต่เป็นปูที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียในอดีต นำปูชนิดนี้มาเลี้ยงในนอร์เวย์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและทำให้เศรษฐกิจรายได้ดีขึ้น
ปูที่จับขึ้นมาจากทะเลน้ำเย็นจัด
จนปัจจุบันนี้ การส่งออก King Crab หรือปูอลาสก้าของนอร์เวย์ นำรายได้เข้าประเทศมากเป็นอันดับสองรองจากการส่งออกน้ำมัน และทำรายได้สูงมากกว่าการส่งออกปลาแซลมอนนอร์เวย์ที่มีชื่อเสียงและเรารู้จักกันดีเสียอีก
ปู King Crab ราคาแพงมาก เพราะหายากมากขึ้นเป็นลำดับ ปูตัวขนาดกลางมีอายุราว 5 ปี ขนาดใหญ่จะมีอายุมากถึง 20-30 ปี
โดยปูชนิดนี้จะเจริญเติบโตอยู่ในทะเลน้ำเย็นอันหนาวเหน็บใกล้ขั้วโลกเหนือ และอยู่ในระดับความลึก 1500 เมตร จึงทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจับปูนี้สูงมาก ราคาจำหน่ายในตลาดจึงสูงตามไปด้วย
จับขึ้นมาวางบนหิมะ รอนำกลับไปที่ Snow Hotel
รัฐบาลนอร์เวย์จึงดูแลให้จับเฉพาะตัวผู้มาทานได้ (น่าสงสารตัวผู้มาก ) และต้องปล่อยปูตัวเมียไป เพื่อให้ไปแพร่พันธ์ุต่อไป (โชคดีของตัวเมีย)
การจะดูว่าเป็นปูตัวผู้หรือตัวเมีย ก็ดูลักษณะเดียวกับการดูปูม้าในประเทศไทยคือ ให้พลิกดูใต้ท้องด้านล่างของปู
ถ้าเป็นสามเหลี่ยมค่อนข้างแหลมก็เป็นปูตัวผู้ ถ้าเป็นสามเหลี่ยมที่ไม่แหลมแต่ออกอวบอ้วนก็เป็นปูตัวเมีย
ปู 2 ตัว สำหรับพวกเรา 4 คน
รัฐบาลนอร์เวย์นั้น นอกจากจะควบคุมเรื่องการไม่ให้จับปูตัวเมียมาเป็นอาหารแล้ว ยังมีการกำหนดออก ใบอนุญาต (License) ว่า ในแต่ละกิจการหรือชาวประมงแต่ละคน จะจับได้มากน้อยเพียงใดในแต่ละปี แล้วต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้กับรัฐบาลนอร์เวย์ด้วย
1
ทำให้นอร์เวย์สามารถมีปู King Crab ดังกล่าวส่งออกได้ตลอดเวลา และนำรายได้มหาศาลมาสู่ประเทศ
แตกต่างกับปูอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในสองปีที่ผ่านมาไม่มีปูส่งออกมาได้เลย เพราะจำนวนลดลงอย่างมาก
ราคาซื้อขายปูอลาสก้าหรือ King Crab ของนอร์เวย์ ที่ท่าเรือกิโลกรัมละ 500 Nok ประมาณ 1700 บาท แต่ถ้าส่งไปถึงออสโลเมืองหลวงแล้ว ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าคือ 1000 Nok หรือประมาณ 3400 บาท
1
เมืองที่ตั้งของร้านอาหาร หนาวมาก
ปู King Crab ของนอร์เวย์นี้ ตัวใหญ่มาก รสชาติดีเยี่ยม แล้วก็มีราคาแพงมากด้วย
การมาทานปูอลาสก้ายักษ์ของนอร์เวย์ ในชื่อว่า King Crab Safari ของ Snow Hotel ครั้งนี้
จึงเป็นความใฝ่ฝันของผู้เขียนในทริปนี้ ร่วมกับการตามล่าแสงเหนือเพราะเป็นคนที่ชอบอาหารทะเลมาก โดยเฉพาะปูทะเลต่างๆนั้น ชอบมากเป็นพิเศษเลยทีเดียว
1
ตอนอยู่เมืองไทย ก็มักจะหาโอกาสทานปูอลาสก้าชนิดที่แช่แข็งมาจากต่างประเทศ ก็ยังชอบมากเลย
1
ไปญี่ปุ่นก็ได้มีโอกาสทานปู แต่ทราบมาว่าตัวเล็กกว่า และอร่อยน้อยกว่าที่นอร์เวย์
เมื่อมีโอกาสมาถึงนอร์เวย์แล้ว จึงตั้งใจว่าจะต้องแวะร้านอาหารที่มีปูอลาสก้ายักษ์สดอร่อยให้ได้
1
โลโก้ Snow Hotel ที่เราพักและทานปูยักษ์
แล้วก็โชคดีว่า Snow Hotel ที่เราเข้าพัก เพื่อประสบการณ์ในการนอนในห้องพักที่เป็นน้ำแข็งทั้งห้อง (Ice room) เขาได้จัดให้มีการทานปูอลาสก้ายักษ์นอร์เวย์ด้วย แต่ที่พิเศษสุดและถูกใจมากคือ
มีกระบวนการที่สนุกสนาน ได้ความรู้ และตื่นเต้นเพิ่มขึ้นกว่าการทานอาหารปกติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่ออกไปที่ทะเลจริง แล้วนำปูอลาสก้าขึ้นมาจากท้องทะเล
นำกลับมานึ่งทันที สอนวิธีแกะ วิธีทานอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งทานแบบตะวันตกและทานแบบตะวันออก
1
ได้เลือกมื้อทานปูในช่วงบ่ายโมง แทนที่จะเป็น 9 โมงเช้า
1
Slow life ที่ Snow Hotel
เพราะถ้าเป็น 9 โมงเช้า จะทำให้ต้องเร่งรีบตื่นเช้ามาจาก Ice room รีบอาบน้ำ รีบทานอาหารเช้า แล้วจึงเร่งรีบไป Safari แล้วค่อยกลับมาทานปูตอน 10 โมงเช้า
1
นับเป็นทางเลือกที่ดีมาก ที่ทางโรงแรมได้แนะนำไว้ จากการประสานสอบถามล่วงหน้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว
ทำให้มี slow life ค่อยค่อยละเลียด ซึมซับบรรยากาศดีดีอย่างเต็มที่ ของ Snow Hotel ในช่วงเช้า ช่วงสาย และเที่ยง
ทิวทัศน์รอบๆโรงแรม
ค่อยค่อย เดินชมบรรยากาศหิมะที่ปกคลุมไปถ้วน ขาวเนียนสะอาดตา สุดลูกหูลูกตา
ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศต่างๆอันสวยงามรอบรอบโรงแรม ทั้งแสงเช้า จนกระทั่งถึงแสงสาย แสงเที่ยงเป็นลำดับ
โดยตั้งใจจะตื่นสายแบบสโลว์ไลฟ์ราว 9-10 โมงเช้า ทานมื้อเช้าแล้วข้ามมื้อเที่ยง เพื่อที่จะเก็บท้องไว้ตอนย้อนกลับมาทานปูอลาสก้าที่โปรดปรานกันอย่างเต็มที่ตอนราวบ่าย 2 โมง
เพลินๆ ก่อนไป King Crab Safari
ทริปช่วงเช้า 9 โมง มีนักท่องเที่ยวไปมากถึง 20 คน ได้พบเพื่อนนักท่องเที่ยวชาวฟิจิและสิงคโปร์ บอกว่าทานปูไปคนละ 3 ขา จุกแน่นทานต่อไม่ไหว
1
ผมประหลาดใจมากว่า ผู้ชายตัวโตอย่างชาวฟิจิ(เหมือนกับนักรักบี้ทีมชาติที่เราเห็นกัน) ทานปูอลาสก้าได้ไม่ถึงครึ่งตัว แล้วบอกว่าอิ่มมากได้อย่างไรกัน
ผู้เขียนยังพูดเล่นไปเลยว่า 3 ขาไม่น่าจะพอ ผู้เขียนจะขอทานทั้งตัวคือ 8 ขา
เพื่อนชาวฟิจิบอกว่า เคยคิดอย่างนั้นเช่นกัน แต่หลังจากพอทานไปแล้ว จะรู้สึก เดี๋ยวรอดูเองก็แล้วกัน ว่าผมจะทานได้กี่ขา แล้วก็จะเข้าใจ
เราก็แต่งตัวกันอย่างเต็มที่ กันทั้งลมหนาว กันทั้งหิมะ ด้วยชุดหมีแบบนักบิน รวมทั้งสวมหมวก Helmet ถุงมือ รองเท้าหิมะครบชุด ตามที่โรงแรมจัดไว้ให้
2
แต่งตัวเต็มยศ กันหนาวเต็มที่
ถ่ายรูปเอาฤกษ์เอาชัยตามประสานักท่องเที่ยว ที่นานนานจะมีโอกาสได้แต่งชุดเต็มยศ สำหรับการไป Safari ของนอร์เวย์
แล้วก็ขึ้นมานั่งอยู่บนที่นั่งแสนอุ่นสบาย รองก้นด้วยหนังกวางเรนเดียร์
และลากด้วยสโนว์โมบิวที่ขี่โดยวันแมนโชว์ คือคุณลุงคนนี้
คุณลุงขี่ Snowmobile นำพวกเราไปหาปู
แกเป็นทั้งคนขับ คนเล่าเรื่อง คนจับปู คนนึ่งปู และสาธิตวิธีการแกะปูที่ถูกต้อง ทำโดยคนคนเดียว
เพราะนอร์เวย์เป็นประเทศที่ประชากรน้อย และค่าแรงแพงมาก ถ้าเป็นที่เมืองไทยเรา คงต้องใช้คนทำทั้งหมดนี้อย่างน้อย 3 คน
ค่าแรงเฉลี่ยของคนนอร์เวย์ 500-700 บาท ไม่ใช่ต่อวันนะครับเป็นต่อชั่วโมง
แต่ละคนจึงต้องทำงานสารพัดอย่างเต็มที่ ให้คุ้มค่าแรง
และแล้ว เราก็เคลื่อนที่ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปที่ทะเลเว้าแหว่งที่เรียกว่า Fjord ซึ่งพอถึงฤดูหนาว พื้นผิวหน้าก็จะแข็งเป็นน้ำแข็ง หนามากราวครึ่งเมตร ทำให้รถและคนสามารถขึ้นไปเดินหรือวิ่งได้อย่างสบายมาก
พื้นน้ำแข็งถูกเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมไว้แล้ว
เมื่อถึงจุดหมายปลายทางกลางทะเลที่แข็งแล้ว ก็จะพบว่าน้ำแข็งถูกเจาะไว้เป็นรูสี่เหลี่ยมเรียบร้อยแล้ว มีเสาพร้อมคาน และมีเชือกห้อยลงไปในรูที่เจาะไว้
เมื่อสาวเชือกขึ้นมา ก็จะพบเป็นกรงลวดตาข่ายสี่เหลี่ยม ซึ่งข้างในก็จะพบ King Crab หรือปูอลาสก้าอยู่จำนวน 5-6 ตัว
ดูด้วยตาเปล่า ก็เหมือนจะไม่ได้ใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ลุงคนขับก็เลือกขึ้นมา 2 ตัว เพราะว่ากลุ่มตอนบ่ายนี้ มีนักท่องเที่ยวไปเพียง 4 คน
2 ตัวที่เลือกขึ้นมา
โดยบอกว่าเลือกตัวขนาดปานกลางมาให้ จะพอเหมาะกับพวกเรา 4 คนทาน
ผมยังคิดในใจว่า มันจะพอทานหรือนี่ คนละแค่ครึ่งตัวหรือ 4 ขา
คุณลุงคนเก่งเล่าความเป็นมาว่า King Crab มานอร์เวย์ได้อย่างไรและปัจจุบันกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอย่างไร ตามที่เล่าไปแล้วข้างต้น
ขณะที่เล่าเรื่องไป ก็สาธิตไปด้วย โดยการใช้มีดปลายแหลมเล่มเล็กๆใช้ทักษะขั้นสูงเพียงจังหวะเดียว ตัดประสาทสำคัญตรงกลางของปู ตายทันทีแบบไม่ทรมาน ไม่เห็นเลือด
1
ฤทธิ์มีดสั้นของคุณลุง เพลงเดียวจบ
ลุงบอกว่า จริงๆมีเลือด แต่เป็นสีน้ำเงิน ไม่ใช่สีแดงเหมือนมนุษย์โดยให้ความรู้ประกอบด้วยว่าเนื่องจากไม่ใช่ฮีโมโกลบิน
2
และนี่แหละเป็นเหตุทำให้เรียกว่า King Crab เพราะเชื่อกันว่า King ต้องมีเลือดสีน้ำเงิน
1
หลังจากนั้นเราก็พบนักท่องเที่ยวขี่สโนว์โมบิวผ่านไปด้วยความเร็ว จึงทราบว่าสปีดลิมิตนั้นใช้เฉพาะบนแผ่นดินเท่านั้น
1
เนื่องจากจุดที่เรายืนอยู่นั้น เป็นทะเล จึงไม่มีกฎจราจรจำกัดความเร็วเข้ามาบังคับใช้ จะขี่เร็วเท่าใดก็ได้ เป็นความรู้ใหม่ แปลกดีครับ
1
เตรียมตัวกลับมาทานปูที่ห้องอาหาร Snow Hotel
หลังจากนั้น ก็นั่งให้สโนว์โมบิวลากกลับมาที่โรงแรม
เมื่อขับมาถึงโรงแรมแล้ว ก็มาดูวิธีนึ่งปู โดยคุณลุงวันแมนโชว์ เธออธิบายว่า ใช้น้ำทะเลนึ่งไม่ได้
เพราะอียูบอกว่าน้ำทะเลยุโรปสกปรกมีมลพิษ ให้ใช้น้ำจืดเติมด้วยเกลือแทน
สงสัยอยู่เหมือนกันว่า แล้วเกลือที่มาจากทะเลยุโรป มันจะปลอดภัยสะอาดกว่าน้ำทะเลได้อย่างไร
ที่สำคัญปูนี้ ก็อยู่ในทะเลยุโรป ที่อียูอ้างว่าน้ำมีมลพิษนั่นเอง
คุณลุงบอกต่อไปว่า คุณลุงก็สงสัยเหมือนกันว่า อียูออกคำสั่งแบบนี้สมเหตุผลหรือไม่
1
แต่ที่บ้านคุณลุงเวลาจะนึ่งปูกินเอง คุณลุงก็ใช้น้ำทะเลอันนั้นแหละ กินมาหลายสิบปีแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร
1
บรรยากาศห้องอาหารที่ทานปูยักษ์
คุณลุงยืนยันสองอย่างคือ
1) ปูนี้สดมาก เพราะลงมีดเพียงเพลงเดียว ก็ตายเลย เอามานึ่งทันทีในเวลาห่างไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จึงสดมากๆ รสชาติจะดีแตกต่างกับปูอลาสก้าที่แช่แข็งส่งออกไปทั่วโลกแน่นอน ขนาดปูแช่แข็งที่ส่งมาถึงเมืองไทยยังอร่อยมากเลย
2
จึงน่าจะตื่นเต้นมากว่า รสชาติของการได้ทานปูอลาสก้านึ่งสดๆนั้น จะเป็นอย่างไร
2) ลุงเป็นห่วงพวกเรามากว่า กลัวว่าจะไม่พอทาน ก็เลยยืนยันอีกครั้งว่าพอทานแน่นอน คุณลุงบอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพวกเรา ทานสองขาก็อยู่แล้ว ส่วนผู้ชายตัวโตอย่างเราก็ไม่เกิน 3-4 ขา
มีคนจะทานปูตอนบ่าย 4 คน ให้ทั้งหมดตั้ง 16 ขา คือ 2 ตัว ตัวละ 8 ขา จึงพอแน่นอน
นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษคู่สามีภรรยาที่ไปด้วยกัน ผู้ชายบอกว่าเค้าคนเดียวจะอิ่ม ต้องกิน 8 ขา
คุณลุงหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี บอกว่าเดี๋ยวจะได้เห็นกัน ทำนองเดียวกับนักท่องเที่ยวช่วงเช้าที่เคยบอกผมเอาไว้
เมื่อถึงตอนที่ปูสุกดีแล้ว หลังจากนึ่ง 17 นาที ปูออกมาสีส้มสด สวยงามน่าทานมาก ดูมีจำนวนมากกว่าตอนที่ปูยังไม่ได้นึ่ง แต่นับขาดูแล้วก็ 16 ขาครบถ้วน
1
ทางโรงแรมได้เตรียมขนมปัง เนย เลม่อนให้ทานกับปูแบบตะวันตกด้วย เค้าทานปูกับขนมปัง แปลกดี
แต่ขณะเดียวกันก็ได้เตรียมหุงข้าวสวยร้อนร้อน เปิดหม้อหุงข้าวดูแล้วเห็นข้าวเรียงเม็ดสวยงามมาก เพื่อให้ทานกับปูแบบตะวันออก
เห็นข้าวสวยร้อนๆ แล้วก็น้ำลายสอ อยากทานมาก ดีใจมากว่าจะได้ทานปูอลาสก้ากับข้าวสวยร้อนร้อน เราได้เตรียมทั้งน้ำปลาและซอสแม็กกี้ติดไปด้วยแล้ว
1
ลุงก็สาธิตการใช้กรรไกรตัดขาปูขาแรกออกจากตัว แล้วจึงใช้มือหักข้อที่สองข้อที่สามที่เล็กกว่า พร้อมกับดึงแกนกลางของเนื้อปูออกมาด้วย
เมื่อได้ขาปูเป็นสามท่อนเรียบร้อยแล้วจากหนึ่งขา ก็จะใช้กรรไกรเลือกตัดด้านข้างที่บางที่สุดคือ สีออกขาวไม่ออกสีส้ม
โดยตัดทั้งสองข้าง แล้วแกะเปลือกออกได้เลย พอแกะออกมาแล้ว จะพบเนื้อปูสีส้มแดง อวบอิ่ม สวยงามมาก เนื้อดูใหญ่ขึ้นจนแปลกใจ
แต่ก็คิดว่า 3-4 ขา ยังไม่น่าจะพออยู่ดี
เมื่อทานไปได้เพียง 2 ขา ผู้หญิงในกลุ่มทั้ง 2 คน เริ่มมีสีหน้าออกอาการว่าอิ่ม ทานไม่ไหวแล้ว
ส่วนผมทานจนถึงขาที่ 4 ก็ไปต่อไม่ไหว นี่ขนาดยอมไม่ทานข้าวสวยเลย เพราะกลัวจะอิ่มเร็วเกินไป ถ้าทานข้าวหรือขนมปังตามที่เพื่อนชาวอังกฤษแนะนำ น่าจะทานได้แค่ 3 ขาเท่านั้นเอง
1
สุดท้ายถามเพื่อนชาวอังกฤษว่าไหนบอกว่าจะ 8 ขาไงล่ะ เค้าหัวเราะบอกว่า ไม่น่าเชื่อจริงๆ แค่ 3 ขาก็จุกแล้วยูเก่งมาก ทานได้ตั้ง 4 ขา
เคล็ดลับคือ เราไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ทานแต่ปูอย่างเดียว ไม่ทานข้าว ไม่ทานขนมปัง
ส่วนคู่จากอังกฤษ เค้าทานขนมปังด้วย จึงทานปูได้น้อย
สรุปคือ อาหารมื้อนี้ 4 คน ช่วยกันทานปู 2 ตัว ซึ่งเป็นเพียงแค่ขนาดกลาง ไม่หมดจริงๆ
เนื้อปู King Crab ที่ผู้เขียนแกะเอง
คุณลุงคนเก่งบอกว่า นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มก็จะกังวลเหมือนกันหมดว่า ปูจะไม่พอทาน แต่สุดท้ายทานไม่หมดแม้แต่กลุ่มเดียว
1
ปูอลาสก้าที่นี่ มีลักษณะที่หลอกตามากคือ ถ้าดูตอนสดๆจะดูเหมือนขาเล็ก แต่พอนึ่งแล้วจะดูใหญ่ขึ้น แกะออกมาจะยิ่งดูใหญ่มากขึ้นไปอีก
1
ที่สำคัญคือเนื้อแน่นมาก เต็มไปด้วยโปรตีน ซึ่งเรื่องนี้ผมยืนยันว่าจริงคือ ทานแล้วรู้สึกเหมือนเป็นเนื้อลอบสเตอร์ หรือกุ้งแม่น้ำขนาดใหญ่ จึงทำให้อิ่มเร็ว
คุณลุงบอกว่าในเนื้อปูที่แกะแล้ว 1 ขีด มีโปรตีนมากถึง 18 กรัม
เป็นอันสิ้นสุดอาหารมื้อสำคัญสุดแสนประทับใจ
และเหลือเชื่อมากว่า ทานปูแค่ 4 ขา อิ่มแทบตาย โดยที่ไม่ได้ทานอาหารอื่นเลย แตกต่างกับตอนอยู่เมืองไทย ทานปูม้าหนึ่งกิโล ยังไม่ถึงครึ่งท้องเลยครับ
4
โฆษณา