8 เม.ย. 2023 เวลา 09:16 • ท่องเที่ยว

เดินเดี่ยว เที่ยวคนเดียว กลางกรุงออสโล นอร์เวย์ ประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต

เที่ยวไปทั่วกับหมอเฉลิมชัย : ในทริปนอร์เวย์ของ MDCU-34 หรือหมอจุฬาฯรุ่น 34 นั้น
เราเริ่มต้นด้วยการบินจากกรุงเทพแวะดูไบ แล้วไปลงเครื่องที่ Oslo พร้อมกัน 12 คน แล้วมีมาเพิ่มอีกสายการบินหนึ่ง 2 คน
รวมพลกันที่สนามบิน Oslo แล้ว จึงบินขึ้นเหนือต่อไปยัง Leknes หมู่เกาะ Lofoten ที่มีชื่อเสียง
ทิวทัศน์ของหมู่เกาะ Lofoten
หลังจากนั้นทั้ง 14 คน ก็ร่วมกันเดินทางตลอดช่วง 8 วันแรกด้วยกัน เมื่อครบ 8 วันแล้ว ก็มี 6 คนที่แยกตัวเดินทางกลับประเทศไทยก่อน ต่างเวลากันเล็กน้อย
ขนาดกลุ่มจึงลดลงเหลือ 8 คน ใน 8 คนนี้ แยกเป็นกลุ่ม 6 คน เดินทางขึ้นเหนือสู่เกาะ Svalbard
โดยที่ผู้เขียนหรือกลุ่ม 2 คน แยกมาสโลว์ไลฟ์ (Slow life) สบายสบายกับการท่องเรือเดินสมุทรเรียบชายฝั่งเว้าแหว่งแสนสวยของนอร์เวย์ตอนเหนือ
เรือเดินสมุทร เรียบชายฝั่งนอร์เวย์
ตามด้วยการลงจากเรือ ไปเมือง Kirkenes ชายแดนนอร์เวย์ติดกับรัสเซีย เพื่อแวะ Snow Hotel และ King Crab Safari
แล้วจึงบินกลับมาแวะที่ Oslo เพื่อเที่ยวอีกหนึ่งวัน ก่อนกลับกรุงเทพฯ
ในช่วงอยู่กันสองคน ที่จะบินจาก Kirkenes ลงมาสู่กรุง Oslo นั้น คนใกล้ตัวเกิดไม่สบาย เพลียมาก
ผู้เขียนจึงตัดสินใจออกเดินทางแบบ ”เดินเดี่ยว เที่ยวคนเดียว : Alone Walking Tour กลางกรุง Oslo “ ชนิดไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยมาสแกนดิเนเวียเลย
อาศัยใจกล้า อ่านเอาจากโซเชียลมีเดียที่ปรากฏในมือถือ
โดยตั้งต้นจากโรงแรมเรดิสันบลูที่อยู่ติดกับสนามบิน ติดชนิดลากกระเป๋าเดินไป 2 นาที ก็ถึงที่เช็คอินของโรงแรมนั้นแล้ว
โรงแรมเรดิสันบลูที่ติดกับสนามบินออสโล
ในราวบ่ายสามโมงเย็น การเช็คอินก็เรียบร้อย คนใกล้ตัวบอกว่าไปเดินเที่ยวด้วยไม่ไหว ขอนอนพักเอาแรง และบอกว่าถ้าไปเองได้ ก็ให้ลองไปเดินเที่ยวคนเดียวดู
เอาล่ะสิ ทีนี้ก็เป็นเรื่อง เพราะผู้เขียนไม่ได้เตรียมข้อมูลอย่างละเอียด โดยหวังอาศัยการบ้านที่คนใกล้ตัวทำอย่างละเอียดเป็นข้อมูลไว้แล้วสำหรับการเดินเที่ยว Oslo
แต่ครั้งนี้มาป่วย และผลอยหลับไปแล้ว จึงเกรงใจ ไม่ไปสอบถามข้อมูลใดใด
ค้นเองเร็วเร็วเดี๋ยวนั้นเลย ไม่น่าจะเกินความสามารถหรอก
แล้วก็เริ่มสืบค้นทันที โดยใช้มือถือนี่แหละ ข้อมูลต้องเรียกว่าเพียงพอ
นับจากการเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ใจกลาง Oslo โดยรถไฟที่แสนสะดวกสบาย วิ่งตรงเข้าเมืองในเวลาเพียง 20 กว่านาที
แล้วก็ทำการลิสต์รายชื่อสถานที่น่าสนใจของเมืองไว้ 12 แห่ง แต่ดูเวลาแล้วเหลือประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ก็เลยตัดสินใจเลือกจุดสำคัญขึ้นมา 6 แห่ง
โดยใช้หลักว่า ชื่อน่าสนใจ เนื้อหาควรไปแวะชม เส้นทางการเดินแบบไม่ห่างกันมาก ต้องพอเดินไหว ที่สำคัญต้องไม่เดินย้อนกลับไปกลับมา หรือออกนอกเส้นทางมากนัก
ว่าแล้วก็บันทึกไว้ในมือถือ โดยใช้ Google Maps ค่อยๆเพิ่มจุดแวะเข้าไปทีละจุดจนครบ กำหนดให้จุดสุดท้ายมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟให้มากที่สุด จะได้จับรถไฟกลับมาที่สนามบิน แล้วเดิน 2 นาทีเข้าโรงแรมได้เลย
เสร็จสรรพเรียบร้อย แผนละเอียด ของการเดินเที่ยวก็ออกมา หลังจากใช้เวลาไป 10-15 นาที ดังนี้
สถานนีรถไฟที่สนามบินออสโล
1) ออกจากโรงแรมเดินไปสถานีรถไฟของสนามบิน
2) ขึ้นรถไฟไปลงสถานีกลางของ Oslo
3) จากสถานีกลาง เดินไปเที่ยวจุดต่างๆ
4) แวะโบสถ์ Oslo Cathedral
5) อาคารรัฐสภา Norwegian Parliament
6) ศาลากลาง Oslo City Hall
7) ท่าเรือหรือ Harbour
8) อาคารสันติภาพโนเบล Nobel Peace Center
9) พระราชวัง Royal Palace
10) สถานีรถไฟ National Theatre
เป็นอันจบแผน walking tour ฉบับรวดเร็ว แต่น่าจะเพียงพอครบถ้วน
ว่าแล้วก็เริ่มออกผจญภัยเดิน เดี่ยว เที่ยวคนเดียว กลางกรุงออสโล ต่างบ้านต่างเมืองได้แล้ว
โดยเริ่มเดินออกจากโรงแรม ไม่เอาแบคแพคไปเพราะเกะกะน้ำหนักมากเปลี่ยนเป็นกระเป๋าสะพายใบจิ๋วที่บรรจุเพียงพาสปอร์ต ผ้าพันคอ หมวกเล็กๆและยาที่จำเป็น
แล้วก็แต่งตัวกันหนาวพอสมควรแก่เหตุคือ บางลง ไม่รุงรัง เนื่องจากอุณหภูมิเมืองออสโลเพียง 0-1 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับตลอดทริปที่ผ่านมา อยู่ในระดับติดลบ 15 องศาเซลเซียสมาโดยตลอด
เริ่มเดินออกไปถึงสนามบิน ก็พบเครื่องขายตั๋วรถไฟอัตโนมัติ ครั้งแรกอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาษานอร์เวย์
รถไฟขบวนที่วิ่งเข้ากรุงออสโล
แต่โชคดีที่หน้าจอสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษได้ เสียดายที่ยังไม่มีภาษาไทย แสดงว่านักท่องเที่ยวไทยยังมีจำนวนไม่มากพอ
ใช้บัตรเครดิตซื้อตั๋วรถไฟ ไปลงที่สถานีกลาง ด้วยราคา 385 บาท (118 NOK) ใช้เวลาเดินทาง 23 นาที
ตัวรถไฟราคา 118 NOK
เมื่อขึ้นไปบนรถ โบกี้ที่ผมขึ้นไปนั้นค่อนข้างว่าง สะอาดสอ้านมาก แต่ไม่มีคนใส่หน้ากากกันเลยแม้แต่คนเดียว เพื่อความสบายใจเกี่ยวกับโควิดผมก็เลยใส่หน้ากากเอาไว้ก่อน
อึดใจใหญ่ใหญ่ รถก็วิ่งมาถึงสถานีกลางของออสโล ไม่ต้องกังวลนะครับว่าจะลงไม่ถูก เพราะจะมีป้ายในทุกโบกี้แจ้งตลอดเวลาว่า สถานีหน้าคืออะไร และถัดไปอีก 3-4 สถานีจะเป็นสถานีอะไร และเวลาก็จะเป๊ะมากๆ
สถานีรถไฟกลาง ออสโลว์
เมื่อมาถึงสถานี ก็เดินตาม Google Maps มุ่งไปสู่ Oslo Cathedral แต่ขณะเดินผ่านร้านอาหารต่างๆในสถานีกลางนี้เอง ก็พบความหลากหลายสวยงาม และกลิ่นเย้ายวนใจมาก
ประกอบกับตอนนั้นก็ 4 โมงครึ่งตอนเย็นแล้ว กลางวันยังไม่ได้ทานอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย ท้องเริ่มเรียกร้องว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
ร้านพิซซ่าที่แวะเข้าไปเติมพลัง
อย่ากระนั้นเลย รองท้องก่อนเดินเท้าดีกว่า ว่าแล้วสายตาก็ไปประสบพบกับป้ายบอกว่า พิซซ่าบุฟเฟ่ต์ แวะเข้าไปดู โอ้โห !! ชิ้นใหญ่มาก มีตั้ง 5-6 หน้า
ราคาสั่งก็คือ 3 ชิ้น 159 NOK แต่บุฟเฟ่ต์ก็ 159 NOK เช่นกัน กำลังหิวมาก คิดว่าน่าจะเกิน 3 ชิ้นแน่
เลยจ่ายไป 159 NOK ถ้าสั่งน้ำแก้วเดียว 39 รีฟิวก็ 49 ราคาบีบบังคับจริงๆ อ้าวจ่ายไป 49 แล้วกัน
จ่ายเงินเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ถือจานกระเบื้องสีขาวสะอาดตาขนาดใหญ่มาก เน้นนะครับว่าใหญ่มากและหนักมาก สำหรับคนเอเชียด้วยแล้ว ถ้าผู้หญิงตัวเล็กๆต้องถือจานสองมือเลย
ลองเชิงสองชิ้นแรก อร่อยมาก
ในรอบแรกลองเชิงที่ 2 ชิ้นก่อน เพราะชิ้นใหญ่ อร่อยมากครับ แม้หน้าจะน้อยไปนิด เพราะเป็นสไตล์ของบัฟเฟ่ต์ที่จำกัดราคา แต่รสชาตินั้นเรียกว่าใช้ได้เลย
ที่เหลือเชื่อมากคือ แป้งกรอบอร่อย โดยเฉพาะที่ขอบๆ ซึ่งจะไม่มีหน้าไม่มีชีส อร่อยดีมากครับ
ผ่านไปครบ 2 ชิ้น พอจะหายหิว แต่ยังไม่ทันอิ่ม ก็เลยเดินไปตักมาอีก 3 ชิ้น ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ครบ 5 ชิ้น อิ่มแปล้พอดี เมื่อท้องอิ่มเสร็จสิ้นภารกิจบำรุงกำลังแล้ว ก็มาเริ่มออกเดินกันเลย
Oslo Cathedral
จุดแรกคือ Oslo Cathedral เป็นอาคารโบสถ์ยอดแหลมสูงสง่า รายล้อมด้วยรถรางสีต่างๆวิ่งไปมารอบรอบโบสถ์ ทำให้บรรยากาศดีมาก
Oslo Cathedral กับรถรางสีฟ้าสด
ตามมาด้วยอาคารรัฐสภา Norwegian Parliament ที่ทีแรกเดินหาไม่พบ เพราะด้านข้างที่อยู่ติดกับอาคารร้านค้ามีสภาพไม่เหมือนรัฐสภาเลย
แต่ Google ยืนยันว่า มาถึงแล้ว ก็เลยเดินเลี้ยวที่มุมอาคารหักมุม 90 องศา เท่านั้นแหละ พบอาคารสถาปัตยกรรมสวยงามของรัฐสภาทันที
อาคารรัฐสภานอร์เวย์
แล้วจึงเดินต่อไปอีกไม่ไกลนัก ก็มาถึง City Hall ศาลากลางประจำเมือง สวยงามครับ ชอบมากกว่าอาคารรัฐสภาเสียอีก
มีทั้งรูปปั้น รูปวาดลายนูน นาฬิกา ผนังห้องที่มีลวดลายต่างๆ เหมาะเจาะลงตัวพอดีไปหมด
Oslo city hall
เมื่อจะเดินไปท่าเรือทางด้านหลัง ก็ต้องอ้อมอาคาร City Hall มา กลายเป็นว่าวิวด้านหลังสวยงามกว่าด้านหน้ามากขึ้นไปอีก
มุมต่างๆของ Oslo city hall
มีรูปปั้นต่างๆ ระหว่างอาคารกับท่าเรือจำนวนมาก ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ รูปปั้นหญิงเปลือยที่ไม่โป๊ ทำได้ดีจริงๆ
ท่าเรือมีเรือชนิดต่างๆจอดเทียบท่ามากมาย สวยงามมากเมื่อตัดกับน้ำทะเลสีครามและท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม สวยงามประทับใจ
ท่าเรือหลัง City Hall
เดินมาเพลินเพลินเพียงนิดเดียว ก็มาถึงอาการโนเบิลพีซเซนเตอร์ Nobel Peace Center ที่ผมใฝ่ฝันอยากจะมาชมสถานที่เกี่ยวกับรางวัลโนเบลตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้ว
Nobel Peace Center
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะถ่ายภาพทั้งกล้องและมือถือไปมาก ไม่มีคนคอยห้าม หรือเร่ง เพลิดเพลินเจริญใจจริงๆ
สุดท้ายเร่งฝีเท้า มุ่งหน้าไปยังพระราชวังซึ่งห่างออกไปร่วมกิโลเมตร แต่ด้วยอากาศเย็น จึงเดินสบายไม่มีเหงื่อ
ประกอบกับที่ร้านรวง 2 ข้างทางก็สวยงามดูเพลินทีเดียว
ก่อนจะถึงพระราชวัง ก็ผ่านสถานี National Theater ทำให้อุ่นใจว่าจะกลับจากออสโลเข้าสนามบินได้แน่นอน
จึงเดินผ่านสถานีรถไฟไปถึงพระราชวัง ซึ่งตั้งอยู่บนเนินขนาดปานกลาง ทำให้ดูเด่นเป็นสง่า และเมื่อมองลงไปจากเนิน จะเห็นบริเวณใจกลางเมืองที่สวยงาม
อาคารของพระราชวังคล้ายกับพระราชวังในยุโรปหลายแห่ง ทั้งที่เวียนนาและปารีส
เบื้องหน้าพระราชวัง จะเห็นพระบรมรูปทรงม้าของกษัตริย์นอร์เวย์ ประทับอยู่อย่างสง่างามมาก
เมื่อเดินไปถึงด้านหน้า จะเห็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ ยืนและเดินรักษาความปลอดภัยอยู่หนึ่งคน คนเดียวจริงๆครับ
การแต่งตัว บุคลิกการยืน การเดินดีมาก จะเดินทุก 3-5 นาที ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอได้ด้วยไม่ต้องรอนาน
มหาดเล็กรักษาพระองค์
หลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่สถานีที่เล็งไว้ เดินลงไปข้างล่าง ก็พบตู้ขายตั๋ว แต่คราวนี้มีสองแบบคือตั๋วแบบธรรมดากับรถด่วน
ก็เลยลองซื้อแบบด่วน แพงสะใจดีมากเลย คือ 750 บาทหรือแพงเป็นสองเท่าของรถปกติ แต่ใช้เวลาเดินทางสั้นกว่ามาก
1
เมื่อลงรถไฟที่สถานีสนามบิน ก็ได้แวะซื้ออาหารไปฝากคนที่นอนซมอยู่ที่โรงแรม มีหลายร้านให้เลือก
ในที่สุด ตัดสินใจเลือกร้านญี่ปุ่น สั่งเกี๊ยวซ่า 5 ชิ้นโดนไป 420 บาท ข้าวไก่เทอริยากิ 845 บาท ถือว่าแพงโหดใช้ได้เลย
1
ระหว่างนั่งรอรับอาหารเทคอะเวย์กลับบ้านนั่นเอง ก็สังเกตเห็นกุ๊กทั้งสามคน ซึ่งหน้าตาจะเป็นญี่ปุ่นก็ได้ หรือจะเป็นคนเอเชียก็ได้เช่นกัน
พอเริ่มพูดคุยหยอกล้อกัน อ้าวนี่มันภาษาไทยชัดชัด เป็นคนไทยกันหมดทั้งสามคนเลยหรือนี่
Surprise มาก สามกุ๊กไทยมาทำอาหารญี่ปุ่นที่ Oslo สอบถามได้ความว่า อยู่กันมาคนละ 10 กว่าปีแล้ว
เพราะรายได้ดี แต่ก็คิดถึงเมืองไทย จริงๆรักเมืองไทย ไทยเราน่าอยู่กว่า ค่าครองชีพก็ถูกกว่า แต่ที่ต้องอยู่นอร์เวย์ ก็เพื่อจะเก็บเงิน
2
คงจะเพลินมากไปหน่อย อยู่มาเกิน 10 ปีแล้ว
เป็นอันจบทริป “เดินเดี่ยว เที่ยวคนเดียว กลางกรุงออสโล” แบบไม่ได้เตรียมตัว และไม่เคยไปเที่ยวมาก่อนเลย
โฆษณา