8 เม.ย. 2023 เวลา 14:52 • ท่องเที่ยว
เชียงใหม่

ไปเจอผู้คนแปลกหน้า ที่บ้านเล็กในป่าสน ของคนปกาเก่อญอ

ถ้าพูดถึงอำเภอกัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่ คงมีใครหลายๆคนได้ยินมากจากหนังเรื่อง สุขสันต์วันโสด (Low season) ที่มาริโอ้เล่นแน่ๆ และมีเพลงประกอบหนังที่ติดหูอย่าง "เดินทาง" ที่ร้องโดยวงคลีโบ Khee bo เจ้าของบ้านเด๊อะโพ
กัลยาณิวัฒนา เป็นอำเภอเล็กๆที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ที่มีป่าสนใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีวัฒนธรรมของชาวปกาเก่อญอดั้งเดิมอาศัยอยู่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 153 กิโล
การมาเยือนบ้านเด๊อะโพ มาด้วยความบังเอิญที่เราเดินทางคนเดียว ในการมาเจอกลุ่มเพื่อนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อมาเยียวยาหัวใจด้วยธรรมชาติ จากโปรเจ็ก Sun's calling
การเดินทางเริ่มที่สถานีขนส่งช้างเผือก จากนั้นรถตู้ล้อหมุนมุ่งหน้าไปยังอำเภอกัลยาณิวัฒนา ประมาณ 3 ชั่วโมง หากใครจะมารถโดยสาร สามารถใช้บริการรถเหลืองได้ มีรอบรถ 2 เที่ยว คือ 09:00 และ 11:00 ค่ารถประมาณ 160 บาท/คน และให้พี่คลีออกมารับตรงปากทางได้ ต้องใช้รถชาวบ้านเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโล
ต่อรถกระบะไปบ้านเด๊อะโพกับเพื่อนแปลกหน้า
เมื่อมาถึงบ้านพี่คลี หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย บ้านเล็กๆกลางป่าสนน่ารักมาก มีโซนสำหรับกางเต้นท์และห้องพักบนบ้าน ไม่มีพิธีรีตองเยอะแยะมากมาย มีธรรมชาติจากป่าสน และอากาศเย็นๆเป็นของตกแต่งที่เรียบง่ายมาก เหมาะแก่การมาพักผ่อนมากจริงๆ
ทุกคนแยกย้ายกันไปหาที่นอนของตัวเอง สำหรับค่ำคืนวันแรก จากนั้นก็มีการรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดการรับญาณจากป่าในการเข้ามาขอธรรมชาติบำบัด กิจกรรมตลอด 3 วัน 4 คืนนี้ เราต้องเก็บโทรศัพท์ไว้กับทีมงาน เพื่อที่จะได้โฟกัสการอยู่กับป่าอย่างแท้จริง
จากนั้นก็มีการเริ่มกิจกรรมในการขอการเยียวยาจากป่า เพื่อเป็นการขออนุญาตในการใช้พื้นที่ในการเข้ามาสัมผัส และอยู่กับธรรมชาติระหว่างการเข้ามาพักอาศัยที่แห่งนี้
บ้านที่ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมาย แต่สบายใจที่ได้มาพักท่ามกลางธรรมชาติที่แท้จริง
การอาบน้ำที่นี่ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเพียงแก๊สที่พอช่วยให้น้ำร้อนขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณนึงในการรอน้ำร้อน พี่คลีเล่าว่า ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่ไม่ค่อยอาบน้ำกัน เพราะมันหนาวมาก สำหรับเรา การอาบน้ำ เป็นเรื่องใหญ่ 555 และแน่นอนว่าเราต้องได้อาบน้ำครบ 2 เวลา เช้าเย็น และการท้าทายกับความหนาวเย็นในป่าสนนั้น บอกได้คำเดียวว่า หนาวแน่! หนาวจนต้องร้องขอชีวิต
อยากบอกว่า สะใจมาก! พออาบไปจนร่างกายเริ่มปรับอุณหภูมิได้ มันจะสดชื่นมาก รู้สึกดีมากๆเลย
รอพ่อพาตี่ทองดี ศิลปินชาวปกาเก่อญอมาร้องเพลงให้ฟัง
หลังพระอาทิตย์ตก พ่อพาตี่ทองดี ตุ๊โพ (ศิลปินชนเผ่า) ได้เข้ามาเล่นดนตรีให้ฟังคืนแรก เพื่อให้ผู้มาเยือนได้รู้จักเผ่าพันธุ์ปกาเก่อญอมากขึ้น ผ่านการเล่า การเล่นดนตรีเผ่าของพาตี่ทองดี เป็นการฟังเพลงที่ผ่อนคลายมาก ท่ามกลางกองไฟ อากาศเย็นๆ ดาวเต็มท้องฟ้า และเนื้อเพลงส่วนใหญ่มักจะสอดแทรกธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน แม้จะมีบทที่รำพึงรำพันถึงหญิงสาวที่คิดถึง แต่ในเนื้อร้องยังคงมีสิ่งที่เป็นธรรมชาติรอบตัวเข้ามาในบทด้วยเสมอ คนปกาเก่อญอมักมีความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติที่เป็นของสูง คอยหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขา
หลังจากจบการรับฟังรับชมเพลงเพราะๆจากพ่อทองดีแล้ว ได้เวลานอนเพื่อรับวันใหม่
เอ้กอีเอ้กเอ้ก...
เสียงไก่ขันปลุกยามเช้า
ภารกิจแรกยามเช้าคือ การออกไปจิบกาแฟที่ป่าสนวันจันทร์
ป่าสนวันจันทร์ยามเช้า
ป่าสนวัดจันทร์ในตอนเช้า บรรยากาศโรแมนติกมาก หมอกคลุ้งลงบนผิวน้ำ ราวกับอยู่ในฝัน มีต้นสนเป็นพื้นหลัง สถานที่แห่งนี้เหมาะกับการนั่งดูวิว และเปิดเพลงคลอเบาๆ จิบกาแฟยามเช้า ขณะพิมพ์ไป ยังคงคิดถึงบรรยากาศตรงนั้นได้เป็นอย่างดี อยากให้ใครหลายๆคนที่กำลังมองหาสถานที่พักใจ อาจจะไกลจากตัวเมืองซักหน่อย แต่รับรองว่า คุ้มที่ได้มาจริงๆ
เดินเล่นกับพระอาทิตย์ในป่าสน
นอกจากบรรยากาศที่นี่จะดีแล้ว เค้าว่ากันว่า การมาบำบัดใจกับป่าสน เป็นตัวเลือกในการอาบป่า (forest bathing) ที่ดีมากๆเช่นกัน เพราะป่าสน เค้าจะมีความโปร่ง สบายๆ ดูไม่ลึกลับหรือน่ากลัวอย่างที่เราเคยเห็นในสารคดีบ้างล่ะ
การได้อยู่ในป่าสนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เหมือนได้มาเติมพลังจากธรรมชาติ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่แบกมา และหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน ว่าป่าที่เราได้สัมผัสเป็นยังไง กลิ่นดินเป็นยังไง อากาศหนาวไหม เป็นการสร้างการตระหนักรู้ในการอยู่กับปัจจุบันได้ดีมาก
ข้าวเบ๊อะ อาหารชาวปกาเก่อญอ
ยามสายในตอนเช้า ท้องเริ่มหิว พี่คลีได้พาทุกคนกลับไปยังบ้านพัก เพื่อรับประทานอาหารเช้า และเมนูเช้าที่ได้ลองชิมครั้งแรก ก็คือ ข้าวเบ๊อะ เป็นข้าวต้มของชาวเผ่าที่เค้านำสมุนไพรมาปรุงเข้าด้วยกันกับข้าวต้มที่ไม่ผ่านการสีข้าว รสชาตของมันจะปะแล่มๆในช่วงแรกที่ลองชิม แต่พอกินไปเรื่อยๆ มันอร่อยมาก
กิจกรรมระหว่างที่พักที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมของการเรียนรู้ self-awareness ในการเข้าใจตัวเองมากขึ้น เพื่อหาคำตอบสิ่งที่เราแบกความทุกข์มา ผ่านการทำ workshop ตามฐานต่างๆที่ทีมงาน Sun's calling ได้ออกแบบมา เพื่อได้รับการเยียวยาจิตใจให้เบาขึ้น ผู้คนในทริปน่ารักมาก แม้ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน แต่รู้สึกเหมือนกับว่ารู้จักกันมานานแสนนาน และได้กลับมาพบกันอีกครั้งในทริปนี้
Medicine views วงล้อแห่งการรักษา
Medicine views เป็นเสมือนวงล้อของชีวิตในแต่ละช่วงวัย
สีแดง : ช่วงวัยเด็ก ที่มีความสดใส ร่าเริง
สีดำ : วัยผู้ใหญ่ วัยที่ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ไม่ราบรื่น
สีขาว : วัยทำงาน เป็นช่วงวัยที่มุ่งมั่นทำแต่งาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสงบบ้าง
สีเหลือง : วัยชรา วัยแห่งการตระหนักรู้ เข้าใจโลกมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการค้นหาตัวเองในแต่ละช่วงวัยและสิ่งที่พบเจอในขณะนั้น ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ว่าการเดินผ่านแต่ละวัย มักมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นั่นคือ การที่ชีวิตได้เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรถาวรตลอดไป
อาหารมื้อเที่ยงที่อร่อยที่สุดในโลก
สิ่งที่มีความสุขที่สุดของการมาทริปนี้ คือ อาหาร อาหารทุกมื้อจริงๆ อร่อยจนต้องขอเพิ่มข้าวอีกจาน กับข้าวเป็น ผัดผักง่ายๆ กุนเชียงกรอบ แบบกรอบจริงๆ แอ๊บดอยที่อร่อยจนแสงออกปาก แปลกดีที่คนเผ่าทำอาหารที่ไม่มีเครื่องปรุงอย่างผงรสดี ได้อร่อยขนาดนี้
ดนตรีกับหม่าล่ากลางกองไฟ
การได้ฟังเพลงดนตรีสดทุกคืนมันช่างดีต่อใจเสียจริง เพลงบางเพลง มักมีคุณค่ากับใจ โดยเฉพาะเพลงจากธรรมชาติ ฟังทีไร ฟังกี่ครั้งก็เพลิดเพลินได้ทุกครั้งจริง
ลองฟังเพลงพี่คลีได้ https://youtu.be/51dk76i5pFg ถ้าใครได้มีโอกาสมาพักที่เด๊อะโพ ก็จะได้ฟังพี่คลีร้องเพลงสดให้ฟังทุกรอบอย่างแน่นอน
การเดินทางกลับสู่โลกความจริง
ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง สิ่งที่ยากที่สุด คือ การกลับบ้าน เพราะบางครั้งความรู้สึกเรายังคงค้างจากทริปนั้นๆ โดยเฉพาะทริปที่ได้เจอเรื่องราวดีๆ เจอผู้คนดีๆ เจอสถานที่ดีๆ และการมาเด๊อะโพครั้งนี้ หัวใจได้รับการเยียวยาด้วยธรรมชาติที่ดีที่สุดที่เคยมีมาเลย
ธรรมชาติจากป่าสนที่อ่อนโยน
อากาศบริสุทธิ์เย็นๆ
ผู้คนที่น่ารัก
เพลงเพราะๆในทุกค่ำคืน
อาหารที่แสนธรรมดา แต่อร่อยมาก
รอวันพบกันอีกครั้งนะ...ดินแดนป่าสน
📷 พิกัดขาตั้งกล้อง : https://s.lazada.co.th/s.8PRX4?cc
โฆษณา