12 เม.ย. 2023 เวลา 03:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Fiscal Multiplier คืออะไร?

ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งแล้ว มีหลายประเด็นเป็นเชิงนโยบายที่น่าสนใจ ที่ควรพูดคุยถกเถียงกันเยอะๆ เพื่อให้เราจะได้นโยบายที่ตอบโจทย์ประเทศที่เรากำลังเผชิญอยู่
1
ช่วงนี้มีข้อเสนอนโยบายอันนึงที่ทำให้คนพูดถึงเกี่ยวกับ Concept ของคำว่า Fiscal Multiplier กันเยอะมาก ที่น่าเอามาชวนคุยกันนะครับ
1
Fiscal Multiplier พยายามคำถามที่ว่า ถ้ารัฐบาลเพิ่มค่าใช้จ่าย 1 บาท จะทำให้ขนาดเศรษฐกิจโตขึ้นได้ขนาดไหน
2
Fiscal Multiplier มีค่าเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ใช้จ่ายรูปแบบไหน Finance อย่างไร เศรษฐกิจมีลักษณะอย่างไร ฯลฯ และเป็นคำถามสำคัญด้านวิชาการ ที่มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจเรื่องนโยบาย
2
โดยทั่วไป ถ้ารัฐบาลเพิ่มการใช้จ่ายโดยการสร้างการขาดดุลใหม่ เป็นการใช้จ่ายใหม่ที่จะไม่เกิดขึ้นถ้ารัฐบาลไม่นำเงินมาใช้ และถ้าขนาดของเศรษฐกิจถูกจำกัดด้วยขนาดของอุปสงค์ นโยบายของรัฐจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ หรือ GDP ของระบบเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา
และรายได้ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนอยากจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ยิ่งเพิ่มรายได้ของประเทศ และรายได้เพิ่มขึ้นทำให้คนอยากใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก วนๆไป
ใครเรียนหลักเศรษฐศาสตร์แบบ Keynesian มา จะจำได้ว่า มี Concept สำคัญคือ MPC ซึ่งย่อมาจาก Marginal Propensity To Consume หรือสัดส่วนที่คนโดยเฉลี่ยจะนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปใช้จ่ายบริโภค
1
และ มีสูตรคำนวน Fiscal Multiplier หลังจากวนๆ กันไปหลายรอบแล้วคือ 1/(1-MPC)
เช่น ถ้าปกติถ้าคนมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยบาท เขาจะเอาไปใช้จ่าย 50 บาท Fiscal multiplier ก็จะเท่ากับสอง แปลว่าใช้เงินใหม่หนึ่งบาท จะทำให้เกิดรายได้ใหม่รวมถึงสองบาท!
1
แต่ถ้าดูในงานวิจัยจะพบว่า Fiscal Multiplier จริงๆน้อยกว่านั้นมาก เช่น งานวิจัยของ IMF บอกว่า จากประสบการณ์หลายๆ ประเทศ Multiplier อาจจะแค่ 0.3-1.3 เท่านั้น (เป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจอาจจะเพิ่มน้อยกว่าเงินที่ลงไปก็ได้)
2
และมีหลายเหตุผลที่ทำให้การใช้จ่ายของรัฐ อาจจะไม่ได้สร้างรายได้ใหม่ได้เยอะๆ แบบที่สูตรง่ายๆ ข้างบนบอกเรา
1
เช่น เศรษฐกิจมีรูรั่วเต็มไปหมด การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่ได้สร้างรายได้ในประเทศทั้งหมด แต่อาจจะหลุดไปกับการนำเข้า ทำให้รายได้ในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่ากับการใช้จ่ายในแต่ละรอบ
2
การใช้จ่ายภาครัฐอาจจะมีผลกระทบที่เรียกว่า Crowding Out Effect ที่เกิดจากภาคเอกชนใช้จ่ายน้อยลงเมื่อภาครัฐเข้ามาเป็นคนใช้จ่ายเอง
1
หรือผู้บริโภคอาจจะฉลาดกว่าที่โมเดลบอกเรา ถ้ารัฐบาลเพิ่มการใช้จ่ายโดยการสร้างหนี้ ผู้บริโภคอาจจะมองข้ามช็อตไปเลยว่า รัฐบาลคงต้องขึ้นภาษีในอนาคตมาใช้หนี้ ก็เลยอาจจะออมเงินตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า และ GDP อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ต่างจากการ Finance ค่าใช้จ่ายโดยภาษีในปัจจุบัน
1
นี่คือ Concept ที่เรียกว่า Ricardian Equivalence
1
หรือจริงๆเศรษฐกิจอาจจะถูกจำกัดด้วยอุปทาน (Supply) มากกว่าอุปสงค์ (Demand) เพิ่มค่าใช้จ่ายไป Real GDP ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ไปโผล่ที่ราคาที่สูงขึ้นแทน
1
นอกจากนี้ ยังมีการพบว่า การใช้จ่ายแต่ละประเภท ยังมี Multiplier ไม่เท่ากันอีก และเงินโอนภาครัฐ หรือการแจกเงินให้ประชาชน (แทนที่จะเป็นการใช้จ่าย หรือการลงทุนที่ทำให้เกิดรายได้ในทันที) ปกติแล้วจะมี Multiplier ต่ำกว่าการใช้จ่ายหรือการลงทุนภาครัฐ
2
ทำไมเหรอครับ ก็เพราะเงินโอนไม่ได้ทำให้เกิด GDP ทันทีในรอบแรกที่ใส่เงินลงไป แต่ต้องรอว่าคนที่ได้เงินไป จะสร้างให้เกิด GDP ใหม่โดยการเอาไปใช้จ่าย
2
ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าผมเงินกินข้าวอยู่แล้วเดือนละห้าพันบาท ถ้ามีคนเอาเงินมาให้ผมอีกห้าพันบาท เดือนนั้นผมจะกินข้าวกี่บาท? ถ้าผมกินเดือนนั้นแปดพันบาท แม้ว่าผมจะใช้เงินที่รับแจกมาจนหมดจริงๆ แต่ไม่ได้แปลว่าผมสร้าง GDP ใหม่ขึ้นมาห้าพันบาทนะครับ ผมสร้าง GDP ใหม่แค่สามพันบาทเท่านั้น ที่เหลือผมเอาเงินที่ปกติจะใช้เก็บใส่กระเป๋าไปเป็นเงินออม (นึกภาพโครงการช็อปช่วยชาติที่หลายคนใช้จ่ายกินข้าวเหมือนเดิม แต่ไล่เก็บใบกำกับภาษี มากกว่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
2
คิดแบบนี้ ผลจากการแจกเงินรอบแรกอาจจะมีการสร้าง GDP ใหม่น้อยกว่าต้นทุนที่ใช้พอสมควร
1
และการแจกเงินแบบจำกัดเวลาอาจจะทำให้เกิดการยืมอุปสงค์ในอนาคตมาใช้ ที่แม้จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่จะลดกลับไปเท่าเดิมในระยะถัดไปก็ได้
2
ยิ่งถ้าคนเอาเงินรับแจกไปซื้อของนำเข้า ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจจะยิ่งน้อยลงไปอีก
3
ดังนั้น การใส่เงินโอนเป็นการทั่วไป (ที่ไม่ใช่การช่วยเหลือเป็นเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง หรือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว) ยากมากที่จะได้ Multiplier โดยรวมเกิน 1x ไปได้มากๆ แม้จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมก็ตาม
2
นี่ยังไม่นับว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ผลจากการกระตุ้นอุปสงค์ในระยะสั้น อาจจะ ทำให้ธนาคารกลางกลุ้มใจเรื่องความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และขึ้นดอกเบี้ยแตะเบรกกันไว้อีกนะครับ
1
สำหรับประเทศไทย มีการศึกษาจากสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา บอกว่าตัวคูณของเงินโอนทั่วไปเท่ากับ 0.94 และงานศึกษาจาก ธปท ก็บอกว่าตัวคูณทางการคลังจากเงินโอนอาจจะแค่ 0.4 เท่านั้น
1
ถ้า Finance การโอนด้วยการลดค่าใช้จ่ายอื่น หรือขึ้นภาษี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะน้อยกว่านี้มาก
1
การออกแบบนโยบาย ถึงจะเป็นนโยบายที่เหมาะสม แต่หากตั้งอยู่สมมติฐานเรื่อง Fiscal Multiplier ที่มีค่าสูงเกินจริง (บางคนบอกว่าอาจจะสูงได้ถึงหกเท่า) อาจจะเป็นประเด็นที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการคาดหวังรายได้ภาษีมาชดเชยค่าใช้จ่าย เพราะอาจจะยังขาดข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการ ประเมินต้นทุนของนโยบายผิดพลาด เสี่ยงที่จะผิดหลักการทำงบประมาณ และอาจจะนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ผิดพลาดได้ ก็คงต้องพิจารณากันให้รอบคอบนิดนึงนะครับ
3
อ้างอิง :
โฆษณา