17 เม.ย. 2023 เวลา 05:13 • หุ้น & เศรษฐกิจ

tom canfield -500,000 USDใน1 ชั่วโมง และเอาคืนได้ใน1ปี

ผมดูสัมภาษณ์tom canfield ซึ่งเป็นเทรดเดอร์มานานกว่า20ปี ประวัติของเขาน่าสนใจมาดเลยสรุปมาให้อ่านกันครับ
tom canfileld เริ่มเป็นtraderตั้งแต่ปี1999 ปู่ของเขาเป็นstockbroker จบจากbusiness school เคยเป็นIB แล้วมาทำร้านอาหาร พอมีลูกก็เหนื่อยมากเพราะต้องดูแลทั้งร้านอาหารและลูก เหมือนทำงาน24/7
สุดท้ายร้านอาหารเจ๊งเพราะไม่มีเวลาดูแล ตอนนั้นเขาหมดไฟเรื่องร้านอาหารแต่มีความสนใจเรื่องtradingมากกว่า เลยเป็นfull time ด้วยสถานการณ์บังคับ และเป็นการเริ่มต้นโดยที่ไม่พร้อมด้วย
เขาเริ่มจากเงิน10,000 USDและเสียมันไปทั้งหมด tomบอกว่าการเป็นfull-timeนั้นมีความกดดันและเครียดมากมาก เขาใช้เวลา 2-3ปีในการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่รอดในตลาดหุ้น
ประสบการณ์นี่น่ากลัวในตลาดคือหุ้น QLGC (**มีข้อมูลการเทรดวันสุดท้าย 15/8/2016 **winner stock) หุ้นประกาศผลกำไร แต่tomไม่รู้ว่ามันมีกำไร จริงๆคือเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับfundamentalเลย ตอนนั้นportของเค้าโต 50,000 เป็น 80,000 USD
หลังจากหุ้นขึ้นมาซักพักเค้าทำการshortหุ้น ซึ่งมันไม่ใช่แผนที่tomวางไว้ตั้งแต่ต้น เขาshortเพิ่มไปเรื่อยๆจนคอมพิวเตอร์บอกว่าshortเพิ่มไม่ได้แล้ว
ซึ่งนั่นทำให้portของเขาลดลงจาก80,000 USDเหลือเพียง40,000 USDในวันเดียว
และportของเขายังลดลงต่อจนเหลือ30,000 USD ซึ่งนั่นทำให้tomมีปัญหา เพราะเขาต้องถอนเงินออกมาใช้จ่ายทุกเดือน
bear marketในช่วงปี2000 - 2003 นั้นสอนให้เขารู้ว่าตลาดหุ้นมันโหดขนาดไหน
หลังจากนั้นเขาได้พบกับpat walkerซึ่งได้สอนเขาหลายอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้เทรดในstyleเดียวกันแต่แกนหลักสำคัญของtomนั้นได้มาจากpat walker
tomให้ความสำคัญกับครอบครัวและการใช้ชีวิตมาก สำหรับเขาการเทรดนั้นสำคัญก็จริง แต่การที่เราอยู่ที่หน้าจอตลอดเวลาเพื่อที่จะคว้าทุกโอกาส สุดท้ายการเทรดจะค่อยๆกัดกร่อนเรา ทำให้เหลือแต่ความว่างเปล่า
สำหรับtomการที่เทรดแล้วได้กำไร 8 - 15% ใน3วันถือว่าok เพราะการเทรดสำหรับเขาคือการเทรดเพื่อยังชีพ การเกิดdrawdown 10% สำหรับtomมันน่าเสียดาย เพราะเงินที่หายไปสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
setupที่tomใช้คือการรอให้หุ้นพุ่งขึ้นแรงๆ20-25%แล้วรอการเกิดpullback จากนั้นเขาจะเข้าซื้อหุ้นถ้าหุ้นเริ่มวิ่งอีกครั้ง
เขาจะถือหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆและขายในเวลาไม่เกิน5วัน และรอจนกว่าหุ้นจะทำbaseอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์เพื่อหาจังหวะเทรดรอบต่อไป หลังจากขายหุ้น ต่อให้หุ้นวิ่งไปอีก60%ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือความต่อเนื่องของกำไร
ยกตัวอย่างzmในช่วงปี2020 ซึ่งวิ่งจาก 90 USD ไป 600 USD แต่เขาสามารถทำกำไรได้ 50จุดจากการเทรด5ครั้ง ซึ่งเป็นการรอให้เกิดpivotและbreakout จากนั้นก็ขายภายใน2วัน
ในช่วงตลาดดี เขาจะใช้วิธีสลับหุ้นไปเรื่อยๆ โดยเข้าซื้อเมื่อหุ้นเกิดการbreakout การหมุนหุ้นและเก็บกำไรไปเรื่อยๆ การทำแบบนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับtom เพราะมันเป็นจิตวิทยาที่ทำให้เขาได้รับรู้ว่าจะมีเงินไปใช้จ่ายแน่ๆ
การเก็บกำไรต่อเนื่องครั้งละ2R - 3Rนอกจากจะสร้างความมั่นใจให้กับเขาแล้ว ยังทำให้equity curveไม่ผันผวนรุนแรง ซึ่งการทำให้equity curveขึ้นอย่างมั่นคงนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับfull-time trader
เพราะการที่full time traderมีequity curveที่ผันผวนจะส่งผลต่อจิตใจมาก ทุกสิ่งทุกอย่างจะวิ่งเข้ามาในหัว เช่น จะจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟยังไง เราเก่งพอมั้ย ฯลฯ
tomจะคัดเลือกหุ้นเข้ามาอยู่ในwatchlistประมาณ30ตัว และจะซื้อหุ้นที่อยู่ในwatchlistของเขาเท่านั้น
ถ้าหากเขาไม่สามารถทำกำไรจากหุ้นพวกนี้ได้แปลว่า
1.ต้องปรับปรุงwatchlist
2.ตลาดกำลังแย่
watchlistของtomไม่ได้ต้องการหุ้นbig winnerแต่ต้องการหุ้นที่วิ่งได้มากพอ
tomมีsetup 3รูปแบบ
1.hit and run ซึ่งเค้าเอามากจากjeff cooper (หนังสือhit and run trading) วิธีการเทรดคือใช้setupเดียวกับtimeframe day แต่เทรดในtimeframe 30 min และเมื่อเจอsetupในtimeframe 30 minแล้ว เขาจะลงไปดูในtimeframe 10 min เพื่อหาจุดซื้อ
ส่วนการขายหุ้นนั้นอยู่ที่สภาพตลาด โดยมากจะถือหุ้น1-3วัน ถ้าหากหุ้นวิ่งไปได้ดีอาจขายบางส่วนในตอนปิดวันของวันที่ซื้อ การเทรดแบบนี้เขาจะทำบ่อยในช่วงที่ตลาดเกิดการcorrectionหรือในช่วงที่ตลาดเงียบเหงา
2.explosion trade setupนี้ถ้าตลาดดีจะถือ 3 - 10 วัน เป็นการเทรดที่ต้องการbaseยาว2-6สัปดาห์ แล้วchartทำการบีบตัวก่อนเกิดการจุดระเบิดของราคา
3.momentum swing เป็นการเทรดที่ใช้เวลาถือ 2สัปหาห์ขึ้นไป ซึ่งตอนแรกtomไม่อยากทำแบบนี้เพราะเขาต้องการเงิน แต่ตอนหลังเขาไม่ได้ต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันขนาดนั้นแล้ว ทำให้ไปเน้นการเทรดแบบมองภาพใหญ่มากกว่า ระยะเวลาในการถือคือ3สัปดาห์ถึง3เดือน โดยหวังผล 20%ขึ้นไป
Tomมีวิธีการบริหารจิตใจด้วยการคำนวณว่าใน1ปีเค้าจะมีคชจเท่าไหร่ สมมติ 100,000 USD ก็จะตกเฉลี่ยเดือนละ 8,500 USD ดังนั้นเขาจะโอนกำไร 8,500 USD แรกของทุกเดือนไปเก็บไว้ในบัญชีธนาคาร เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีเงินพอต่อการใช้จ่าย ซึ่งเป็นการลดความวิตกกังวลเรื่องกำไร - ขาดทุนที่จะตามมา
ปัญหาอีกอย่างที่tomเจอคือ เมื่อportโตขึ้นเขาไม่สามารถบริหารportได้ดีเหมือนเดิม เพราะติดปัญหาเรื่องposition sizeที่ใหญ่จนกระทบต่อจิตใจ tomแก้ปัญหานี้ด้วยการแยกaccountออกเป็น 3 account เพื่อที่จะสามารถใช้ position size ที่จิตใจของเขารับได้
หุ้นที่ให้บทเรียนสำคัญกับtomอีกตัวคือXIV (**มีข้อมูลการเทรดวันสุดท้าย 15/2/2018 **winner stock) ซึ่งเป็นหุ้นที่แข็งกว่าตลาด และtomได้เข้าซื้อหุ้นตัวนี้ตามแผนที่วางไว้
การเทรดนี้เป็นไปได้ด้วยดีและเขาคิดว่าน่าจะได้กำไรจากการเทรดครั้งนี้ 150,000-200,000 USD
หลังจากtomซื้อXIVหุ้นก็ขึ้นมาเรื่อยๆ และเขาได้มีการซื้อหุ้นเพิ่มมาตลอดทางจนเป็นpositionที่ใหญ่เกิน50%ของport โดยมีต้นทุนอยู่ประมาณ 88 USD
จากนั้นtomได้ไปพักในครัวไม่กี่นาที พอกลับมาดูราคาที่จออีกครั้งปรากฎว่าราคาหุ้นเหลือ30 USDและไหลลงต่อเป็น 20 USD เขาเสียเงินในการเทรดครั้งนี้ไป 500,000 USD ภายใน1ชั่วโมง
การเสียเงินในครั้งนั้นทำให้tomเสียศูนย์และมีความอยากที่จะเอาคืน นั่นทำให้เขาต้องหยุดเทรดหลายครั้งเพื่อฟื้นฟูจิตใจ และยอมรับให้ได้ว่าเขาได้เสียเงินไปแล้ว มันไม่ใช่เงินของเขาอีกต่อไป
tomกลับมาเทรดอีกครั้งด้วยsizeที่เล็กมาก(APPL 100หุ้น) จากนั้นเค้าค่อยๆทำเงินได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากวันละ 100 USD เป็นวันละ 200 USD และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเทรดทีละ100หุ้น เขาใช้เวลา5เดือนในการค่อยๆเพิ่ม position size และใช้เวลา1ปีในการได้เงินทั้งหมดคืนกลับมา
ช่วงสิ้นปี 2019 tomกลับมาใช่กลยุทธcanslimอีกครั้ง เพราะการ daytrade มันเหนื่อยมาก แต่พอปี 2020เ ขาพลาดการซื้อในช่วงจุดต่ำสุดของcovidไป3เดือน กว่าทอมจะเริ่มเทรดก็เดือนกรกฎาแล้ว
แต่ปีนั้นก็เป็นปีที่เขาทำผลตอบแทนได้ดี เมื่อหุ้นเข้าสู่strong uptrend มันไม่สำคัญว่าคุณจะพลาด1เดือนแรกหรือ5%หรือ10%จากจุดต่ำสุดไป เพราะฉะนั้นอย่าไปเครียดกับการหาจุดต่ำสุด
tomบอกว่าสิ่งสำคัญของtraderคือเราต้องรู้จักfocusในสิ่งที่ทำ คุณต้องการ1setupที่คุณเชี่ยวชาญที่สุดที่จะสามารถใช้เลี้ยงดูชีวิตของคุณได้ และจริงๆแล้วเขาก็มีแค่ 1 setup ซึ่งใช้ในการเทรด timeframe 30 min และ 1D
tomไม่เห็นด้วยกับคำว่าเราต้องเทรดด้วยความมั่นใจไม่ใช่ความกลัว เขาคิดว่าเราควรเทรดด้วยความกลัวนิดๆเหมือนการที่เราเดินอยู่ริมหน้าผา เพื่อที่จะระมัดระวัง การที่เราเทรดโดยไร้ความกลัวจะทำให้เราต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี
การมองเข้าไปในจิตใจของเราเพื่อรับรู้อารมณ์ เป็นตัวผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า เราต้องรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเราเป็นแบบไหน ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น
ตัวกระตุ้นอารมณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คุณต้องค้นให้ได้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ของคุณ เพื่อที่เราจะเรียนรู้ที่จะจัดการกับมันให้ได้
การจัดการกับอารมณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางครั้งเรามองหุ้นตัวเดียวกัน ซื้อหุ้นตัวเดียวกันแต่สุดท้ายได้ผลลัพท์ที่ต่างกัน คนที่ประสบความสำเร็จมีน้อยกว่าคนที่แพ้ เพราะมีการจัดการอารมณ์ที่ต่างกัน
tomบอกว่าตอนนี้เขาไม่ได้ทำบันทึกการเทรดอารมณ์ เขาเคยทำบันทึกเกี่ยวกับอารมณ์ในช่วงแรกๆของการเทรด แต่ตอนนี้เขาใช้การทำสมาธิแทนซึ่งมันทำให้เขาสงบลง แต่เขาก็คิดว่าการทำบันทึกเป็นเรื่องที่ดีมาก
สำหรับคนที่เป็นfull-time trader tomแนะนำว่า
1.พยายามเก็บประสบการณ์จากตลาดให้ได้มากๆ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี เพราะตลาดแต่ละปีมีสถานกาณ์ที่ไม่เหมือนกัน ตรงจุดนี้การทำบันทึกจะสามารถช่วยคุณได้มาก
2.ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี เพราะเมื่อคุณออกมาเป็นfull-time traderแล้วคุณจะแย่ไป3-6เดือน ไม่ว่าคุณจะเคยเก่งมาขนาดไหน 3-6เดือนแรกเป็นการเทรดที่ยากมากสำหรับคนที่ออกมาเป็นfull-time trader เพราะมันมีอารณ์มากมายที่คุณต้องจัดการ
การใช้social mediaก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างการใช้twitter คุณต้องระวังเรื่องการfollowใครซักคนในtwitter เพราะมันทำให้การเทรดเป็นงานที่ดูง่ายสุดๆ และมีข้อมูลหลังไหลเข้ามาเยอะจนล้น ตัวtomเองก็muteเพื่อนไป80-90%เพราะไม่ต้องการให้ข้อมูลจากคนอื่นเข้ามารบกวน
twitterอาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าหรืออาจเป็นplatformที่ทำลายเรา ถ้าเราใช้เวลากับมันมากเกินไป เพราะ content ส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณค่าขนาดนั้น หรือต่อให้มันมีคุณค่า มันก็อาจไม่ใช่คุณค่าสำหรับคุณ การดูหน้าจอและวิเคราะห์price and volume นั้นให้ข้อมูลเหมือนกันและไม่ทำให้เราbias
1
โฆษณา