19 พ.ค. 2023 เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์

Silvius Leopold Weiss

บาคสร้างเสียงอันซับซ้อนได้บนออร์แกน ส่วนไวสส์ทำแบบนั้นได้บนเครื่องสาย
ทรานสคริปต์ (Transcript) คือการนำโน้ตเพลงซึ่งแต่งให้กับเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง มาเรียบเรียงเพื่อบรรเลงในเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่ง อาทิ ‘Cello Suite No.1’ บทเพลงที่ระบุชัดเจนว่าเป็นงานสำหรับเชลโล แต่งานชิ้นนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอื่นมากที่สุด หรือในกรณีของกีตาร์คลาสสิก ‘Asturias’ บทเพลงที่หลายคนอาจหลงลืมไปแล้วว่าต้นฉบับประพันธ์โดยนักเปียโนและบรรเลงโดยเปียโน
และเชื่อว่านักกีตาร์คลาสสิกคงคุ้นชินเป็นอย่างดีกับโน้ตเพลงทรานสคริปต์จากเครื่องดนตรีโบราณอย่าง ‘ลูท’ (Lute) หนึ่งในบรรพบุรุษของกีตาร์ที่มีความคล้ายคลึงในด้านการตั้งสายและวิธีเล่น และหากกล่าวถึงนักเล่นลูทที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง ‘ซิลเวียส เลโอโปลด์ ไวสส์’ (Silvius Leopold Weiss, 1687-1750) คือชื่อที่ควรมาเป็นอันดับต้นเสมอ
ย้อนกลับไปในยุคสมัยก่อนถือกำเนิดกีตาร์ ลูทเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในยุโรปมาตั้งแต่ยุคกลางและสืบเนื่องมาจนถึงยุคบาโรก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าศักดิ์ศรีของเครื่องดนตรี ยังเป็นรองเครื่องดนตรีชิ้นอื่น จนนำมาซึ่งแนวคิดเชิงด้อยค่าตามคำกล่าวของ ‘โยฮันน์ แมทธีสัน’ (Johann Mattheson, 1681-1764) นักดนตรีชาวเยอรมัน [ผู้เป็นเพื่อนกับแฮนเดิล] โดยกล่าวไว้อย่างติดตลกว่า
“ถ้านักเล่นลูทมีอายุถึง 80 ปี เขาคงใช้เวลา 60 ปีไปกับการตั้งสาย” เนื่องจากลูทนิยมใส่สายแบบประกบคู่ (Course strings) ซึ่งรวมแล้วบางตัวอาจมีสายมากถึง 10 สาย อย่างไรก็ตาม ลูทยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และยังเป็นสถานที่หล่อเลี้ยงชายผู้มีชื่อว่า ‘ซิลเวียส เลโอโปลด์ ไวสส์’
ไวสส์ เกิดในกรอตกุฟ (Grottkau) เมืองซึ่งใกล้กับ เบรสเลา (Breslau) หรือ วรอตซวาฟ (Wrocław) ปัจจุบันเป็นพื้นที่ของโปแลนดิ์ ไวสส์เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เขาเดินตามรอยผู้เป็นพ่อ ‘โยฮันน์ เจค็อบ ไวส์’ (Johann Jacob Weiss) นักเล่นลูทที่มีชื่อเสียง
ในวัย 20 ปี ไวสส์เปิดตัวเป็นนักเล่นลูทในราชสำนักเบรสเลา โดยเป็นราชสำนักที่ครอบครัวของเขารับใช้อยู่ ต่อมาไวสส์ได้ย้ายไปรับใช้ในราชสำนักดุสเซลดอร์ฟ (Dusseldorf) จนในปี 1708 ไวสส์มาอาศัยอยู่ที่กรุงโรม และหมั้นกับอดีตราชินีแห่งโปแลนด์ ‘มาเรีย คาซิมิรา’ (Maria Casimira) ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักในฐานะอดีตผู้ว่าจ้างของสการ์ลาตตี (Domenico Scarlatti)
ราวปี 1710 ไวสส์เดินทางมายังกรุงปราก และได้พบกับนักเล่นลูทชาวโบฮีเมียน ซึ่งจะมีอิทธิพลต่องานประพันธ์ของไวสส์ในอนาคต ‘แจน อันโตนิน โลซี’ (Jan Antonín Losy) หรือ เคานต์โลจี (Count Logy) ไวสส์เรียนรู้งานเพลงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมารับงานในบ้านเกิดช่วงสั้นๆกับราชสำนักสองแห่งในปี 1714
จนกระทั่งในปี 1718 ในวัย 32 ปี ไวสส์ได้รับแต่งตั้งเป็นนักดนตรีในวงออเคสตราของกษัตริย์แห่งโปแลนดิ์ ‘ออกัสตุสที่สอง’ (Augustus the Strong, 1694-1733) โดยประจำอยู่ในวงเดรสเดิน คอร์ท ออเคสตรา (Dresden Court Orchestra) ซึ่งมีชื่อเสียงในระดับสากล และตัวเมืองเดรสเดิน ณ เวลานั้น ยังเป็นศูนย์กลางความเจริญทางด้านศิลปวิทยาการ มีโรงละครโอเปราและโบสถ์ดนตรีอันยอดเยี่ยม
เงินเดือนประจำตำแหน่งที่สูงราว 1,000 ทาเลอร์ (Thalers) และเพิ่มขึ้นจนสุดที่ 1400 ทาเลอร์ในปี 1744 ทำให้ไวสส์กลายเป็นนักดนตรีที่ได้รับค่าตอบแทนมากที่สุดในวง อย่างไรก็ตาม การรับตำแหน่งในระดับสูง ยังมาพร้อมกับสังคมที่สูงขึ้น ไวสส์จึงเริ่มยกระดับตัวเองด้วยการใช้ชีวิตที่หรูหราและใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง จนนำไปสู่บทสรุปที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไรนัก
ท่ามกลางชื่อเสียงในฐานะนักเล่นลูทแห่งเดรสเดิน ไวสส์เคยถูกขังในคุกเดรสเดินเช่นกัน ด้วยข้อหาก่ออาชญากรรม โดยเชื่อว่ามาจากความไม่พอใจของฝ่ายอำนวยการดนตรีและความบันเทิงของราชสำนัก (Master of Revels) โชคดีที่ได้เคานต์ ‘แฮร์มันน์ คาร์ล ฟอน คีย์เซอร์ลิง’ (Hermann Karl von Keyserling) หรือที่รู้จักในฐานะผู้ว่าจ้างบาค (J.S.Bach) แต่งเพลงชุด Goldberg Variations เคานต์คีย์เซอร์ลิง ได้เขียนรายงานถึงรัฐมนตรีเกี่ยวกับความยอดเยี่ยมของไวสส์ และขอให้ปล่อยตัวนักเล่นลูทผู้นี้
ปี 1739 สิงหาคม ขณะไวสส์พำนักที่เมืองไลฟ์ซิก ด้วยความสัมพันธ์อันดีและการเชื้อเชิญจากลูกชายของบาค ‘วิลเฮล์ม ฟรีดแมนน์ บาค’ (W.F.Bach) ทำให้ไวสส์มีโอกาสเดินทางมาพบบาคผู้เป็นพ่อ (J.S.Bach) ทั้งสองได้ประชันฝีมือด้วยการด้นสด (Improvisation) โดย ‘โยฮันน์ ฟรีดริช ไรชาร์ด’ (Johann Friedrich Reichardt) บรรยายไว้ว่า
“ใครก็ตามที่รู้ว่าการเล่นฮาร์โมนิกโมดูเลชัน (Harmonic Modulations) และการเล่นเคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) บนลูทนั้นยากแค่ไหน จะต้องประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ เมื่อได้ยินพยานในเหตุการณ์เล่าว่า ไวสส์ นักเล่นลูทผู้ยิ่งใหญ่ ได้ท้าทายบาค นักเล่นฮาร์ปซิคอร์ดและออร์แกนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยการบรรเลง Fantasies และ Fugues"
มีการยืนยันภายหลังว่าชุดเพลง Suite for violin & harpsichord in A major BWV 1025 ของบาค ได้รับแรงบันดาลใจจากงานโซนาตาชิ้นหนึ่งของไวสส์ ซึ่งการพบกันของทั้งสองกินเวลาเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น ตามคำบอกเล่าของเลขาส่วนตัวของบาค (และอาจเป็นหลานของบาค)
“พวกเราได้ยินเสียงดนตรีที่ดีมาก เมื่อลูกพี่ลูกน้องจากเดรสเดินของฉัน [ลูกชายบาค W.F.Bach] ได้เข้ามาพักที่นี่เป็นเวลาสี่สัปดาห์ร่วมกับนักเล่นลูทชื่อดัง มิสเตอร์ไวสส์”
ไวสส์ อยู่ที่เดรสเดินจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1750 [บาคเสียชีวิตในปีเดียวกัน] ไวสส์จากไปด้วยวัย 66 ปี โดยทิ้งภรรยาและลูกอีกเจ็ดคน ต้องเผชิญชะตากรรมโดยปราศจากมรดกทรัพย์สิน เนื่องจากการใช้ชีวิตที่หรูหราและฟุ่มเฟือยในสังคมชนชั้นสูง โดยหนึ่งในลูกของไวสส์ ‘โยฮันน์ อดอล์ฟ เฟาสตินุส’ (Johann Adolf Faustinus) คือคนเดียวที่เดินตามรอยผู้เป็นพ่อ โดยเป็นนักเล่นลูทในราชสำนัก การจากไปของไวสส์ ยังถือเป็นจุดอวสานของลูทด้วยเช่นกัน ซึ่งจะถูกแทนที่โดยกีตาร์ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18
หนึ่งในความยิ่งใหญ่ของไวสส์ คือการที่เขามีงานประพันธ์มากถึง 1,000 ชิ้น แต่ตัวไวสส์กลับเลือกเก็บผลงานเอาไว้เพียงคนเดียว เพราะอาจกลัวการลอกเลียนสไตล์การประพันธ์ ไวสส์ไม่เคยสนใจตีพิมพ์ผลงานเลยตลอดช่วงชีวิต มีงานเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่ถูกตีพิมพ์ในปี 1728 ขณะเขายังมีชีวิตอยู่
โดยกาลเวลาได้ฝังกลบงานของไวสส์เป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งในศตวรรษที่ 20 กินเวลาเกือบ 200 ปี กว่าจะมีคนล่วงรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของนักเล่นลูทผู้นี้ และนำไปสู่มหกรรมการทรานสคริปต์งานเพลงจำนวนมหาศาลของไวสส์
ไวสส์ ถูกขนานนามว่าเป็นที่สุดของทุกด้านเท่าที่นักเล่นลูทคนหนึ่งจะได้รับการสรรเสริญ ทั้งในด้านความมั่งคั่งและชั้นเชิงทางดนตรี ‘ดีที่สุด เก่งที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด’ งานประพันธ์ของไวสส์เต็มไปด้วยความซับซ้อนและสวยงาม ‘ฟรีเดอริเก โซฟี วิลเฮลมีน’ (Friederike Sophie Wilhelmine) นักประพันธ์และเจ้าหญิงแห่งปรัสเซีย น้องสาวของพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช (Frederick the Great) กล่าวว่า
“[ไวสส์] ความเก่งกาจในการเล่นลูทนั้นไม่สามารถหาใครเปรียบเทียบได้ และบรรดาผู้ที่โด่งดังในยุคหลังจากเขา ก็ทำได้เพียงเลียนแบบความยิ่งใหญ่ของเขาเท่านั้น”
Writer : Literary Boy
สนใจเรียนกีตาร์ : https://www.facebook.com/ptnoteguitar
โฆษณา