-ย้ำอีกทีว่า นิยามของ supergroup เป็นเหมือน side project การรวมตัวกันของศิลปินเดี่ยวที่ได้ปูเส้นทางตัวเองมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว รวมตัวเฉพาะกิจด้วยความถูกชะตาและมิตรภาพ ทำอะไรสนุกๆร่วมกัน แน่นอนว่าแฟนเพลงของแต่ละคนต่างคาดหวังการประสานพลังของสามสาวที่ต้องได้พลังงานที่มากกว่าของใครของมันอยู่แล้ว
-แต่การเปิดซิงด้วยอัลบั้มแรกในครานี้กลับทำสิ่งที่อาจจะสวนทางความคาดหวังของ fan base แต่ละคนด้วยการนำเสนอความเรียบง่ายบนพื้นฐานของการรวมตัวกันบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของกันและกันเนี่ยแหละ ซึ่งต่างจากสามพี่น้อง HAIM ที่พวกเขาต้องร่วมหัวจมท้ายจริงจังในการบรรลุเป้าประสงค์ในแต่ละ era อยู่แล้ว
-Without You Without Them แทร็คเปิดอัลบั้มที่พวกเธอพร้อมคายทุกอย่างให้ผู้ฟังได้รับรู้ ประสานเสียง acapella สุดน่ารัก สานต่อธรรมเนียมเพลง Ketchum, ID แทร็คสุดท้ายจาก Self-Titled EP เป็นการสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง ประหนึ่งมีเพื่อนมานั่งล้อมวงสังสรรค์ชวนร้องเพลงอย่างชื่นมื่น break the ice คลายความตึงเครียดเป็นการเริ่มต้น
3
Speak to me
Until your history's no mystery to me
Talk to me
Until the words run dry, we'll see eye to eye
Without You Without Them
-แค่ชื่ออัลบั้มง่ายๆเป็น the record คำนามทั่วๆไปเลย ไม่ต้องบัญญัติศัพท์เฉพาะเพื่อนิยามภาพรวมของอัลบั้ม แต่เรื่องราวในอัลบั้มแบ่งสัดส่วนทั้งเพลงแบบประสานพลังทรีโอ้เพื่อเล่าเรื่องเดียวกัน สลับกับการแตกแขนงเรื่องราวของใครของมัน ซึ่งอาจจะยากหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งติดตามพวกเธอ อาจทำให้ไม่เก็ตในจุดเชื่อมโยงของเพลงก่อนหน้านั้นเพื่อปะติดปะต่อสิ่งที่พวกเธอได้ระบายออกมาได้แหล่มชัด เพราะเรื่องราวและสไตล์ของแต่ละคนแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
-Not Strong Enough เพลงประสานพลังสามสาวก็มีมุมมองการด้อยค่าตัวเองที่บอกให้คนรักของพวกเธออย่าคาดหวังความวิเศษวิโสมากนัก ในขณะเดียวกันก็แอบประชดประชันสังคมชายเป็นใหญ่ด้วยวลี Always an angel, never a god ผู้หญิงมักถูกมองเป็นนางฟ้าซึ่งเป็นยศที่ต่ำกว่าพระเจ้าอยู่แล้ว ความเชื่อเรื่องพระเจ้าต้องเป็นผู้ชายเป็นความเชื่อที่ฝังลึกยากที่จะพลิกมุมมอง
-ในพาร์ทของ Lucy Dacus สาวอวบนุ่มนิ่มก็ถ่ายทอดความหนักแน่นมาเต็มเหมือนติดกลิ่นอายจากชุด Home Video ไม่จางในเพลง True Blue ที่แสดงความ royalty แบบแนบแน่น ราวกับตกผลึกนิยามความรักที่ดีต้องรู้หน้ารู้ใจได้ดีที่สุด
-สวนทางกับ We’re In Love ที่ช่างโหยหาและเหงาซะเหลือเกิน เป็นการเอื้อนเอ่ยภายใต้บัลลาดเปียโนที่งดงาม เคลิ้บเคลิ้มจนหยุดเวลา ทั้งๆที่ลูซี่เองใส่เจตนาแห่งความรักล้วนๆ แต่พอผมได้อ่านความเห็นทั้งฟีบี้และจูเลี่ยนที่รีวิวไว้ว่า เศร้าชิบหาย ซึ่งผมเห็นพ้องกับทั้งสองคนเลย ยิ่งส่อง lyrics ยิ่งอดระลึกถึงความเพ้อฝันที่ลมๆแล้งๆไม่ได้จริงๆ
-Lucy ก็ยังทดลองทำเพลงโฟล์คซองสั้นๆในเพลง Leonard Cohen เป็นการคารวะศิลปินโฟลค์ระดับตำนานในชื่อเดียวกันกับเพลงโดยหยิบ quote เพลง Anthem ที่กล่าวว่า “There’s a crack in everything, that’s how the light gets in” ถ้าไม่มีรอยรั่วใดๆเลย ก็คงไม่มีแสงส่องถึงด้านที่ดีได้ ทุกอย่างมีรอยตำหนิด่างพร้อยในตัว แต่นั่นก็ทำให้เป็นเอกลักษณ์ในบางอย่างเหมือนกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดสูญนิยมที่เธอต้องการจะสื่อในแง่ของการไม่ยึดติดความสมบูรณ์แบบนั่นเอง
-Revolution 0 ฟีบี้ยังคงพูดถึง depression ที่กดทับให้รู้สึกเหนื่อยในการหายใจไปวันๆ ซึ่งนั่นทำให้เธอคิดได้ว่า อาการป่วยเรื้อรังเป็นอะไรที่โคตรทรมานกว่าการตายแล้วจบเสียอีก หลับตาแล้ววูบไปเลยจะดีกว่ามั้ย? ซึ่งก็สานต่อประเด็นจุดจบของโลกในเพลง I Know The End ที่ต่อให้โดนทำลายล้างก็ไม่กลัวอีกแล้ว แต่ในเพลงนี้ เธอเลือกที่จะลืมตาเพื่ออยู่กับปัจจุบันต่อไป
-Letter To An Old Poet เพลงภาคต่อ Me & My Dog ที่ว่าด้วย toxic relationship ที่เกิดความสับสนในความสัมพันธ์ที่บางทีอยากจะยื้อต่อ บางทีก็อยากหลีกหนีไปพร้อมกับหอบน้องหมาของเธอไปอยู่ในที่แสนไกลอย่างสงบสุข ซึ่ง ณ ตอนนั้น Max น้องหมาดำของเธอไปอยู่ดาวหมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย
-ประโยควลีที่คล้องจอง ตัวโน้ตที่คุ้นเคย และ Outro ที่แซมเสียงบรรยากาศการแสดงสดเพลง Me & My Dog ที่ Brooklyn Steel เมื่อปี 2018 ป็นการฉายโมเมนต์ที่น่าจดจำลอยขึ้นมาในมโนสำนึกเพื่อพึงระลึกถึงความหลังที่จุดประกายความหวังที่ดีกว่าครั้งที่แล้วมาอย่างแน่นอน