24 เม.ย. 2023 เวลา 06:13 • หนังสือ

#19 HWG. — บทที่ 1️⃣2️⃣ (ส่วนที่ 1)

มีคนที่กล่าวว่า ‘การมองเห็นทำให้เกิดความเชื่อ’ แต่ฉันจะบอกกับเธอว่า “ความเชื่อต่างหากที่ทำให้เกิดการมองเห็น”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗜 𝗮𝗺 𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴.
มีคนที่กล่าวว่า ‘การมองเห็นทำให้เกิดความเชื่อ’ แต่ฉันจะบอกกับเธอว่า “ความเชื่อต่างหากที่ทำให้เกิดการมองเห็น”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟮
บทที่ 1️⃣2️⃣
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗼𝗸𝗮𝘆, 𝘄𝗲'𝘃𝗲 𝗸𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗰𝗶𝗿𝗰𝗹𝗲𝗱 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻. 𝗔𝗺 𝗜 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗰𝗮𝗺𝗲 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼? 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗱𝗼 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗰𝗮𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼, 𝗜 𝗮𝗺 𝗳𝗶𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝗮𝗱𝘆 𝘁𝗼 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲?
N : เอ่อ ตกลงว่าเราวนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง พระองค์บอกว่าผมมาที่นี่พร้อมกับสิ่งที่ต้องทำ ผมเข้าใจถูก ไหมครับ❓ และเมื่อผมทำสิ่งที่ต้องทำในการมาที่นี่สำเร็จแล้ว ผมก็พร้อมแล้วที่จะออกไปจากที่นี่งั้นหรือครับ❓
𝗚𝗼𝗱: "𝗜𝘁'𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : ไม่มีสิ่งใดที่เธอจำเป็นต้องทำ มันมีแต่สิ่งที่เธอเลือกจะมีประสบการณ์
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻𝗱 𝗚𝗼𝗱 𝗮𝗿𝗲 𝗢𝗻𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗱𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗙𝗿𝗲𝗲 𝗪𝗶𝗹𝗹. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝗱𝗲𝗺𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗶𝘁.
หากเธอและพระเจ้าคือหนึ่งเดียวกัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ทุกการตัดสินใจเลือกเกิดจากเจตจำนงเสรี การที่เธอสามารถเลือกอะไรก็ได้คือการพิสูจน์ถึงสิ่งนั้น★
1
★เรามีเจตจำนงเสรีในการที่จะเลือก (ทำหรือไม่ทำ, เป็นหรือไม่เป็น) อะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ –ผู้แปล–
"𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻 𝗮𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝗮𝘀 𝘄𝗲 𝗱𝗶𝘀𝗰𝘂𝘀𝘀𝗲𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿.
𝗜𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼—𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗮 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗰𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆—𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴, 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴.
เธอมามีร่างกายเพื่อที่จะมีประสบการณ์ถึงแง่มุมหนึ่งของตัวเองดังที่เราได้พูดคุยถึงเรื่องนั้นกันไปแล้วก่อนหน้านี้ มันเป็นไปได้ที่เธออาจได้รับประสบการณ์ถึงแง่มุมหนึ่งของตัวเธอผ่านบางสิ่งที่เธอทำ —นั่นก็คือ ผ่านกิจกรรมทางร่างกาย— หรือได้รับผ่านคุณลักษณะเฉพาะบางอย่างที่เธอเป็นอยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม
𝗡 : 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗮𝗺𝗽𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗶𝘁 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹.
N : ผมต้องการตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นครับ
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘀𝗶𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗹𝗼𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝗻𝗱 '𝗱𝘆𝗶𝗻𝗴' 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗶𝘁𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗾𝘂𝗶𝗲𝘁𝗹𝘆 𝗮𝘁 𝗮 𝗳𝘂𝗻𝗲𝗿𝗮𝗹. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝗲𝘅𝗰𝗲𝗽𝘁 𝘀𝗶𝘁𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗵𝗮𝗿𝗱𝗹𝘆 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴. 𝗕𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝘆𝗲𝘀?
G : ได้เลย เนื่องจากเรากำลังพูดคุยถึงสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” และ “การตาย” กันอยู่ ดังนั้น ฉันจะยกตัวอย่างด้วยการสมมุติว่า ตัวเธอที่กำลังนั่งอยู่เงียบๆในงานศพ ตัวเธอในขณะนั้นไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการนั่งอยู่เฉยๆ เธอแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวสักนิดเลยด้วยซ้ำ แต่เธอก็กำลังเป็นบางสิ่งอยู่ในขณะนั้น ใช่หรือไม่❓
"𝗠𝗮𝘆𝗯𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗮𝗱. 𝗢𝗿 𝗺𝗮𝘆𝗯𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻𝘄𝗮𝗿𝗱𝗹𝘆 𝗷𝗼𝘆𝗼𝘂𝘀. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿. 𝗠𝘂𝗰𝗵 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀—𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗮𝘀𝗲, 𝗼𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀—𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗮𝘀𝗲, 𝗼𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.'
เธออาจกำลังเศร้าอยู่ หรือเธออาจกำลังเบิกบานใจอยู่ก็ได้ เธอสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าเธอมีมุมมองต่อเรื่องนั้นอย่างไร ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ เธอมีมุมมองต่อเรื่องของ “ความตาย” อย่างไร
𝗡 : 𝗠𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻.
N : มุมมองของผมจะเป็นตัวสร้างการรับรู้
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝗻 𝘀𝗵𝗼𝗿𝘁, 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗮𝗱, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀.
𝗔𝗻𝗱 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻𝘄𝗮𝗿𝗱𝗹𝘆 𝗷𝗼𝘆𝗼𝘂𝘀 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗳𝘂𝗻𝗲𝗿𝗮𝗹, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗿𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻. 𝗔𝗻𝗱 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗶𝘀 𝗮 𝗰𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝗸𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗙𝗿𝗲𝗲 𝗪𝗶𝗹𝗹 𝗖𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗲𝗳𝗶𝗻𝗲𝘀 𝘄𝗵𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗯𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳.
G : ถูกต้อง และนี่คือวิธีที่เธอใช้สร้างสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ กล่าวโดยย่อ ถ้าเธอกำลังเศร้าอยู่ก็เป็นเพราะเธอมองเห็นความตายเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ถ้าเธอกำลังเบิกบานใจอยู่ในพิธีศพแทน นั่นก็เป็นเพราะเธอเห็นว่าความตายเป็นเรื่องน่ายินดี และการที่เธอมองเห็นสิ่งต่างๆเป็นอย่างไรนั้นก็อยู่ที่เธอเป็นคนเลือก นี่คือ “เจตจำนงเสรีในการเลือก” ที่จะกำหนดว่าเธอเป็นใครและใครที่เธอปรารถนาที่จะเป็น และเธอปรารถนาที่จะมีประสบการณ์ถึงตัวเองอย่างไร
"𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮𝗻𝘆 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗯𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝗶𝘁.' 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗱 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲."
เธอสามารถเปลี่ยนมุมมองของตัวเองได้ในทุกสถานการณ์โดยการเปลี่ยนความคิดของเธอว่าเธอต้องการให้สิ่งที่เธอกำลังมองเห็นอยู่นั้นเป็นอย่างไร เธอสามารถตัดสินใจได้ว่าเธอต้องการให้ตัวเองมองเห็นอะไร จากนั้นเธอก็ให้นิยามมัน หรือ ใส่ความหมายให้กับมัน แล้วเธอก็จะพบว่ามันได้กลายเป็นเช่นนั้น (ตามความหมายที่เธอให้)
𝗡 : 𝗡𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝗮 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁.
N : โอ้ นั่นคือคําอธิบายสินะครับ
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗲𝗺𝗽𝗼𝘄𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗼—𝘂𝗻𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝗱𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗼 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲?"
G : ใช่ นั่นเป็นคำอธิบายที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในสิ่งที่เป็นเช่นนั้น—เว้นแต่มันจะไม่เป็นอย่างนั้น และเธอรู้หรือเปล่าล่ะว่าใครเป็นคนตัดสินใจว่ามันจะเป็นแบบไหน❓
𝗡 : 𝗠𝗲.
N : ตัวผมเองครับ
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝘆𝗼𝘂. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲 𝘄𝗵𝗲𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗲𝗺𝗽𝗼𝘄𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗯𝘆 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗶𝗿𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲.
G : ใช่แล้ว ตัวเธอนั่นแหละ ถูกต้องอย่างที่สุด เธอเป็นคนตัดสินใจเองว่านั่นคือคำอธิบายที่ทรงพลังหรือไม่ด้วยการที่เธอมองเห็นมันเป็นอย่างไร และ ด้วยเหตุนั้น วัฏจักร (การวนเป็นวงกลม) จึงเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่เธอเห็นคือสิ่งที่เธอได้รับ และสิ่งที่เธอได้รับก็คือสิ่งที่เธอเห็น
"𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲?"
เธอเข้าใจ (มองเห็นแล้ว) หรือยัง❓★
★You see? – สามารถแปลได้ว่า เธอเข้าใจแล้วหรือยัง หรือ เธอมองเห็นแล้วหรือยัง ก็ได้ครับ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗖𝘂𝘁𝗲. 𝗩𝗲𝗿𝘆 𝗰𝘂𝘁𝗲.
N : ฉลาดมากครับ ต้องบอกว่าพระองค์เล่นคำได้ฉลาดมากๆ
𝗚 : "𝗕𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝘁 𝗼𝗿 𝗻𝗼𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗺𝘆 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗴𝗹𝗶𝗯."
G : เชื่อมั้ยล่ะว่า มันมีอะไรที่มากกว่าแค่การเล่นคำของฉันอยู่มากนัก
𝗡 : 𝗢𝗵, 𝗜 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗴𝗹𝗶𝗯𝗯𝗲𝗿𝗼𝘀𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗽𝗼𝗶𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗮 𝗵𝘂𝗴𝗲 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝗹𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵.
N : โอ้ ผมรู้ครับ การเล่นคำของพระองค์ชี้ให้เห็นถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ
𝗚 : "𝗜'𝗺 𝗴𝗹𝗮𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘂𝗽 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗶𝗻 𝗵𝗮𝗻𝗱𝘆 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿."
G : ฉันดีใจนะที่เธอชอบการเล่นคำของฉัน ซึ่งมันจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในภายหลัง
𝗡 : 𝗦𝗼, 𝗴𝗲𝘁𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗼 𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗮𝗺𝗽𝗹𝗲, 𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗶𝗻𝘄𝗮𝗿𝗱𝗹𝘆 𝗷𝗼𝘆𝗼𝘂𝘀 𝗮𝘀 𝗜 𝗻𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗼𝘄𝗻 𝗳𝘂𝗻𝗲𝗿𝗮𝗹 𝗶𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗱𝗶𝗲, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗜 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲.
𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗺𝗲, 𝗜 𝗮𝗺, 𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗹𝗲𝘃𝗲𝗹, 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗶𝗻𝗴--𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘆 𝗼𝘄𝗻 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗶𝘁.
N : โอเคครับ กลับมาที่ตัวอย่างของเรากันดีกว่า วิธีหนึ่งที่จะทำให้ผมจะเบิกบานใจได้เมื่องานศพของตัวผมเองกำลังใกล้เข้ามา นั่นคือ การมีความเข้าใจที่ว่า ผมตายเพราะตัวผมเป็นคนเลือกที่จะตายเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผม ตัวผมเองเป็นต้นเหตุในระดับหนึ่ง รวมถึงความตายและช่วงเวลาในการตายด้วย
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘆𝗲𝘀. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗮𝗰𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗞𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻𝗱 𝗚𝗼𝗱 𝗮𝗿𝗲 𝗢𝗻𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗱𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗷𝗼𝗶𝗻𝘁𝗹𝘆, 𝗰𝗮𝗻 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝗳𝘁 𝘀𝗲𝗿𝗲𝗻𝗶𝘁𝘆."
G : ถูกแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกำลังหมายถึง ความเข้าใจเช่นนั้นจะทำให้เธอเป็นสุขได้ในเวลาที่เธอเสียชีวิต การรู้ว่าตัวเธอและพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และรู้ว่าความตายของเธอเป็นการตัดสินใจร่วมกันของตัวเธอกับพระเจ้า สามารถนำเธอเข้าสู่สภาวะจิตอันสงบร่มเย็นผ่องใสในขณะที่กำลังจะตายได้
𝗡 : 𝗬𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗿𝗲𝗾𝘂𝗶𝗿𝗲𝘀 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻𝗶𝘁𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗸𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲. 𝗜𝗻 𝗼𝘂𝗿 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲, 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗱 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗼𝗳 𝗚𝗼𝗱, 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀, 𝗮𝘀 𝗙𝗶𝗿𝘀𝘁 𝗖𝗮𝘂𝘀𝗲. 𝗔𝗻𝗱 𝗚𝗼𝗱 𝗶𝘀 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗶𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗚𝗼𝗱 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲𝘀 𝘁𝗼 '𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗛𝗼𝗺𝗲.'
N : แต่แนวคิดเช่นนั้นเรียกร้องให้มนุษยชาติต้องเชื่อในจักรวาลที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ในจักรวาลของเรา คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้าจะคิดว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในเรื่องของการตาย ไม่ใช่ตัวของพวกเขาเอง★ พวกเขาเชื่อว่า ต้องเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอนที่เป็นสาเหตุของการตายของพวกเขา (ไม่ใช่ตัวของพวกเขาเอง) พวกเขาจะตายก็ต่อเมื่อพระเจ้าตัดสินใจที่จะ “เรียกพวกเขากลับบ้าน”
★ตรงนี้หมายถึง ตัวเราเองต่างหากที่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการตายของเราเอง เพราะเราเลือกแบบนั้น พระเจ้าจึงตอบรับหรือเห็นด้วยกับเราด้วยความยินดี เพราะนั่นคือ เจตจำนงเสรีในการเลือกของเรา ที่เราต้องการจะเลือกอะไรก็ได้ตามแต่ใจเราต้องการ รวมถึงการตายด้วย –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗶𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗧𝗛𝗘𝗬 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲 𝘁𝗼 𝗚𝗢 𝗛𝗼𝗺𝗲."
G : พวกเขาตายเมื่อ “พวกเขา” เป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะ “กลับบ้าน (หวนคืนสู่ฉัน)”
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝘀𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗜 𝗮𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗼𝘄𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗮𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲𝗹𝘆.
N : พระองค์กำลังขอให้ผมเชื่อในจักรวาลที่ผมเป็นต้นเหตุของประสบการณ์ของตัวเองอย่างสมบูรณ์
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗶𝘃𝗲."
G : นั่นคือความจริงของจักรวาลที่เธอกำลังอาศัยอยู่
𝗡 : 𝗜𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆.
N : ดูไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลยนะครับ
𝗚 : "𝗔𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆 𝘂𝗻𝘁𝗶𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲. 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗽𝗽𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗲."
G : มันจะไม่เห็นเป็นแบบนั้นจนกว่าเธอจะเปลี่ยนมุมมองของเธอเสียก่อน “#ไม่มีสิ่งใดที่ปรากฏที่จะไม่เป็นไปตามความเห็นของเธอ”★
★ตรงนี้คือ ทุกสิ่งที่ปรากฏจะเป็นไปตามความเห็นที่เรามีต่อสิ่งนั้น หรือเป็นไปตามมุมมองที่เรามีต่อสิ่งนั้นเสมอ เช่น เรากำลังเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หากเรามีมุมมองที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า นั่นคือสิ่งมีชีวิตทึบตันชนิดหนึ่งที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มีอวัยวะเพศที่เฉพาะเจาะจง สามารถให้กำเนิดสิ่งมีชนิดแบบเดียวกันขึ้นมาได้ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มักมีจิตใจที่แข็งกระด้าง ไม่ค่อยอ่อนโยนนุ่มนวลเท่าไหร่ ฯลฯ เป็นต้น ผู้ชายก็จะปรากฏเป็นไปตามความเห็นที่เรามี
แต่หากเรามีมุมมองที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของอนุภาคทางพลังงานขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ที่มีช่องว่างระหว่างอนุภาคต่างๆเหล่านั้นอยู่ถึง 99% รูปร่างภายนอกเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ และ ฯลฯ ผู้ชายจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ทึบตันอะไรเลยในมุมมองของเรา ผู้ชายจะกลายเป็นอะไรอีกแบบที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง อะไรแบบนั้นเป็นต้น
แต่หากเรามีมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ผู้ชาย เกิดจากจิตรับรู้ของเราเอง หากเราไม่รับรู้ ผู้ชายก็ไม่มี (เช่นตอนหลับเป็นต้น อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย สรรพสิ่งทั้งมวลก็ไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ เพราะตอนหลับเราไม่รับรู้อะไรเลย)
พอเรามีมุมมองแบบนี้ จักรวาลจะเหลือแค่ ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ทั้งสองสิ่งนี้ต่างต้องอิงอาศัยกัน เพราะหากไม่มีสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็ไม่อาจมีอยู่ได้ โอ้ จักรวาลทางกายภาพก็เป็นเพียงแค่มายาเท่านั้น มีอยู่เพราะถูกรับรู้ พอไม่รับรู้ มันก็ไม่มี มายาจึงไม่ได้หมายถึงความไม่มีอะไรเลย มันมีหรือไม่มีเพราะเงื่อนไขบางอย่าง มีและไม่มีจึงอยู่ที่เดียวกัน ดำรงอยู่พร้อมกัน เป็นสิ่งๆเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน อะไรแบบนั้นเป็นต้นครับ
ทั้งหมดนี้ผมแค่ยกตัวอย่างถึงเรื่องของมุมมองเฉยๆนะครับ มุมมองที่มีต่อโลกต่างกัน สิ่งที่มองเห็นก็เลยต่างกัน
ในทางกลับกัน ความเชื่อหรือความเข้าใจต่างๆที่ผมกล่าวมาจะเกิดขึ้นได้หรือยิ่งมั่นคงแนบแน่นขึ้นไปอีก ถ้าเราได้เห็นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เช่น เราเห็นจริงๆรึเปล่า ว่ามนุษย์หรือตัวเราเองประกอบไปด้วยช่องว่างอยู่ 99% ? แต่ถ้าเราทำสมาธิจนจิตตั้งมั่น แล้วเห็นร่างกายเราเป็นแบบนั้นจริงๆ รวมถึงเป็นมนุษย์คนอื่นเป็นแบบนั้นจริงๆ ทีนี้เราจะยิ่งเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเห็นแล้ว เห็นจริงๆ (ด้วยตาใน) พระองค์ถึงบอกว่า ผลลัพธ์จึงเกิดเป็นวัฏจักรหรือเป็นวงกลม เพราะทั้งสองสิ่งต่างเกื้อหนุนกันและกันนั่นเอง
ความเชื่อ – ทำให้เกิดการเห็น และ พอเห็นจริงๆเช่นนั้น ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อเข้าไปอีก หมุนวนเป็นวัฏจักรไป จนยิ่งลึกซึ้งกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในมุมมองของพระเจ้าที่เห็นจักรวาลได้ทั้งจักรวาลได้พร้อมกัน จึงต่างจากเราโดยที่ไม่อาจจินตนาการได้ แล้วหากเป็นมุมมองของพระผู้สร้างสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวนั้น ที่เห็นจักรวาลจำนวบนับไม่ถ้วนทั้งหมดได้พร้อมกันล่ะ? พุทธเราถึงมีคำสอนเรื่องอจินไตยนั่นเอง เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็น พวกเราคนธรรมดาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย 😅 อะไรแบบนั้นเป็นต้นครับ
–ผู้แปล–
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝘄𝗶𝘀𝗱𝗼𝗺 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂.
N : นั่น, เป็นคำพูดที่ทรงภูมิปัญญาสำหรับพวกเราทุกคน
𝗚 : "𝗠𝗼𝗿𝗲 𝘄𝗶𝘀𝗱𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗶𝗻𝗴. 𝗜 𝗮𝗺 𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴."
G : คำพูดนั้นทรงภูมิปัญญามากกว่าที่เธอรู้และเข้าใจเสียอีก มีคนที่กล่าวว่า ‘การมองเห็นทำให้เกิดความเชื่อ’ แต่ฉันจะบอกกับเธอว่า “ความเชื่อต่างหากที่ทำให้เกิดการมองเห็น”★
★seeing is believing คำนี้เป็นสำนวนในภาษาอังกฤษครับ หมายความว่า ต้องเห็นด้วยตาตนเองก่อนแล้วค่อยเชื่อ ประมาณว่า หากมีคนมาเล่าอะไรให้เราฟังสักอย่าง ถ้าเรายังไม่เห็นด้วยตาของเราเองจริงๆ เราก็อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อ อะไรทำนองนั้นครับ และการมองเห็นของเราทำให้เกิดความเห็นที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ
ส่วน believing is seeing ก็ความหมายประมาณว่า เราจะเห็นในสิ่งที่เราเชื่อ เรามีความเชื่อยังไง เราจะเห็นโลกและสิ่งต่างๆหรือมีความเห็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อครับ หรือสิ่งต่างๆในชีวิตเราจะเกิดขึ้นหรือเป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗜 𝗹𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗻𝗲𝘄 𝘁𝘄𝗶𝘀𝘁 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗹𝗱 𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿𝗶𝘀𝗺. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀, 𝘁𝗼𝗼, 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲.
N : ผมชอบจังเลยครับกับการเล่นคำกับคำพังเพยเก่าๆ และนี่ก็เหมือนกัน พระองค์เคยพูดถึงมันมาก่อนแล้ว
𝗚 : "𝗔𝗻𝗱 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗮𝘆 𝗶𝘁 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝘂𝗻𝘁𝗶𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝗶𝘁."
G : และฉันจะพูดถึงมันอีกครั้ง จนกว่าเธอจะเข้าใจ
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝘀𝗼 𝗻𝗼 𝗼𝗻𝗲 𝗱𝗶𝗲𝘀 '𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝗵𝗶𝘀 𝘁𝗶𝗺𝗲.' 𝗬𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗶𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘀𝗼 𝗜 𝗴𝘂𝗲𝘀𝘀 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗽𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗼𝗿 𝗿𝗲𝗷𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗜'𝗺 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗽𝘁 𝗶𝘁 𝗮𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲, 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝘀𝗼.
N : โอเคครับ สรุปก็คือ ไม่มีใครตาย “ก่อนถึงเวลาที่เขาควรจะตาย” พระองค์พูดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้นผมเดาว่าผมต้องยอมรับหรือไม่ก็ปฏิเสธแนวคิดเหล่านี้ทั้งหมดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แต่ผมจะยอมรับว่าทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริงครับ แม้ว่ามันจะยากสำหรับผมที่จะยอมรับมันก็ตาม
𝗚 : "𝗧𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲 𝘄𝗵𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗼 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁."
G : บอกฉันทีว่าทำไมมันถึงยากนักที่จะยอมรับนัก
𝗡 : 𝗜 𝗴𝘂𝗲𝘀𝘀 𝗜'𝘃𝗲 𝘀𝘁𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗰𝗹𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻...𝗹𝗼𝗼𝗸, 𝗜'𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗮𝗿𝗱 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝗶𝗱,
𝗯𝘂𝘁...𝗜 𝗴𝘂𝗲𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘀𝘁𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗹𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝘂𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻, 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝘀𝘁𝘂𝗳𝗳 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀.
𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝗴𝗲𝘁 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗯𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝗻𝗼 𝗼𝗻𝗲 𝗱𝗶𝗲𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗵𝗲 𝗼𝗿 𝘀𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲.
N : ผมเดาว่าเป็นเพราะผมยังยึดติดอยู่กับความคิดบางอย่าง...คือ ผมได้ยินสิ่งที่พระองค์เพิ่งพูดมาทั้งหมดนะครับ แต่...ผมคิดว่ายังมีส่วนนึงในตัวผมที่ยังยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราในแบบที่เราไม่ได้ต้องการให้เกิด สิ่งนั้น 'เกิดขึ้น' มาเองโดยที่เราไม่ได้เป็นคนสร้าง (เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเราเองเป็นสาเหตุ) แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ หรือโดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเลือก ดังนั้น จึงไม่มีใครตายเมื่อเขาหรือเธอไม่ได้เลือกที่จะตาย
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 '𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗶𝗻𝗴.' 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗰𝗵𝗼𝘀𝗲𝗻."
G : การ “ไม่ได้เลือก” นั้นไม่มีอยู่หรอก ทุกอย่างได้ถูกเลือกไว้ก่อนแล้วทั้งนั้น
★การไม่ได้เลือก ก็ถือเป็น การเลือกอย่างหนึ่งเช่นกัน –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀, 𝗼𝗸𝗮𝘆, 𝗜 𝘀𝗲𝗲. 𝗔𝗻𝗱 𝗜 𝗴𝘂𝗲𝘀𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗼𝗶𝗻𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝘁 𝗿𝘂𝗻𝘀 𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗵𝗮𝘀 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘁𝗼𝗹𝗱 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀.
𝗔𝗻𝗱 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗜 𝗮𝗺 𝘄𝗿𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀, 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝗻𝗴𝗮𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗳𝗶𝗰 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗹𝗼𝗻𝗴 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻.
N : ครับ โอเคครับ ผมเข้าใจ ผมคิดว่าพระองค์คงต้องพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมันขัดกับทุก สิ่งที่มนุษยชาติเคยถูกบอกหรือเคยได้รับการสั่งสอนมา และผมคงต้องบอกอะไรบางอย่างกับพระองค์ เพราะในขณะที่ผมกำลังเขียนข้อความนี้อยู่ ในขณะที่เรากำลังมีส่วนร่วมกับเรื่องที่เฉาะเจาะจงนี้ซึ่งผมคาดว่ามันจะเป็นการสนทนาที่ยาวมาก
𝗟𝗶𝗳𝗲 𝗜𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗶𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗺𝗲 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲. 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗯𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻, 𝗺𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝗺𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗱𝗮𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗶𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀—𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁.
“ตัวชีวิตเอง” พยายามทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าสิ่งที่พระองค์กำลังพูดถึงอยู่นั้นเป็นความจริง ไม่มีอะไรที่เกิดได้ขึ้นด้วยความบังเอิญ ผมหมายถึง ชีวิตของผมเอง ชีวิตประจำวันของผมเองที่กำลังพยายามทำให้ผมเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ —และมันก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่ในขณะนี้
𝗚 : "𝗧𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁."
G : ไหนลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย
𝗡 : 𝗖𝗮𝗻 𝗶𝘁 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝘆 𝗯𝗲 '𝗯𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲' 𝘁𝗵𝗮𝘁, 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝘄𝗲 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁 𝗲𝘅𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗮𝗯𝗼𝘃𝗲, 𝗜 𝘁𝗼𝗼𝗸 𝗮 𝘀𝗵𝗼𝗿𝘁 𝗯𝗿𝗲𝗮𝗸 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗺𝘆 𝘄𝗿𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱, 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗽𝗮𝗰𝗲, 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗼𝗽𝗲𝗻 𝗺𝘆 𝗺𝗮𝗶𝗹𝗯𝗼𝘅, 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝗮 𝗹𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗮 𝗿𝗲𝗮𝗱𝗲𝗿?
N : มันเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดความ “บังเอิญ” ในขณะที่เรากำลังมีการแลกเปลี่ยนกันข้างต้น ผมได้ หยุดพักจากการเขียนเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อเปลี่ยนจังหวะ เพราะผมรู้สึกว่าเรากำลังไปกันเร็วเหลือเกิน (ผมย่อยสิ่งที่พระองค์กำลังบอกไม่ทัน) ผมจึงตัดสินใจที่จะเปิดอีเมล เพียงเพื่อที่จะลองดูว่าจะมีจดหมายจากผู้อ่านส่งมาถึงผมบ้างไหมเนี่ยนะ❓
𝗧𝗵𝗲 𝗹𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘄𝗿𝗶𝘁𝗲𝗿. 𝗝𝗮𝗰𝗸𝗶𝗲 𝗣𝗲𝘁𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 (𝘄𝗵𝗼𝘀𝗲 𝗻𝗮𝗺𝗲 𝗜'𝘃𝗲 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗽𝗿𝗼𝘁𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻'𝘀 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆), 𝘄𝗿𝗼𝘁𝗲 𝘁𝗼 𝗺𝗲 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗵𝗲 𝗵𝗮𝗱 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗹𝗼𝘀𝘁 𝗵𝗲𝗿 𝗳𝗶𝗮𝗻𝗰e` 𝘁𝘄𝗼 𝗺𝗼𝗻𝘁𝗵𝘀 𝗮𝗴𝗼 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗮 𝗺𝗮𝘀𝘀𝗶𝘃𝗲 𝗵𝗲𝗮𝗿𝘁 𝗮𝘁𝘁𝗮𝗰𝗸.
𝗦𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝗲𝘃𝗮𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗱, 𝗲𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝗶𝗻𝗰𝗲 𝗵𝗲𝗿 𝗳𝗶𝗮𝗻𝗰e 𝗵𝗮𝗱 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗵𝗲𝗮𝗹𝘁𝗵𝘆; 𝗵𝗲 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗲𝗱 𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗵𝗲𝗰𝗸𝘂𝗽𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗻 𝗯𝗶𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗵𝗲𝗮𝗹𝘁𝗵.
แต่ผมก็เจอจดหมายที่ผู้เขียนชื่อ แจ็กกี้ ปีเตอร์สัน ส่งมาหาผม (ผมใช้นามแฝงเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคลนี้) ที่เขียนมาว่า เธอเพิ่งสูญเสียคู่หมั้นของเธอไปเมื่อสองเดือนก่อนจากอาการหัวใจวายขั้นรุนแรง เธอเสียใจมาก เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี เขาผ่านการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาหัวใจวายตายได้อย่างไร
𝗦𝗵𝗲 𝗺𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗚𝗼𝗱 𝗯𝗼𝗼𝗸𝘀, 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘀𝗵𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝗼𝘂𝗿 𝗲𝗮𝗿𝘁𝗵𝗹𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀. 𝗦𝗼 𝘀𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀 : 𝗵𝗮𝘀 𝘀𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗼𝘀𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗵𝗲𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳—𝗼𝗿 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗵𝗲𝗿 𝗳𝗼𝗿𝗺𝗲𝗿 𝗳𝗶𝗮𝗻𝗰e'𝘀 𝗺𝗼𝗱𝗲𝗹 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲?
เธอกล่าวถึงหนังสือสนทนากับพระเจ้า ตรงเนื้อหาที่เธอได้อ่านที่บอกว่า เราเป็นคนเลือกแผนการณ์ชีวิตบนโลกของเราเอง เธอจึงสงสัยว่า เธอเป็นคนเลือกสถานการณ์นี้สำหรับตัวเองงั้นหรือ —หรือสถานการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ชีวิตที่คู่หมั้นของเธอเป็นคนเลือกใช่หรือไม่❓
𝗚 : "𝗗𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗽𝗹𝘆 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗹𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿?"
G : แล้วเธอได้ตอบจดหมายนั้นหรือเปล่า❓
𝗡 : 𝗜 𝘀𝘂𝗿𝗲 𝗱𝗶𝗱. 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗜 𝗴𝗼𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗳𝗹𝗮𝗯𝗯𝗲𝗿𝗴𝗮𝘀𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗷𝘂𝘀𝘁 '𝘀𝗵𝗼𝘄 𝘂𝗽' 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝗜 𝗱𝗶𝗱 𝗺𝘆 𝗯𝗲𝘀𝘁 𝘁𝗼 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗜 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗺𝘆 𝗿𝗲𝗽𝗹𝘆 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄.
N : แน่นอนครับ หลังจากที่ผมรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งที่มัน “ปรากฏขึ้น” มาในเวลาเช่นนี้ ผมก็เลยพยายามตอบคำถามอย่างเต็มที่ ผมตอบตามการสนทนาที่เรากำลังมีอยู่ในตอนนี้
𝗚 : "𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝘀𝗲𝗲 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝗱. 𝗟𝗲𝘁'𝘀 𝘀𝗲𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗿𝗼𝘁𝗲."
G : เอาล่ะ มาดูกันว่าเธอตอบคำถามอย่างไร มาดูกันว่าเธอเขียนอะไรไปบ้าง
𝗡 : 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗺𝘆 𝗿𝗲𝗽𝗹𝘆.
N : นี่คือคําตอบของผม
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา