25 เม.ย. 2023 เวลา 00:31 • การศึกษา
ในคำว่า อวิชชา ..นั้นมันเป็นเหมือน สีดำที่ปกปิด ปิดกั้นจิต มิให้รู้จัก..จิตของตนเองเลย อวิชชา ..เหมือนมีมนต์ เป็นมนต์ของมายา คล้ายหมอกควัน ที่ห่อหุ้มจิตของเรา ให้หลงใหลยึดถือ นำพาจิตให้หลงใหล ..เรื่องราวต่างๆ ยึดถือในสิ่งที่มีชีวิต ..ไม่มีชีวิต ..ยึดหลงใหลมากมายเกินขอบเขต ..จิตนั้นก็เหมือนจมลงไปในปลักควาย
ในคำว่าอวิชชา..ที่เกิดขึ้น เบื้องหลังก็คือ กรรมที่ตนเองไปเอามา ไปยึดถือมา ไปสร้างกายวาจาใจด้วยอารมณ์ที่เป็นกรรมเกิดขึ้น โดยที่ไม่สนใจทีทบทวนตัวเอง ทบทวนการใช้อารมณ์ อ่านอารมณ์ความนึกคิดของตนเอง .ดีหรือไม่ดี อย่างไร มีเหตุผลไปเรื่องราวอะไร ..เป็นคุณให้แก่จิตของตนหรือไม่
แล้วสิ่งที่ใช้กาวาจาใจด้วยอารมณ์ที่เป็นกรรม ก็มีการบันทึก เก็บลงไปที่ธาตุสี่ว่าเป็นผู้ยึดติดในอารมณ์ที่สร้างกรรมอะไรต่างๆ สะสมเก็บที่ธาตุทั้งสี่ โดยที่จิตก็ไม่รู้ตัวว่า ..สะสมกรรมมา ..สิ่งนี้แหละ มีการบันทึกสะสมอยู่กับจิต ..ไปทุกชาติ สะสมแต่กรรมตลอด
..แล้วก็ปิดบังจิตไม่ให้สร้างบุญกุศล เห็นเรื่องบุญทานเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่เกิดคุณประโยชน์ต่อชีวิต ..ที่อาศัยกายมาแค่กินนอน สนุกสนานด้วยอารมณ์ที่ปรุงแต่ง ราคะ โทสะ โมหะ ..วนเวียนเป็นวงกลม ตั้งแต่เกิดจนตาย ..จะไปคืดหรือกระทำสร้างทาน บุญกุศล ด้วยจิตที่เข้าจิตใจของตนเองไม่ได้เลย จะเอากาย เอาปากมาพูดคำสูง .เช่น อะระหัง สัมมา หรือ จิตข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ก็ไม่สามารถ พูดด้วยลมปากของตนเองได้เลย
คนเรามักอ่านอารมณ์ของตัวเองไม่ออก มักเห็นตัวเองดีเสมอ ไม่มีใครดีเท่าเรา แม้คนที่เดินกระเซอะกระเซิง เค้าก็เห็นตัวเองดี ..อ่านจิตอ่านใจตัวเองไม่ได้ .แล้วการเกิดมาเป็นมนุษย์กายเป็นมนุษย์ ..แต่ภายในจิตมันเสียหาย การได้กายเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นโมฆะไปชาติหนึ่ง
เช่น ..เราคงเคย เห็นคนที่ห้อยเครื่องรางของขลังเต็มคอ เดินกระเซอะกระเซิง ผมเผ้ารุงรัง ..เดินไม่มองใคร ไม่สนใจอะไร ..เมื่อก่อน..เค้าก็เป็นคนปกติ ..แต่ทำไม ..จิตเค้าถึงไม่ปกติ…อะไรที่เกิดขึ้น ที่ควบคุมจิตของเค้าให้ ใช้กาย..ผิดปกติวิถีชีวิตปกติ
..แล้วก็คงไม่มีใครตอบ..ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำไมถึงเกิดความวิปริตผิดปกติเกิดขึ้นเช่นนั่น หากเรามองเค้าด้วยความเมตตา .ก็ได้แต่บอกว่า ขอให้พ้นเวรกรรม .เทอญ เราก็ทำได้แค่นั้น ..แล้วก็ได้แต่บอกตัวเอง ..ขอเราอย่าเป็นผู้มีกรรมเยี่ยงเค้าเลย ..เพราะชีวิต..เราไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับเรือนกายที่เราอาศัยบ้าง..เราไม่รู้ล่วงหน้าได้เลย แม้แต่ตรวจสอบสุขภาพเป็นประจำ มันก็ยังเกิดโรคภัยไข้เจ็บ รักษาหายก็มี ไม่หายก็มี ..ถึงคราวจะตาย มันก็ตายใครก็ห้ามไม่ได้..
แล้วในการที่เรามีชีวิต ..จิตของเราก็ล้วนมีอารมณ์โลภโกรธหลง มีอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ เกิดขึ้น เมื่อเราใช้กายนี้เคลื่อนไหว จิตเคลื่อนไหว ไปตามอารมณ์นึกคิด นึกคิดด้วยอารมณ์อะไรที่เกิดขึ้น ..นึกคิดแล้ว ..ใช้กายวาจาใจอย่างไรบ้าง อีกทั้งการใช้วิญญาณทั้งหกไปสัมผัสรับรู้เรื่ิองราวต่างๆ ..ในการสัมผัสรับรู้..ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อีกทั้งลมที่เข้าออกในเรือนกาย ..จะมีใครสักกี่คนที่ ..สามารถมองเห็นสิ่งที่สัมผัส ..มา ..มันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ..แล้วเกิดอะไรขึ้นมาบ้างกับกายที่อาศัย
..เค้าจึงได้เปรียบเทียบว่า กายเรานั้นเหมือนเรือ ภายในกายนี้ ก็มีกระแสของอารมณ์ปกคลุมจิตอยู่ ..โดยที่เราไม่รู้ตัว เค้าจึงบอกให้เราฝึกหัด นำกายนี้มายืนเดินนั่ง..(นอน ..ยังไม่สามารถทำได้) แล้วเราก็ฝึกตัวเอง..นำกายมานั่งนิ่ง นั่งพับเพียบ ด้วยกิริยาที่นอบน้อม ระลึกถึงจิตที่เราอาศัยอยู่เรือนกายของคุณบิดามารดา
หมายเหตุ เรือที่ต่อมาไม่ดี ไม้ไม่ดี ..ไม่สามารถจะนำมาเรือนั่นมาพายได้ ไม่สามารถนั่งพับเพียบด้วยกิริยาที่นอบน้อมได้ นอบน้อมต่อพระธรรม..ที่จะสอนจิต..เพราะเรือลำนี้ต้องต่อมาด้วยคำว่าบุญกุศลที่ดี กายที่ดี แข็งแรงครบอาการสามสิบสอง จึงสามารถกระทำได้ เรื่องราวของการสร้างทานบุญ ..ก็จะช่วยให้นำกาย หนุนกายมาปฏิบัติธรรม..พายเรือทวนน้ำ ..ไปหาท่าบุญกุศล ..เพื่อเดินทางไปหาท่าพระนิพพาน.. ต้องอาศัยคำว่า บุญกุศลบารมี ..พายเรือหนีเวรกรรม คัดเอ้าท์กรรมออกไปได้
แล้วจิตของเรา นำกายพ่อแม่..มาฝึกหัด สำรวจเรือนกาย นั่งให้ตรง ยืดตัวตรง หายใจให้ไปลึกถึงสะดือ แล้วเราก็พูดบอกตัวเอง บอกว่า กายนิ่ง..ให้หูเราได้ยิน เพื่อเตือนสติของจิต ที่ต้องอาศัยวิญญาณหู ..ส่งต่อไปให้จิต นั่งนิ่งอย่าขยับเขยื้อนไปไหน ..บังคับกายให้นิ่ง ..จิตภาวนา พุทโธ .. แม้เริ่มต้นด้วยการกราบ..ก็ต้องสำรวจตัวเอง เอาอะไรมากราบพระ กราบพระด้วยอารมณ์นึกคิด หรือ เอาจิตที่ไม่มีอารมณ์ ..มากราบพระ กราบพระแบบไหน ..ที่นอบน้อมกราบครบด้วยกายวาจาใจ ..
..กายนี้เหมือนลำเรือ จิตนั้นนั่งในลำเรือ สตินั่นก็คือพาย. ..เมื่อนั่งในเรือ..ก็เอาจิต..หยิบพายขึ้นมา ..พายเรือด้วยคำภาวนา พุทโธ ..ดูที่หัวเรือ คือ ลมหายใจที่เข้าออก มีกระแสน้ำกระแสคลื่น กระแสอารมณ์ น้ำขุ่น น้ำคลำ น้ำใส..พัดมาปะทะหัวเรือ..มีคลื่นเล็ก คลื่นใหญ่เกิดขึ้น นั่นคือ การพายเรือะทวนน้ำ ทวนกระแสอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย
.เมื่อจิตไม่มีกำลัง เรือมันหนัก ..พายทวนน้ำไม่ไหว ก็ปล่อยเรือตามน้ำ..ไม่สามารถจะพายทวนน้ำ ทวนกระแสอารมณ์ ความโลภโกรธหลงได้เลย .แล้วยังมีเรื่องที่ไปหยิบจับเรื่องราวต่างมายึดมาถือ เก็บใส่ลงในลำเรือ ก็คือเรือนกายที่อาศัย เรือมันก็เลยหนัก .เรือมันหนัก..พายไม่ไหว ก็ปล่อยพาย..ปล่อยเรือไปตามน้ำ ไปปะทะโขดหิน เกยตื้นหรือ ออกสู่ท้องทะเล..เรือไปถูกคลื่นลมหนัก ๆ เรือก็แตก..จิตหล่นจมท้องทะเล แล้วเราก็เปรียบเทียบเรื่องที่เขียนไว้ตอนแรก คนที่เดินกระเซอะกระเซิง..ผมเผ้ารุงรัง. นั่นก็เหมือนผู้ที่ปล่อยเรือตามน้ำ..
กายนี้เหมือนลำเรือ .จิตนั่งอยู่ในลำเรือ ..นำเรือมาพาย ..พายเรือทวนน้ำไปหาท่าบุญกุศลบารมี ด้วยการใช้กิริยาที่นอบน้อม ..เอากายพ่อแม่มาอยู่ในกิริยาที่นอบน้อม กิริยาที่ดีที่งามของกายมาปฏิบัติธรรมต้องมีการสำรวจทั้งกาย ทั้งสติ ทั้งอารมณ์นึกคิดที่ไหลเข้ามาเหมือนผจญคลื่นลม ที่ต้องการพายเรือทวนน้ำ …ทวนกระแสอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนกายนี้ตลอดเวลา ..
โฆษณา