26 เม.ย. 2023 เวลา 14:02 • การเมือง
ของผมมันต้องยูโธเปียหน่อย ๆ แน่นอน ผู้คนต้องอยู่ดีกินดี พวกเขาต้องมีอาชีพที่หลากหลาย(หรือก็คือมาการแบ่งงานกันทำจำนวนมาก และต้องไม่กระจุกอยู่ที่ภาคการผลิตส่วนใดส่วนหนึ่ง มันต้องมากทั้งแนวราบ(ชนิด)และแนวดิ่ง(อืมม์ เขาเรียกว่าอะไรนะ "ห่วงโซ่อุปทานๆ" นั่นละมั้ง!) เพราะนั่นสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของสินค้าและบริการของประเทศโดยรวม
.
แต่ไม่ใช่แค่ในแง่นวัตกรรม เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ (หรือเพียงแค่การทำงาน) พวกเขา ประชาชนแห่งประเทศที่เจริญแล้วแห่งนั้น จะต้องมี "เวลาว้าง" สำหรับศิลปะ ปรัชญา และวรรณกรรมอีกด้วย! ผมจะไม่นับเพียงแค่ ผลิตภัณฑ์มวลรวม และเครื่องมืออะไรต่อมิอะไรในวิชาเศรษฐศาสตร์หรอก (แม้พวกมันจำเป็นก็ตาม) ในการวัดความเจริญในประเทศของผม แต่ผมจะนับ พิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ สำนักพิมพ์ และหนังสือ(แบบเป็นเล่ม)และอะไรเทือกนี้เข้าไปด้วย (แต่จัดอีกหมวดหนึ่งต่างหาก) แน่นอนต้องนับจำนวนผู้ที่ใช้งานมันด้วย
.
1
จำนวนความหนาแน่นของประชากรยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องวัด ต้องมีสัดส่วนที่พอเหมาะแก่ทั้งเขตชนบทและเขตเมือง แนวคิดโบราณ ๆ อย่างการให้ชาวเมืองและชาวชนบทต้องมีการพบปะสังสรรค์กัน และเปลี่ยนที่อยู่กันในรอบปีนั้นยังจำเป็นต้องนำมาใช้ เพื่อลดความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนเมืองและคนชนบทไม่ให้มีมากจนเกินไป แต่คงไม่ถึงขั้นให้มีการบังคับเหมือนอริสโตเติลและโธมัส มอร์ ขอแค่ชนบทปลอดภัยพอที่คนเมืองอยากมาเที่ยวบ้านนอก และคนบ้านนอกมีเงินพอที่จะเข้าไปเที่ยวในเมืองซักครั้งในรอบปี แบบนี้ก็ลงล็อคแล้ว
.
1
ปัญหาสังคมต่าง ๆ ต้องถูกจัดการให้ได้อย่างเด็ดขาด หากเป็นไปได้มันต้องเท่ากับศูนย์ โอ้! แหงล่ะ ในเมื่อมันคืออุดมคติ มันต้องเท่ากับศูนย์ "ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีหัวขโมย" จะต้องมีวันเป็นจริง มันจะถูกจัดการด้วยเทคโนโลยี(ไม้แข็ง) และการหล่อหลอมกล่อมเกลาทางสังคม(ไม้อ่อน)
.
จิตใจของพวกเขาจะต้องไม่แข็งกระด้างแบบคนพาล หรืออ่อนโยนเหมือนผู้ดีที่ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนไข่ในหิน พวกเขาจะชอบกลิ่นอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นทั้งหลายอันมีอยู่ในธรรมชาติ พอ ๆ กับกลิ่นน้ำหอม และกลิ่นของเครื่องปรับอากาศ และในใจพวกเขาจะต้องตระหนักรู้สามอย่างนี้เป็นอย่างดี "ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่น ทั้งประโยชน์ตนทั้งประโยชน์คนอื่น" และสามารถตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่เกื้อกูลทั้งตนและคนอื่นได้พอ ๆ กัน
.
ผมเห็นด้วยกับพวกคอมมิวนิสต์ที่ "กรรมสิทธิ์ในที่ดิน" จะต้องเป็นของรัฐ เพราะยังไง ๆ มันก็เป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว แต่ "สิทธิ์ในการใช้ประโยชน์" ต้องเป็นของเอกชน และสิทธิ์นี้จะต้องไม่มีประเภทที่ต่างกันเหมือนอย่างที่ประเทศของเราเป็นอยู่ในตอนนี้ สาธารณะจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเอกชนให้น้อยที่สุด
.
ประเทศที่เจริญแล้วของผม ผู้คนจะไม่ใส่ใจการสะสมให้มากนัก (ก็เหมือนพวกเพ้อฟันทั้งหลายนั่นแหละ) พวกเขาจะสนใจการผลิต และการใช้สอยมากกว่าการเก็บไว้ จะไม่มีเอกชนคนไหนเดือดร้อนในเรื่องอนาคตของลูกหลานกันมากนัก เพราะสาธารณะจะเป็นผู้รับประกันอนาคตที่ดีของลูกหลานของพวกเขาไว้แล้วแบบไม่ต้องมีอะไรกังวล ประเทศที่เจริญแล้วของผมอาจจะเป็นประเทศแรก ๆ ในโลก ที่ถาระหน้าที่ของครอบครัวจะได้ลดลงบ้าง ครอบครัวจะไม่เป็นหน่วยในการผลิตแบบในสังคมดั้งเดิม
จะต้องไม่เป็นจุดเริ่มต้นในการรวบรวมพลังอำนาจและความได้เปรียบเหมือนในสังคมสมบูรณาญาสิทธิราช แต่มันจะเป็นหน่วยทางสังคมที่ก่อตั้งขึ้นด้วยพื้นฐานของความผูกพันของผู้คนอย่างแท้จริง
.
หัวใจสำคัญของประเทศที่เจริญแล้วของผมก็คือสาธารณะ รัฐอาจเป็นหน่วยที่มีบทบาทในการแสดงออกซึ่งอำนาจ สังคมคือกายของมัน แต่ใจของมันคือสาธารณะ! และสาธารณะต้องหมายถึงคนทุกคนในสังคม โอ้ย! ผมอยากจบเท่ ๆ แบบคำประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์ของ มาร์กซ์ซะจริง ๆ มันเร้าใจน่ะ แต่เอาคำไหนดี... เอาแบบนี้สิ
.
"ประชาชนทั้งหลาย จงก่อตั้งอำนาจสาธารณะของเราขึ้นมา"
.
1
(555 มันก็สนุกดี!)
1
โฆษณา