2 พ.ค. 2023 เวลา 00:30 • ข่าวรอบโลก

คดีศึกษา : จากกาแฟไซยาไนด์ ถึงสะเต๊ะอาบยาพิษ

📌บทความนี้ มีเจตนาที่จะเผยแพร่คดีตัวอย่างเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีสติและรู้จักระแวดระวัง มิได้มีเจตนาที่จะยั่วยุให้เกิดการกระทำตาม แต่อย่างใด
คดีฆาตกรรมกาแฟไซยาไนด์ : เจสสิก้า คูมาลา หว่องโซ (jessica wong so) สัญชาติออสเตรเลีย ถูกศาลแขวงกลาง กรุงจาการ์ตา ตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ฐานฆาตกรรม วายัน มีร์นา ซาลิฮิน (Wayan Mirna Salihin) โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
นางซาลิฮิน วัย 27 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 หลังจากดื่มกาแฟเย็นของเวียดนามที่ร้านอาหารโอลิเวีย ในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงจาการ์ตา
ในคำฟ้องของอัยการระบุว่า หว่องโซและซาลิฮิน เป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนเรียนหนังสือด้วยกันที่ Billy Blue College of Design ในซิดนีย์ โดยหว่องโซได้นัดพบกับซาลิฮินและฮานิ ที่ร้านกาแฟ หว่องโซได้มาถึงก่อนเวลา เธอสั่งเครื่องดื่มและก่อนที่เพื่อน ๆ จะมาถึงเธอใส่ไซยาไนด์ ปริมาณหนึ่งลงในกาแฟเย็นเวียดนามของซาลิฮิน อัยการระบุว่าเธอวางถุงกระดาษ 3 ใบไว้บนโต๊ะที่เธอนั่งอยู่เพื่อปกปิดสิ่งที่เธอทำจากกล้องวงจรปิด หลังจากซาลิฮินดื่มกาแฟแล้วก็ล้มลงสิ้นใจก่อนจะถึงโรงพยาบาล
ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าหว่องโซมีท่าทางค่อนข้างแปลก ปฏิกิริยาของเธอขณะที่ซาลิฮินเกิดอาการหลังดื่มกาแฟ หว่องโซไม่ได้ตื่นตระหนก ต่างจากฮานิซึ่งตื่นตระหนกมาก และเมื่อฮานิขอความช่วยเหลือให้เธอไปนำน้ำดื่มมาให้ซาลิฮิน ท่าทีเมื่อเธอเดินไปสั่งน้ำเป็นไปอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ
อัยการระบุว่า หว่องโซ มีอารมณ์ไม่มั่นคง ได้วางยาพิษเพื่อนของเธอเพื่อล้างแค้นให้กับความเจ็บปวดของเธอที่ ซาลิฮิน วิจารณ์อดีตแฟนชาวออสเตรเลียของหว่องโซ นอกจากนี้ยังมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า หว่องโซอิจฉาเพื่อนที่สวยกว่าและเพิ่งแต่งงาน
หลักฐานที่เอาผิดหว่องโซ นั้น มีเงื่อนงำและยังขาดความสมเหตุสมผลในหลายประเด็น จึงเป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่อัยการก็ยังลังเลที่จะดำเนินการพิจารณาคดีของเธอและเคยขอให้ตำรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมถึง 4 ครั้ง
1
ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลตำรวจแห่งชาติให้การว่าลำไส้ของซาลิฮินสึกกร่อนและปากของเธอดำคล้ำซึ่งสอดคล้องกับพิษของไซยาไนด์ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าไซยาไนด์เป็นสาเหตุการตายของซาลิฮิน เนื่องจากไม่มีการชันสูตรพลิกศพ มีเพียงรายงานทางพิษวิทยาที่ดำเนินการ 70 นาทีหลังจากการตาย พบว่าไม่มีไซยาไนด์ในน้ำย่อย น้ำดี ตับและปัสสาวะ แต่พบไซยาไนด์เพียงเล็กน้อยในกระเพาะอาหารของเธอในอีกไม่กี่วันต่อมา
นักอายุรเวชชาวออสเตรเลียแสดงความคิดเห็นกรณีนี้ว่า ปริมาณไซยาไนด์ในกระเพาะอาหารที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตต้องมีระดับสูงกว่าผลพิสูจน์นี้ ซึ่งอาจมีไซยาไนด์ในไส้และตับด้วย รวมทั้งอาจมีอาการแสดงออกที่ผิวหนังให้มีผื่นแดงอีกด้วย
นูร์ซาร์มาน (Nursamran) นักพิษวิทยาให้การในชั้นศาลว่า พิษของไซยาไนด์หากผสมกับของร้อนระดับพิษจะถูกปล่อยออกสู่อากาศเป็นผลให้ผู้ที่นั่งใกล้ก็จะได้รับการสูดดมสารพิษที่ระเหยนี้ ในทางกลับกันหากนำไปผสมกับน้ำเย็นหรือน้ำแข็งระดับพิษของไซยาไนด์จะไม่ลดลงดังนั้นกาแฟเย็นเวียดนามในที่เกิดเหตุจึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัว และสาเหตุที่ไม่ชันสูตรศพซาลิฮิน เพราะไม่มีการร้องขอให้มีการผ่าชันสูตรพลิกศพเหยื่อรายนี้
นายแพทย์ประจำโรงพยาบาล Abdi Waluyo Menteng ที่ซาลิฮินถูกส่งตัวมาครั้งแรก ให้การว่าเธอเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล และแพทย์พบรอยสีฟ้าบนริมฝีปากของซาลิฮินจึงเสนอให้ทำการ CT scan เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเหตุที่ริมฝีปากมีสีฟ้าอาจเกิดจากเส้นเลือดในสมองแตกหรือไม่ ผล CT scan ปรากฏว่าสมองของซาลิฮินปกติ
เนื่องจากไม่มีหลักฐานชี้ชัดถึงความผิดของหว่องโซ การพิจารณาคดีจึงประกอบด้วยพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพจิตของหว่องโซและการตรวจชันสูตรศพของซาลิฮิน อัยการต้องเรียกนักจิตวิทยาหลายคนมาเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับสภาพจิตใจของหว่องโซ ว่าผิดปกติหรือไม่
เธอไม่เคยยอมรับผิดว่าได้ฆ่าเพื่อนของเธอเอง และยืนยันจนถึงที่สุดว่าเธอบริสุทธิ์
Jessica Kumala Wongso
ฉันสาบานว่าฉันไม่ใช่ฆาตกร...Mirna รู้ว่าฉันไม่เคยวางยาเธอ...มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจสสิก้า ห่วองโซ กล่าว
ระหว่างการพิจารณาคดีนายออตโต้ ฮาสิบวน (Otto Hasibuan) ทนายความของหว่องโซ ได้พยายามโต้แย้งว่า คดีนี้ไม่มีแรงจูงใจในการฆาตกรรม ไม่สมเหตุสมผลเลยที่หว่องโซจะเดินทางจากซิดนีย์ไปจาการ์ตาเพื่อฆ่าเพื่อนของเธอเพียงเพราะซาลิฮิน แนะนำให้เธอเลิกกับแฟนเก่าของเธอ
การที่อัยการกล่าวหาว่าหว่องโซ เป็นผู้ใส่ไซยาไนด์ในกาแฟของซาลิฮิน โดยอ้างภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงให้เห็นว่าหว่องโซมี "การเคลื่อนไหวอย่างน่าสงสัย" เมื่อเธอเปิดกระเป๋าถือหรือทำบางอย่างบนโต๊ะที่มีถุงช้อปปิ้งบังไว้ และภาพวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าหว่องโซไม่ได้พยายามจะช่วยซาลิฮินที่ดื่มกาแฟแล้วทรุดลงไป
ทนายของหว่องโซโต้แย้งว่า การเคลื่อนไหวที่ "น่าสงสัย" นั้น เป็นการที่หว่องโซกำลังส่งข้อความทางโทรศัพท์ของเธอ ซึ่งขณะนั้นมือของเธอถูกบังด้วยกระเป๋า ไม่ใช่การดึงไซยาไนด์ออกมาแล้วคนให้เข้ากันในเครื่องดื่มของซาลิฮินตามที่อัยการกล่าวหา
รัฐบาลอินโดนีเซียขอให้ตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียช่วยสอบสวนกรณี หว่องโซถูกกล่าวหาในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งรายงานการสอบสวนของตำรวจในออสเตรเลีย ที่นำแถลงต่อศาลเกี่ยวกับพฤติกรรมของหว่องโซ พบว่าเธอเคยขู่จะทำร้ายตัวเอง มีการแสดงอารมณ์รุนแรง และมีลักษณะเป็นบุคคลสองบุคลิกที่แตกต่างกัน
ถ้าฉันอยากจะฆ่าใครสักคนฉันรู้วิธีแน่นอน ฉันจะหาปืนพกได้ และฉันรู้ขนาดยาที่เหมาะสม
นางคริสตี้ คาร์เตอร์ (อดีตหัวหน้างาน) ให้การว่าเป็นคำพูดของ หว่องโซ
คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ในอินโดนีเซียที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ถึงอย่างกว้างขวาง ในการพิจารณาคดีมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติถึง 2 แห่ง ซึ่งความตายคือบทลงโทษสูงสุดสำหรับการฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในอินโดนีเซีย แต่เนื่องจากหว่องโซถือสัญชาติออสเตรเลีย ข้อตกลงระหว่างประเทศจึงมีส่วนในการพิจารณาตัดสินลงโทษ
ผู้พิพากษาพิจารณาแรงจูงใจของหว่องโซคือ ความหึงหวงและการแก้แค้น หว่องโซอิจฉาชีวิตแต่งงานที่มีความสุขของซาลิฮิน (หว่องโซก็ไม่ได้รับเชิญไปงานแต่งงานนั้น) และต้องการแก้แค้นหลังจากที่ซาลิฮินบอกให้เธอเลิกกับแฟนชาวออสเตรเลีย
หว่องโซ ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาว่าเธอได้ฆาตกรรมซาลิฮิน เธอต่อสู้ในกระบวนการศาลยุติธรรม จนถึงที่สุด ศาลฎีกาพิจารณาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เอกสารหลักฐานใหม่ที่หว่องโซนำเสนอในชั้นศาลฎีกาไม่เพียงพอเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน ต่อมาในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 ศาลฎีกายืนคำพิพากษาเดิมตัดสินคดีฆาตกรรมและลงโทษจำคุกหว่องโซ 20 ปี
http://irfanakbar67.blogspot.com/2014/10/kalium-sianida-racun-mematikan.html
⚖️ อีกคดีที่น่าสนใจเมื่อเกิดเหตุเสียชีวิตของ Naba Faiz Prasetya อายุ 10 ปี หลังจากกินสะเต๊ะ เหตุเกิดในเมืองยอร์ค จาการ์ตา อินโดนีเซีย
คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 Bandiman พนักงานส่งอาหารได้รับใบสั่งแบบออฟไลน์ (ไม่ผ่านแอปพลิเคชัน) จาก Nani Aprialliani Nurjaman ให้นำอาหาร (สะเต๊ะ) ไปส่งให้กับคนที่ชื่อ Tomi แต่เมื่อไปถึงสถานที่ระบุ ภรรยาของ Tomi ไม่ต้องการรับอาหารที่ส่งมาเพราะเธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมาให้ และเมื่อได้ถาม Tomi เขาก็ยืนยันว่าไม่รู้จักผู้ที่ส่งมา ภรรยาของ Tomi จึงแนะนำให้ Bandiman นำสะเต๊ะกลับไปให้ครอบครัวกิน
หลังจากพนักงานส่งอาหารนำสะเต๊ะกลับไปให้ภรรยาและลูกชายของเขากิน ลูกของเขาก็ล้มลงทันทีหลังรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย ส่วนภรรยาของเขาอาเจียนออกมา ทุกคนถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่เป็นที่น่าเสียใจเด็กชาย Naba Faiz Prasetya ได้เสียชีวิตลง หลังจากการตายของเด็กครอบครัวปฏิเสธที่จะอนุญาตให้มีการผ่าชันสูตรศพ
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าสะเต๊ะมีสารพิษ "ไซยาไนด์" ในวันที่ 30 เมษายน 2564 ตำรวจได้จับกุม Nani ผู้กระทำความผิดที่ส่งสะเต๊ะมรณะ เธออายุ 25 ปีให้การรับสารภาพว่า เธอซื้อไซยาไนด์น้ำหนัก 250 กรัมจากแอปพลิเคชัน ซื้อขายออนไลน์ และนำไปโรยลงในเครื่องปรุงรสสะเต๊ะ โดยเธอให้การรับสารภาพว่าต้องการวางยานาย Tomi ซึ่งเป็นคนรักของเธอ แต่กลับไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น เธอเข้าใจว่าพิษของไซยาไนด์จะทำให้ Tomi ท้องเสียเท่านั้น
ศาลแขวงบันตุลอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า Nani ตั้งใจและไตร่ตรองล่วงหน้าที่จะสังหารนาย Tomi แม้ว่าจะผิดเป้าหมายแต่ก็ยังสังหารเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในที่สุด จึงตัดสินจำคุก 16 ปี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบว่าในปี 2563 Nani เคยสั่งโพแทสเซียมไซยาไนด์ 10 กรัม 1 ห่อ แต่ความตั้งใจที่จะลงมือก่อเหตุล้มเลิกไปเมื่อ Tomi ไม่สามารถติดต่อได้
Bandiman ผู้ซึ่งสูญเสียลูกไปเนื่องจากยาพิษที่ส่งผิด เห็นว่าคำตัดสินของศาลนั้นเบาเกินไป แต่เขาก็เคารพคำตัดสินของผู้พิพากษา ในขณะที่ Nani ขออุทธรณ์คำตัดสินเพื่อขอลดหย่อนโทษ
ข้อสังเกต : โพแทสเซียมไซยาไนด์ มีการซื้อขายกันทั่วไป โดยระบบการควบคุมของกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ และโพแทสเซียมไซยาไนด์ มีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์ จึงสังเกตได้ยากแม้จะถูกผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสชาติอ่อน และจากคดีซาลิฮิน ยังมีประเด็นเรื่องปริมาณของไซยาไนด์ ซึ่งหากนำไปใช้กับบุคคลที่มีโรคประจำตัวบางโรค ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ต้องได้รับปริมาณสารไซยาไนด์มากน้อยเท่าไหร่จึงมีผลทำร้ายต่อร่างกาย เมื่อญาติไม่ยินยอมให้ผ่าพิสูจน์ศพ ประเด็นนี้จึงยังคลุมเครืออยู่
โฆษณา