30 เม.ย. 2023 เวลา 03:54 • ไลฟ์สไตล์

ชวนส่องแบรนด์รถที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปยุโรป (European Car Brands) 🏎️

เพื่อน ๆ ทราบกันไหมว่า ?
📌🇩🇪 แบรนด์รถซุปเปอร์คาร์ที่มาจากคนละประเทศอย่าง "Bentley" "Porsche" "Lamborghini" และ "Bugatti" มีเจ้าของเดียวกัน คือ "Volkswagen Group"
🤔🇮🇹 ทำไมรถอิตาลี ถึงนิยมก่อตั้งกันที่แคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) ?
😮🇬🇧 เกือบครึ่งของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอังกฤษ...แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นของชาวอังกฤษแล้ว
🤩🇸🇪 ถ้าพูดถึงรถยนต์ของสวีเดน ก็จะต้องนึกถึงแบรนด์รถสไตล์ครอบครัวอย่าง "Volvo”
แต่ทราบไหมว่า.. แบรนด์ซุปเปอร์คาร์สุดซิ่ง ""Koenigsegg"" ก็มาจากสวีเดนเหมือนกันนะ ! 🏎️ 🥰
🇫🇷 ทราบไหมว่า.. จริง ๆ แล้ว ฝรั่งเศสก็มีแบรนด์ไฮเปอร์คาร์กับเค้าด้วยเหมือนกันนะ ! 🏎️
งั้นวันนี้พวกเรา BrandStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปส่องกันว่า แบรนด์รถใดบ้าง ที่มีต้นกำเนิดจากทวีปยุโรป พร้อมสาระเบาสมองให้อ่านกันเพลิน ๆ แบบเช่นเคย !
"เยอรมนี" เจ้าแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป 🇩🇪🚗
เพื่อน ๆ ทราบไหมว่า กว่าที่เยอรมนีจะมีฉายาว่าเจ้าแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ ประเทศนี้เคยเป็นผู้แพ้สงครามโลกมาก่อน
ต้องถูกจำกัดการใช้อาวุธ การพัฒนาเทคโนโลยี และยังต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามอีก
จนไปถึงการเกิดภาวะขึ้นเฟ้อขั้นรุนแรง โอโห…ไปจนถึงช่วงยุค The Great Depression กันเลยทีเดียว 😵😫
อย่างไรก็ดี การพัฒนาของอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมันเนี่ย เค้าก็มีความโดดเด่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะ เยอรมนีเป็นประเทศที่…
- สร้างรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปและใช้น้ำมันเบนซินขับเคลื่อนคันแรกของโลก โดยคุณ “Karl Benz” (อันนี้ไม่ต้องบอกแบรนด์เลยนะคร้าบ 😁)
- เป็นประเทศแรกที่คิดค้นรถยนต์ขับเคลื่อนโดย 3 ล้อ และ 4 ล้อ
ก่อนที่ต่อมา พรรคนาซีจะถือกำเนิดขึ้นและโลกก็ได้เผชิญกับสงครามโลกในเวลาต่อมา
อย่างนึงเลยที่เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าการขึ้นมาของผู้นำพรรคนาซีอย่าง “ฮิตเลอร์” ถึงแม้จะสร้างความเสียหายทั้งเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของเยอรมนีจากสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่เค้าคือตัวเร่งสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถของเยอรมนี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการหาเสียงกับกลุ่มชนชั้นแรงงานให้กับพรรคนาซีก็ตามที..)
ที่เห็นได้ชัดเลยคือ การก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ที่มีความหมายว่า “รถยนต์ของประชาชน” หรือ “Volkswagen” ซึ่งใครจะไปคาดคิดได้ว่า แบรนด์นี้จะกลายเป็นหนึ่งในค่ายรถที่ยิ่งใหญ่ของโลก
(ที่เราเสิร์ชมา เค้าใช้คำว่า “Volkswagen is the world's largest car manufacturers” เลยทีเดียวนะ 🤩 )
จุดสำคัญของการกำเนิดรถยนต์ Volkswagen สั้น ๆ ก็คือ ฮิตเลอร์ได้ว่าจ้าง Ferdinand Porsche แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านเครื่องยนต์ของ Porsche ให้มาเป็นผู้ออกแบบรถยนต์ Volkswagen Type 1 ในปี ค.ศ. 1933
แต่ทั้งนี้ เราไม่ได้จะบอกว่า ฮิตเลอร์เป็นบุคคลสำคัญของวงการรถยนต์เยอรมันนะ….
เพราะว่า นโยบายที่ว่าด้วยรถของประชาชน หรือ อะไรก็ตามของฮิตเลอร์..มันก็ไม่ได้สำเร็จในยุคของเค้าหรอก
นั่นเพราะว่าแรงกายและแรงปัญญาทั้งหมดของชาวเยอรมันที่กล่าวมา กลับต้องมานั่งผลิตยนตกรรมสงครามแทนนะสิ.. 🤨😨
- BMW ต้องหันมาเปลี่ยนไลน์การผลิต เครื่องบินรบ
- Porsche ต้องหันมาทุ่มเทให้กับการออกแบบ รถถัง
- Volkswagen กับ Benz ต้องหันมาผลิตรถอเนกประสงค์ทางทหารและรถถัง
แล้วก็…หลังจบสงครามโลกในปี 1945 ก็อย่างที่เพื่อน ๆ ทราบกันนะแหละ.. 🇩🇪 เยอรมนีแพ้ราบคาบ 🏳️🏳️
เหล่าบริษัทที่หนุนหลังการผลิตอาวุธสงคราม ถ้าไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกทิ้งระเบิดจากช่วงสงครามจนพังอย่างโรงงานของ BMW ก็อาจจะโดนยึดทรัพย์และโรงงานแบบ Audi และ Porsche ….
แน่นอนว่า เจ้าแบรนด์รถเพื่อประชาชน(เยอรมัน)อย่าง Volkswagen ก็เรียบร้อยโรงเรียนผู้ดีไปเหมือนกัน (โดนอังกฤษยึดคร้าบ 🥲)
เรียกได้ว่าเป็นความเสียหายครั้งใหญ่แห่งวงการยานยนต์เยอรมันเลยละ
.
🔙 กลับมาที่เราได้กล่าวเมื่อตอนต้นว่า บุคคลากรชาวเยอรมันเนี่ย เค้ามีความเชี่ยวชาญเรื่องของยานยนต์มาก่อนอยู่แล้ว (ผลิตมาได้ก่อนประเทศอื่น ๆ ในยุโรป จนถึงอเมริกาเลยน่ะนะ)
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ เยอรมนีต้องรีบใช้หนี้ค่าปฏิกรรมสงครามสงคราม
แต่ปัญหาคือ ชาวเยอรมันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพื่อมารีบใช้หนี้สงคราม 🫨😵‍💫
สิ่งที่ชาวเยอรมันมีก็คือ กลุ่มคนคลังสมองที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป(และของโลก)
หากพวกเค้าสามารถได้สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหลัก ๆ ของประเทศ (เช่น กลุ่มรถยนต์ให้เยอรมันกลับครอบครองได้เหมือนเดิม) ก็จะช่วยสร้างรายได้มาชำระหนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น
มันก็เลยเกิดเป็นข้อตกลง “London Debt Agreement” ที่ให้เยอรมนีทำการชำระหนี้ให้กับประเทศเจ้าหนี้ และส่งเสริมให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก ๆ ของเยอรมนีเพื่อหาเงินมาคืน นั่นเองคร้าบ (อันนี้แบบย่อเด้ออ) 😤👍👍 🇬🇧🇩🇪💷
London Debt Agreement
.
เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ -
1. เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าต้นแบบของรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ “Porsche” มีต้นแบบมาจากรถเต่ารุ่น “Beetle” ของค่าย Volkswagen …
อ้าว ก็แน่นอนละ ผู้ริเริ่มก่อตั้งทั้ง 2 แบรนด์นี้ก็คือคุณ “Ferdinand Porsche” ไงละ ! 😊
2. เพื่อน ๆ ยังทราบอีกไหมว่า ต้นกำเนิดของแบรนด์ดังเหล่านี้ ต่างมาจากอดีตวิศวกรของ “Mercedes-Benz” (ในสมัยที่เป็นบริษัท “Benz & Cie”)
- August Horch ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Audi” เคยเป็นวิศวกรให้กับ Benz มาก่อน
- Karl Rapp ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “BMW” เคยเป็นช่างเทคนิคให้กับ Benz มาก่อน
- Ferdinand Porsche ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Porsche” เคยเป็นนักออกแบบให้กับ Benz มาก่อน
[ "อิตาลี" ดินแดนแห่งแบรนด์ซูเปอร์คาร์ชื่อกระหึ่มโลก 🇮🇹🏎️ ]
ถ้าเยอรมนีเป็นเจ้าแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป
อาจเรียกได้ว่า “อิตาลี” ก็เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการผลิตรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ยุโรป
.
จุดเริ่มต้นการผลิตรถยนต์อิตาลี กำเนิดขึ้นที่เมือง Turin ซึ่งอยู่ในแคว้น Piedmont (ถ้าเพื่อน ๆ ที่เปนคอบอลก็จะคงจะคุ้นชื่อเมืองนี้กับทีมยูเวนตุสกันดีนะคร้าบ 😄)
โดยแรกเริ่มมาจากมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งแรกของอิตาลี (Politecnico di Torino) ที่ถูกก่อตั้งที่ตูรินในปี ค.ศ. 1859
จนต่อมาจึงได้ต่อยอดไปจนถึงการพัฒนาผลิตรถยนต์
แล้วเพื่อน ๆ ทราบกันไหมว่ารถยนต์แบรนด์แรกที่ผลิตในอิตาลี คือแบรนด์อะไร ?
👉 เฉลย - แบรนด์นี้มีชื่อว่า “FIAT” หรือ ชื่อเต็มคือ Fabbrica Italiana Automobili Torino นั่นเอง ! 🚘
โดย FIAT เริ่มผลิตรถรุ่นแรกในปี 1899 คือรุ่น 3 ½ CV
และต่อมาก็พัฒนาไปถึงการผลิตรถบรรทุก และเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน
**👩‍🏫 แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเนี่ย… ต้องบอกว่าแบรนด์รถยนต์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Pioneer หรือคันแรกของอิตาลีจริง ๆ ก็คือ “Isotta Fraschini” จากเมืองมิลาน ที่มีการเริ่มใช้งานในปี 1898
แต่เพราะต้นแบบของรถรุ่นนี้ เป็นการนำเข้ารถยนต์จากฝรั่งเศส มาดัดแปลงอีกที เลยอาจไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น รถที่ผลิตในอิตาลีคันแรก
ตำแหน่งจึงตกเป็นของ “FIAT” นั่นเองคร้าบ ☺️
[ ทำไมรถอิตาลี ถึงนิยมก่อตั้งกันที่แคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) ? ]
ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของอุตสาหกรรมยานยนต์อิตาลี มันเริ่มจากเมือง Turin ในแคว้น Piedmont อย่างเราเล่ามาด้านบน
แต่….ถ้าเรามานั่งดูต้นกำเนิดของแบรนด์รถยนต์อิตาลี โดยเฉพาะแก๊งค่ายรถซุปเปอร์คาร์เนี่ย
ก็จะพอสังเกตได้ว่า เอ้อ ! ต้นกำเนิดของโรงงานผลิตเนี่ย จะมาจากแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา กันซะเป็นส่วนใหญ่ (ที่คุ้นตากันบ่อย ๆ ก็จะเป็นเมือง “Modena”)
.
แล้วไหง..กลายเปนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์มันมาคึกคักที่แคว้น เอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) กันได้ละ ?
นอกจากจะมีพาร์มาแฮมและพาร์เมซานชีสที่โด่งดังแล้ว แคว้นแห่งนี้ยังเป็นแคว้นที่มีชื่อเสียงในเรื่องของภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีด้วยนะ โดยเฉพาะรถยนต์
เท่าที่เราพอจะสรุปข้อมูลมาได้คือ
1. เป็นแหล่งรวมแรงงานมากฝีมือในภาคส่วนของการผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีของอิตาลี
คล้าย ๆ กับว่าเป็นอานิสงค์จากการที่แบรนด์รถซุปเปอร์คาร์หลายแบรนด์กำเนิดในแคว้นนี้ จึงดึงดูดแหล่งงานมากฝีมือมานั่นเอง
2. เหตุผลทางด้าน Logistic อันนี้เนื่องจากแคว้นแห่งนี้มันเชื่อมอยู่ตรงกลางระหว่างภาคเหนือของอิตาลี (เช่น มิลาน ตูริน)
3. แคว้นแห่งนี้มีช่างฝีมือต่างอุตสาหกรรมมากมาย
คือ ไม่ใช่แค่ยานยนต์ แต่ว่าแคว้นแห่งนี้ผลิตสินค้ามีความเป็นแบบฉบับของอิตาลีในหลาย ๆ ภาคส่วน เช่น อาหาร การออกแบบและสถาปัตยกรรม
4. หุบเขาในแคว้นนี้ เหมาะกับการทดสอบยานยนต์ (อันนี้เราเองไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไร แต่เห็นหลาย ๆ เว็ปจะชอบพูดถึงเหตุผลนี้)
ซึ่งแคว้นนี้ถึงกับได้รับฉายาว่า “หุบเขาแห่งยานยนต์” เลยทีเดียว
อาจเพราะทางค่อนข้างทำสวย มีโค้งให้ท้าทายทดสอบรถ
ว่าแต่แคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) เค้าเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์รถซุปเปอร์คาร์อะไรบ้างละ ?
🏍️ Ducati - ที่เมือง Bologna
🏎️ Ferrari - โดยคุณ Enzo Ferrari ที่เมือง Modena.
Maserati - ก่อตั้งที่เมือง Bologna โดยพี่น้อง Maserati ก่อนที่ในปี 1940 จะย้ายฐานการผลิตมาที่เมือง Modena
🏎️ Lamborghini - กำเนิดที่เมือง Sant'Agata Bolognese อยู่ใกล้กับ Modena เพียงแค่ 20 กิโลเมตร
🏎️ Pagani - ก่อตั้งที่เมือง Modena โดยคุณ Horacio Pagani อดีตวิศวกรนักออกแบบเครื่องยนต์ของ Lamborghini
🏎️ Bugatti - จริง ๆ แล้วแบรนด์นี้มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
หากแต่ว่าผู้ปลุกปั้นแบรนด์นี้ให้โด่งดัง คือาวอิตาลีนามว่าคุณ Romano Artioli ซึ่งเค้าก็ได้ย้ายฐานการผลิตหลักมาอยู่ที่เมือง Modena ก่อนที่ Volkswagen Group จากเยอรมนีจะมาเข้าซื้อไป
Motor Valley ที่เมือง Modena คร้าบ
แบรนด์รถยนต์ที่เราอาจลืมนึกไปว่า มีต้นกำเนิดจาก "เมืองผู้ดี" 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿
เชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบรถซุปเปอร์คาร์เนี่ย คงจะพอรู้จักกันอยู่แล้วว่าแบรนด์รถไหนเป็นแบรนด์อังกฤษเนอะ อย่างเช่น Aston Martin หรือ McLaren 🇬🇧🤩
หากแต่ว่า… รถยนต์สัญชาติอังกฤษหลาย ๆ แบรนด์เนี่ย ดันมีเจ้าของเป็นค่ายรถสัญชาติอื่น ๆ ไปกันเยอะแล้ว จนบางที..เราอาจจะลืมนึกไปว่าแบรนด์เหล่านี้ มีต้นกำเนิดมาจากอังกฤษ
อย่างเช่น
✔️ MINI - ที่มีเจ้าของคือ BMW (แต่อันนี้ชัดเจนตรงที่ ไฟท้ายของรุ่นใหม่ ๆ จะเป็นธงอังกฤษ) 🇩🇪
✔️ Rolls-Royce - อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีเจ้าของคือ BMW 🇩🇪
✔️ Bentley - สำหรับแฝดคนละฝาของ Rolls-Royce แบรนด์รถสุดหรูหราอันนี้ เรายังคงนึกถึงกลิ่นความเป็นอังกฤษอยู่นะ หากแต่ว่าเจ้าของปัจจุบัน คือ “Volkswagen Group” ของเยอรมัน นั่นเองคร้าบ 🇩🇪
✔️ Jaguar และ Land Rover - ปัจจุบันมีเจ้าของคือบริษัท Tata Motors ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย 🇮🇳
ถึงแม้ว่า Tata จะเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ก็จริง หากแต่ต้องบอกว่า กลุ่มนายทุนอินเดียกลุ่มนี้เข้ามาช่วยเฉพาะด้านเงินทุน แต่ทีมบริหารทีมออกแบบยังคงไว้แบบเดิมนี่ละคร้าบ (เลยทำให้ไม่โดนแซวแบบแบรนด์ด้านล่าง..)
บรรยากาศตอนเซ็นสัญญากับ Tata Motors
✔️ Morris Garage (MG) - โดนล้อกันจนเข้าใจว่าเป็นรถสัญชาติจีนไปเรียบร้อย ต้องบอกว่าเจ้าของปัจจุบันคือบริษัท “SAIC Motor” ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากจีน ชื่อเต็มคือ “Shanghai Automotive Industry Corporation” ที่เข้ามาซื้อแบรนด์รถ MG มาตั้งแต่ปี 2007 อย่างไรก็ดี เจ้ารถ MG เนี่ย เค้ากำเนิดมาจากอังกฤษตั้งแต่ปี 1924 แล้วนะคร้าบ 🇨🇳
🤔 ว่าแต่…เพราะเหตุใดที่ทำให้แบรนด์รถยนต์อังกฤษถึงมีเจ้าของเป็นค่ายรถยนต์ต่างชาติกันซะเกือบหมด ?
1. อังกฤษไม่ได้มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
ซึ่งหากเทียบในเรื่องของกำลังการผลิต ต้นทุน และความสามารถของแรงงาน อังกฤษอาจจะไม่ได้มีข้อได้เปรียบไปกว่าชาติอื่น ๆ ในยุโรป (อย่างเยอรมนี อิตาลี) หรือ เอเชีย (ญี่ปุ่น จีน)
อย่างในปี 1970 เนี่ย ก็เป็นปีที่รถยนต์สัญชาตอังกฤษ ถูกรถยนต์ญี่ปุ่น (Nissan, Toyota) ที่เข้ามาตีตลาดผู้บริโภคในประเทศ ด้วยคุณภาพของรถและราคาที่ถูกกว่ารถอังกฤษเยอะมาก
จุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือตั้งแต่ Nissan เข้ามาตั้งโรงงานการผลิตที่เมือง Sunderland ประมาณช่วงปี 1980 (เข้าใจว่าเป็นค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรกเลยนะ)
2. หลาย ๆ แบรนด์รถของอังกฤษประสบกับการล้มละลายทางธุรกิจ อย่างเช่น MG, Land Rover, Triumph, MINI (จากกรณีของบริษัท BLMC แต่เรื่องนี้จะยาวม๊ากก ไว้ค่อยเล่านะคร้าบ)
หรือแม้กระทั่งแบรนด์รถสัญลักษณ์ของเจมส์บอนด์ “Aston Martin” ก็เคยล้มละลายมาแล้วเหมือนกัน
รัฐบาลอังกฤษก็ยอมแพ้กับการฟื้นฟูค่ายยานยนต์เจ้าใหญ่หรือค่ายเล็ก ๆ ที่ล้มละลาย
เลยต้องเป็นหน้าที่ของนายทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาช่วยผู้ฟื้นฟูแบรนด์รถยนต์อังกฤษเหล่านี้ (หรือขอเรียกว่า บริษัทรถใหญ่ ๆ ของเยอรมนี มาเก็บของ…จะดีกว่า 😅)
จนมาถึงปัจจุบันจึงทำให้ค่ายรถยนต์ที่เคยเป็นของอังกฤษ กระจายกันไปมีเจ้าของใหม่จากนานาชาติอย่างในภาพอินโฟกราฟิกที่นำมาแสดงนั่นเองคร้าบ
เมื่อรถยนต์สัญชาติสวีเดน ไม่ได้มีดีแค่ "Volvo" 🇸🇪
อย่างที่เพื่อน ๆ หลายคนพอจะทราบกันดีกว่าตอนนี้ Volvo ไม่ได้มีเจ้าของเป็นบริษัทสัญชาติสวีเดน (แล้วก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์เดียวของสวีเดนด้วยนะ)
แต่ว่า… เจ้าของปัจจุบันของค่าย Volvo คือ Zhejiang Geely Holding Group ค่ายรถยนต์จากจีน นั่นเองคร้าบ 🇨🇳
สำหรับพวกเราส่วนตัวคิดว่า ตั้งแต่ Geely เข้ามาเทคโอเวอร์ตั้งแต่ช่วงปี 2010 เนี่ย แบรนด์ Volvo ก็ไม่ได้มีคุณภาพที่ด้อยลงแต่อย่างใดเลย เค้ากลับพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงมีเอกลักษณ์ของ Volvo อยู่ครบเลย ไปจนถึงการขึ้นไปท้าชิงกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการแตกแบรนด์ลูกอย่าง Polestar และ Lynk&Co ที่เราอาจไม่ค่อยคุ้นตาในไทย
.
ตามชื่อหัวข้อเลย
นอกจาก Volvo แล้ว ประเทศสวีเดนเค้าก็ยังมีแบรนด์รถ “ไฮเปอร์คาร์” อย่างแบรนด์ “Koenigsegg” อีกด้วยนะ 🤩🤩
แบรนด์ Koenigsegg มีรถไฮเปอร์คาร์ที่มีราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อคัน
ค่ายรถยนต์ค่ายนี้ก่อตั้งในปี 1994 โดยคริสเตียน ฟอน เคอนิกเส็กก์ (Christian von Koenigsegg) ที่เมือง Ängelholm ประเทศสวีเดน
ความตั้งใจเริ่มแรกของคุณคริสเตียน คือการผลิตรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงที่สุด
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นความฝันกลางวันของเด็กหนุ่มเสียมากกว่า … ที่ต้องใช้คำว่าเด็กหนุ่ม ก็เพราะ…ในวันที่คุณคริสเตียนก่อตั้งบริษัทผลิตรถไฮเปอร์คาร์แห่งนี้ เขามีอายุเพียงแค่ 22 ปีเองนะสิ ! (พวกเราก็คือ เพิ่งจบมหาลัย ยังลอยล่อง หางานอยู่เลย T^T)
เชื่อไหมว่า… บริษัท Koenigsegg ผลิตรถรุ่นแรกออกมาภายในปี 1996 หรือ กล่าวได้ว่า ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง
ต้องบอกอย่างหนึ่งที่เป็นคีย์สำคัญคือ คุณคริสเตียน มีความชื่นชอบรถยนต์มาตั้งแต่อายุ 5 ขวบมาแล้วนะ ครอบครัวของเขาก็ยังให้การสนับสนุนตามความชอบของเค้าได้ดีอีกด้วย
.
จนกระทั่งในปี 2002 คุณคริสเตียนก็ประสบความสำเร็จกับรุ่นรถ “Koenigsegg CC8S” ที่กลายเป็นที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังที่สุดในโลก
ต่อมาในปี 2005 Koenigsegg CCR กลายเป็นรถที่ทำความเร็วได้เร็วที่สุดในโลก โดยทำลายสถิติโลก ด้วยความเร็วที่ 387.86 กม./ ชม. ด้วยกำลังระดับ 655 แรงม้า (BHP) จนได้รับการบันทึกลงใน Guiness World Record
Koenigsegg CCR
ถึงแม้ว่ารูปแบบการดีไซน์ของไฮเปอร์คาร์คันนี้ อาจไม่ได้สื่อถึงความเป็นสวีเดน สักเท่าไร
แต่อย่างน้อย…ครึ่งหนึ่ง คุณคริสเตียนและไฮเปอร์คาร์ Koenigsegg ก็เคยทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์โลก ต้องทึ่งและจดจำกับแบรนด์ไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนได้อย่างงดงาม
ปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ
เพื่อน ๆ เคยรู้จักแบรนด์รถยนต์ Saab กันบ้างไหมเอ่ย ? 🤓
คงต้องมีเห็นผ่านตากันบ้างละ อาจจะทั้งในไทยและต่างประเทศ
ส่วนตัวพวกเรารู้สึกพบเห็นได้น้อยมาก จนคิดไปว่า เอ่อ..เค้ายังขายรถอยู่รึเปล่านะ…🤔
ที่เห็นจนชินตา ก็มีแต่รถรุ่นเก่า ๆ ประมาณยุค 90
ไปหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ก็พบคำตอบว่า ธุรกิจรถอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Saab ทำอยู่ในตอนนี้
แต่หากว่า…เป็นการผลิตเครื่องบินรบและอากาศยาน นั่นเอง
(อย่างกองบินทหารอากาศของไทยก็ใช้งานนะ (Royal Thai Armed Forces) หากตรงนี้ข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยนะคร้าบ)
สำหรับธุรกิจอากาศยานของ Saab เนี่ย ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย
แรกเริ่มเลย Saab เค้าก็ผลิตรถยนต์นี่ละ อาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ผลิตยนต์กรรมและอากาศยานของประเทศสวีเดนเลย (เคียงคู่มากับ Volvo)
แต่แล้วในช่วงปี 1990 Saab ก็ได้ประสบปัญหาล้มละลาย
จนต้องแยกแผนกที่ทำยานยนต์และอากาศยานออกไปเป็นคนละบริษัท
ถึงแม้ว่าบริษัท General Motors จากอเมริกามาเข้าซื้อ แต่ก็ยังไม่วายฟื้นฟูกิจการของ Saab ได้
ผลัดต่อกันมาหลายมือ ทั้งกลุ่มนายทุนชาวจีนเองก็อีกเช่นกัน
จนสุดท้าย มาถึงมือของคุณ Victor Mueller นายทุนฝีมือดีชาวเยอรมันเจ้าของบริษัท Spyker ที่ต้องการมาพื้นฟู… แต่ก็ไม่สามารถทำได้ (แถมตัวเค้าและบริษัทยังต้องเป็นหนี้ในเรื่องของลิขสิทธิ์การผลิตอีกด้วย)
สรุปว่าในปัจจุบัน Saab เลิกผลิตรถยนต์ไปแล้ว เหลือแค่ Saab AB ที่ผลิตอากาศยานและเครื่องบินรบที่แยกตัวออกไปตั้งแต่ปี 1990 นั่นเองคร้าบ
ชวนส่องแบรนด์ "ยานยนต์ฝรั่งเศส" ที่เราอาจไม่ค่อยคุ้นตาในเมืองไทยเท่าไร 🇫🇷
จากภาพที่แล้ว หากว่าสวีเดนมีไฮเปอร์คาร์อย่าง Koenigsegg
ทางฝั่งของฝรั่งเศสก็มีแบรนด์ Bugatti เข้ามาท้าชน (ที่ถึงแม้จะมีเจ้าของเป็น Volkswagen AG แล้วก็ตาม)
Bugatti ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดยคุณ Ettore Bugatti ภายใต้บริษัทชื่อ Automobiles Ettore Bugatti ที่เมือง Molsheim ในประเทศฝรั่งเศส
Bugatti Chiron
แต่คุณ Ettore ไม่ได้ผลิตแค่ยานยนต์นะ แต่ว่าเครื่องบินหรือรถรางเอง คุณเค้าก็ผลิตด้วยเหมือนกัน
แต่แล้ว…ในปี 1947 เป็นต้นมา ก็มาถึงขาลงของแบรนด์ Bugatti สาเหตุก็เดาไม่ยาก เพราะว่าคุณ Ettore เสียชีวิตลงนั่นเอง
ในที่สุดก็ต้องขายภาคส่วนที่ผลิตเครื่องบินออกไปให้กับนักลงทุนจากสเปน
ในส่วนของยานยนต์ Bugatti ก็ขายมาให้กับชาวอิตาลี ซึ่งก็ไปตั้งฐานการผลิตที่เมือง Modena (คุ้น ๆ ไหมคร้าบบ ตามกลับไปอ่านได้ในภาพที่ 3 น้าา) 😉
Ettore Bugatti
สุดท้ายของสุดท้ายของงงสุดท้าย แบรนด์รถ Bugatti ก็ถูกขายให้ต่อไปกับ Volkswagen Group ในปี 1998
การเข้ามาเทคโอเวอร์ต่อของ Volkswagen ก็ช่วยพัฒนารถไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่ของ Bugatti ออกมาได้ดีพอสมควร
จนเราไม่มั่นใจว่าจะเรียกว่าเป็นพลังแห่งไฮเปอร์คาร์จากฝั่งของฝรั่งเศสดีไหม
เพราะว่า รุ่นที่สร้างชื่อให้กับ Bugatti อย่าง Veyron และ Chiron มันเป็นการผลิตภายใต้การควบคุมของ Volkswagen Group
อย่างเช่น รุ่น Veyron 16.4 Super Sport ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 431 กม./ชม. ทำลายสถิติเร็วที่สุดในโลกปี 2010
[ “Stellantis” เจ้าพ่อค่ายรถยนต์ขนาดกลาง 😎 ]
นอกเหนือจาก Bugatti แล้ว
พวกเราก็จะขอพาเพื่อน ๆ ทำความรู้จักกับแบรนด์ Stellantis กันสักนิด
ทำไมพวกเราถึงชวนมารู้จักกับค่ายนี้ ?
เพราะหากว่าเพื่อน ๆ พอจะคุ้นเคยกับยี่ห้อรถฝรั่งเศสอย่าง “Citroën” และ “Peugeot”
ก็คงจะต้องบอกว่า ทั้ง 2 แบรนด์นี้ มีเจ้าของคนเดียวกัน นั่นคือบริษัท “Stellantis” 😲👍
นอกจากทั้ง 2 แบรนด์ของฝรั่งเศสนี้แล้ว
เชื่อว่าหลายคนที่ผ่านตากับ 5 ภาพก่อนหน้านี้ คงพอจะเห็นเจ้าบริษัท Stellantis ที่เป็นเจ้าของปัจจุบันของค่ายรถหลากหลายประเทศในยุโรป อาทิ Alfa Romeo, Maserati, Opel, FIAT, Vauxhall
นอกเหนือจากแบรนด์ในยุโรป กลุ่ม Stellantis ก็ยังเป็นเจ้าของ Chrysler, Jeep, Dodge
Stellantis เป็นค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่เกิดจากการควบรวม 2 บริษัท Fiat Chrysler Automobiles (FCA) บริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี-อเมริกัน และ Groupe PSA (Peugeot Société Anonyme) สัญชาติฝรั่งเศส
การควบรวมครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นสำเร็จในช่วงปี 2021 (ไม่นานนี้เองเด้อ)
ซึ่งมันก็มีจำนวนแบรนด์ที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่า Volkswagen Group
ว่าแต่ Stellantis ยิ่งใหญ่พอที่จะสู้กับเครือ Volkswagen ได้ไหม ?
ถ้าหากเทียบกับยอดขายยานยนต์ในทวีปยุโรปประจำปี 2021
Volkswagen มียอดขายจำนวน 9.3 ล้านคัน ครองอันดับที่ 1 ในยุโรป
ในขณะที่ Stellantis มียอดขายจำนวน 7.4 ล้านคัน รั้งอันดับที่ 2 ไปแทน
ส่วนตัวเรามองว่า Brand Portfolio ของ Volkswagen จะครอบคลุมไปยังกลุ่มตลาดรถหรูจำนวนที่มากกว่า Stellantis
แต่ว่าในทางกลับกัน Stellantis หันไปเอาดีทางกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและกลุ่มรถขนานเล็ก-กลาง และกลุ่ม SUV
ถ้ามองจากจำนวนรถในเมืองไทยที่ผ่านหูผ่านตาเนี่ย คิดว่าเราคงจะคุ้นเคยกับแบรนด์ของกลุ่ม Volkswagen เสียมากกว่าเนอะ
แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- ประวัติของเว็ปไซต์ตรงของรถยนต์แต่ละแบรนด์
โฆษณา