1 พ.ค. 2023 เวลา 03:55 • ความคิดเห็น
เป็นเพราะความจำกัดของเครื่องมือที่มนุษย์ใช้รับรู้ค่ะ
เครื่องรับสัมผัสตามธรรมชาติเรา
ที่ติดตัวมาก็มีแค่
ตา รับคลื่นแสง รับได้เพียงจำกัดบางคลื่น
หู รับคลื่นเสียง ก็จำกัดรับได้แค่บางช่วงคลื่นเสียง
จมูก รับกลิ่นก็รับสัมผัสได้ไม่ไวเท่าสัตว์อื่นๆด้วยซ้ำ
ลิ้น รับรสได้ละเอียดแยบคายแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
กาย รับผิวสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง คม แหลม ก็จำกัดอยู่แค่ต้องมากระทบกายโดยตรง
ใจ.... บางคนแทบไม่เปิดใจรับรู้อะไรเลย แม้อารมณ์ แม้ความคิดของตัวเอง...
การหยั่งรู้แม้แค่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องยังทำได้ยากสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนตนยิ่งเป็นไปไม่ได้...
แค่ปัจจุบันยังไม่รู้ อดีตผ่านมาอะไรเป็นอย่างไร ย่อมรู้ไม่ได้เลย...
ตัวเองมาจากไหนยังไม่รู้ จักรวาลเกิดได้อย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์รู้ค่ะ ได้แค่สันนิษฐาน​แล้วหาทางพิสูจน์ หาหลักฐานที่จับต้องได้ วัดได้ คำนวณ​ได้ มาอธิบาย หาคำตอบที่ดูสมเหตุสมผลให้ตัวเอง มนุษย์ทำได้เพียงแค่นี้
รู้แค่รอบตัวยังรู้ได้จำกัด พยายามสร้างเครื่องมือมาขยายก็เพิ่มได้อีกเพียงเล็กน้อย....
เราจึงได้รู้ว่า เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆในจักรวาลค่ะ สิ่งที่เราทำได้เพียงเล็กน้อย ยังมีอีกมากที่เรายังไม่รู้ ไม่เห็น และทำยังไม่ได้
แต่ก็มีการกล่าวว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว รับรู้สรรพสิ่งได้โดยตรงผ่านจิตนั้น จะรู้ จะเห็นอะไรได้มากมายเหมือนเปิดรับคลื่นพลังรอบตัว ทุกทิศได้เต็มที่
แม้คำกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็กล่าวว่า
สิ่งที่ท่านตรัสรู้ (คือรู้เห็นด้วยจิตท่านนั่นแหละ)​มากมายเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่ที่ท่านเอามาสอนเป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ
(พระสัทธรรม พระไตรปิฎกแค่ใบไม้ในกำมือ)​
.... แปลว่าที่ท่านรู้ท่านเห็นเกี่ยวกับโลก สังสารวัฏ​และจักรวาลเยอะมาก แต่ไม่สอน เพราะรู้ไปคนก็ไม่ได้ออกจากทุกข์ รู้แค่ใบไม้ในกำมือที่ท่านสอนก็ออกจากทุกข์ได้ ท่านจึงสอนแค่นั้น... เอาง่ายๆแค่ว่า ท่านรู้กายวิภาค เซลล์ หรือคัพภวิทยา (embryology) ได้อย่างไรในยุคที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยแบบนี้
ส่วนเราจะรู้เห็นได้มากน้อยแค่ไหน ต้องฝึกฝนเครื่องรับของตัวเองค่ะ
โฆษณา