1 พ.ค. 2023 เวลา 11:38 • ไลฟ์สไตล์

การเมือง

บรรยากาศเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผมจำได้คือการเดินจากหอพักแบบง่วง ๆ มาที่คูหา เข้าไปกากบาทเลือกพรรคการเมืองในดวงใจ แล้วเดินงง ๆ หากาแฟกินสักแก้วแถว ๆ นั้น
เอาจริงก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่ แม้จะเป็นการใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตก็ตาม คงเพราะการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าดันมีเหตุที่คนบางคนพยายามจะบอกว่าการใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นการขัดต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในใจลึก ๆ เลยยังอาจจะแอบกลัวปาฏิหาริย์ทางการเมือง (ในทางลบ) ที่มักจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ผมเลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่
แล้วพอมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่ทำนายเอาไว้ มันเลยกลายเป็น Confirmation Bias ให้ตัวเองไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้เข้าไปอีก
ถึงอย่างนั้น บรรยากาศช่วงเลือกตั้งก็เป็นบรรยากาศที่ผมชอบ การได้นั่งฟังพรรคการเมืองแต่ละพรรคมาดีเบตกันด้วยนโยบายของพรรคตัวเองมันทำให้รู้สึกว่า “เออ...เราก็คุยกันดี ๆ ได้นี่หว่า”
แม้ว่าบางทีผมจะแยกการพูดคุยด้วยเหตุผลกับการตีฝีปากแข่งกันไม่ค่อยออกเท่าไหร่ก็เถอะ
ในฐานะคนที่เรียนมาทางประวัติศาสตร์ (ซึ่งมักจะหนักไปกับประวัติศาสตร์การเมือง) เราจะมีความเชื่อลึก ๆ บางอย่างที่ถูกสอนกันมา เสมือนหนึ่งอุดมคติที่พลเมืองควรจะเป็น คือการมีศรัทธาในคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย เรื่องคุณค่าของคนที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเพศ สีผิว หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือเรื่อง “การเมือง” ที่อยู่ในทุกที่ ทุกเวลา
ไม่แต่เฉพาะตอนที่กาบัตรเลือกตั้ง หย่อนใส่ตู้ แล้วรอดูว่ามันจะเขย่งหรือไม่เขย่ง
เฉพาะเรื่องหลังสุด, มันดูเป็นความท้าทายบางอย่างของนักวิชาการที่พยายามชำแรก แทรกมุดไปสืบเสาะ และแสดงให้เราเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ศาสนา ไปยันท่วงท่าการมีอะไรกันของคนสองคนในที่ลับก็ล้วนแล้วแต่เป็นการเมือง การเมืองในความหมายของ “ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ” ที่มีการต่อรอง เจรจาเพื่อแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ต่าง ๆ ระหว่างหลายฝ่าย
ถ้าโลกนี้มีเราอยู่คนเดียวท่ามกลางทรัพยากรมหาศาล การเมืองก็ไม่จำเป็นจริงไหมล่ะครับ?
ความเป็นการเมืองเหล่านั้นดูจะเนียนตากว่าที่เห็นคนมายืนอภิปรายกันในสภาเป็นไหน ๆ มันอยู่ในเพลงที่ร้องว่า “เด็กสมัยชาติพัฒนา” ที่จนป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าพัฒนากันเสร็จแล้วหรือยัง อยู่ในความพยายามจะทำให้คำว่า “ชายแท้” เป็นคำดูถูก เหมือนกับที่คำเรียกเพศอื่น ๆ เคยโดนมาก่อนแล้ว หรืออยู่ในไข่ต้มคลุกน้ำปลาที่เชิดชูคุณค่าบางอย่างในหนังสือเรียนภาษ พาที
ทุกครั้งที่เราเปิดทีวีดูการประกวดนางงาม ความเป็นการเมืองก็อาจจะทำงานอย่างที่เราไม่ระแคะระคาย
พระอาทิตย์หลังคอนโดในวันนี้ตกช้าเป็นพิเศษ เสียงนกการ้องระคนกับเสียงเห่าของหมาและเสียงรถยนต์ที่วิ่งไปมาแบบแว่วพอให้ได้ยิน ผมนั่งสูดอากาศค่าฝุ่นสีเหลืองที่ค่อนข้างเย็นของวันพลางคิดว่าคนอื่น ๆ ก็คงกำลังหยุดพักวันแรงงานอย่างมีความสุข ขนาดผมไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนั้นยังรู้สึกดีที่มันเป็นวันหยุดเลย
ถึงจะหยุดแบบขอไปทีแบบที่ไม่ได้สนใจแรงงานจริง ๆ ขนาดนั้นก็เถอะ
หรือจริง ๆ ที่ผมตื่นเต้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้น้อยลงเพราะเราเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยสมบูรณ์แล้ว? รุ่นพี่หลาย ๆ คนที่มหาลัยเคยพูดแบบติดตลกว่า “ไม่ต้องอ่านแดร์ริดา (Darrida) หรอก ไปเรียนทำเอ็กเซลดีกว่า” ในวงเล่าเล็ก ๆ ที่ทุกคนกำลังกรึ่มเต็มที่ ด้วยสภาวะแบบนี้หรือเปล่า? สภาวะแห่งการเอาชีวิตรอดในโลกของการทำงาน สภาวะที่ทำให้เราสนใจการเมืองน้อยลงไปโดยธรรมชาติ?
ผมไม่แน่ใจว่ากับเรื่องนี้ เราสามารถพูดไปไกลเหมือนเรื่องหนังกับที่มีคนพูดว่า การดูหนังเครียดได้ถือเป็น Privileged เพราะเราไม่ต้องเครียดกับชีวิตประจำวัน แต่คนบ้านเราก็มักจะชอบอะไรง่าย ๆ สบาย ๆ และก็มักจะปฏิเสธอะไรที่มันกินยาก ๆ เสพยาก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ กับหลายเรื่องด้วย ไม่เฉพาะแค่เรื่องการดูหนังหรอก
เลยไม่แน่ใจว่ากับอะไรที่ดูจะเป็นประเด็นใกล้ตัวที่ทุกคนมีส่วนร่วมแบบการเมืองจะเป็นแบบเดียวกันไหม?
เอาเถอะครับ การเลือกตั้งครั้งนี้คงเป็นอีกหนึ่งครั้งที่จะชี้ชะตาประเทศว่าจะไปในทิศทางไหนต่อ ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเสียงของเราที่จะไปแสดงออกกันในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ถึงโดยส่วนตัวผมจะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น แต่ด้วยความสำคัญของมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกมีความหวังบางอย่างไปด้วยลึก ๆ
หวังว่ามันจะมีปาฏิหาริย์ทางการเมือง (ในทางบวก) เกิดขึ้นจริง ๆ บ้าง
โฆษณา