Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
5 พ.ค. 2023 เวลา 05:29 • หนังสือ
#22 HWG. — บทที่ 1️⃣3️⃣ (ส่วนที่ 2)
“เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงสูงสุดได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗡 : 𝗛𝗺𝗺𝗺. 𝗦𝗼 𝘄𝗲'𝘃𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹 𝗰𝗶𝗿𝗰𝗹𝗲.
N : อืมมม...สุดท้ายเราก็วนกลับมาที่เดิมอีกจนได้
𝗚 : "𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗲𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗰𝗶𝗿𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲𝗻'𝘁 𝗮𝗹𝗿𝗲𝗮𝗱𝘆 𝗻𝗼𝘁𝗶𝗰𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹."
G : การสนทนาทั้งหมดนี้เคลื่อนที่เป็นวงกลม หากเธอยังไม่ได้สังเกตเห็น ในไม่ช้าเธอก็จะเห็น
𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝘀𝘁𝗿𝗮𝗶𝗴𝗵𝘁-𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗱𝗶𝗮𝗹𝗼𝗴𝘂𝗲. 𝗪𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘀𝘄𝗶𝗿𝗹𝘀 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗮𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗽𝗼𝗶𝗻𝘁𝘀 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀. 𝗡𝗼𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘁𝘄𝗶𝗰𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗵𝗮𝗽𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗼𝗿 𝗳𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀.
𝗧𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗲𝘃𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝘀 𝗼𝘂𝗿 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲 𝗮𝗰𝗰𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗮 𝗾𝘂𝗶𝘁𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗱𝘂𝗻𝗱𝗮𝗻𝗰𝘆.
การสนทนานี้ไม่ได้เคลื่อนที่ไปเป็นเส้นตรง แต่เรากำลังเคลื่อนที่เป็นวงกลมอยู่ที่นี่ วนกลับมายังจุดสำคัญหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่แค่สองครั้ง บางทีก็สามหรือสี่ครั้ง สิ่งนี้จะชัดเจนกับเธอเมื่อการสนทนาของเราดำเนินต่อไป และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันจะเป็นความซ้ำซ้อนโดยเจตนา
𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗶𝘀𝗰𝘂𝘀𝘀𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗲𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝘀. 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗿𝗲𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗧𝗵𝗲 𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲.
𝗔𝗻𝗱 𝗮𝘁 𝗹𝗲𝗮𝘀𝘁 𝘁𝘄𝗼 𝗶𝗱𝗲𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗼𝗰𝗸 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗯𝗼𝗮𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗯𝗲 𝗮𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗮𝗯𝘀𝗼𝗿𝗯 𝘁𝗵𝗲𝗺. 𝗦𝗼 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗼𝗻. 𝗪𝗲'𝘃𝗲 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿. 𝗥𝗲𝗮𝗱𝘆?
สิ่งที่กำลังกล่าวถึงในที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าความจริงทางจักรวาลวิทยา ความลับของทุกสรรพชีวิต การเดินทางของวิญญาณหลังความตาย ธรรมชาติของเวลาและที่ว่าง (พื้นที่ หรือ ห้วงอวกาศ) และแนวคิดอย่างน้อยสองแนวคิดที่จะเขย่าความรู้ทางด้านจักรวาลวิทยาของเธอ บางครั้งเธอต้องได้ยินสิ่งเหล่านี้มากกว่าหนึ่งครั้งจึงจะสามารถซึมซับพวกมันเข้าไปในจิตใจของเธอได้จริงๆ เอาล่ะ ไปต่อกันเถอะ เรายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องพูดถึง พร้อมมั้ย❓
𝗡 : 𝗥𝗲𝗮𝗱𝘆.
N : พร้อมครับ
𝗚 : "𝗦𝗼 𝗹𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗿𝗲𝗽𝗲𝗮𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲—𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸 𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴—𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗶𝘁."
G : ดังนั้นก็ขอให้ฉันได้ย้ำกับเธออีกครั้ง เพื่อให้เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า มุมมองของเธอ —ซึ่งก็คือวิธีที่เธอมองบางสิ่ง— จะเป็นตัวสร้างความเป็นจริงของเธอขึ้นมาทั้งในช่วงชีวิตนี้ (ชาติภพนี้) และชีวิตหลังจากนั้น
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗶𝗳 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝗮 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗼𝗻'𝘁 𝗯𝗲 𝗼𝗻𝗲?
N : แล้วถ้าผมคิดว่าชีวิตหลังความตายนั้นไม่มีอยู่จริง สิ่งนั้นก็จะไม่มีอยู่ตามความคิดของผมงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗢𝗵, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗼𝗻𝗲, 𝗳𝗼𝗿 𝘀𝘂𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝘆 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱...
G : โอ้ มันจะมีอยู่อย่างแน่นอน เพราะเธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงสูงสุด (ปรมัตถ์สัจจ์) ได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยน ประสบการณ์ของเธอได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันบอกว่า...
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗿 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗚𝗼𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲.
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่หรือตายโดยปราศจากพระเจ้า แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคิดว่าเธอเป็นเช่นนั้น”
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗶𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗿 𝗱𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗚𝗼𝗱, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲.
“ถ้าเธอคิดว่าเธอมีชีวิตอยู่หรือกำลังจะตายโดยปราศจากพระเจ้า เธอก็จะได้รับประสบการณ์ในการเป็นเช่นนั้น” (ตามที่เธอคิด)
"𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝘀 𝗹𝗼𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲.
“เธอจะมีประสบการณ์นี้ได้นานตราบเท่าที่เธอต้องการ และเธอสามารถยุติประสบการณ์นี้ได้ทุกเมื่อที่เธอเลือก”
"𝗔𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗹𝗲𝗮𝗱𝘀 𝘂𝘀 𝘁𝗼..."
ทั้งหมดนี้จึงนำเราไปสู่...
𝗧𝗛𝗘 𝗘𝗜𝗚𝗛𝗧𝗛 𝗥𝗘𝗠𝗘𝗠𝗕𝗥𝗔𝗡𝗖𝗘
ความทรงจําที่ 8️⃣
𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁.
“#เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงสูงสุดได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้”
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝗿𝗸𝘀, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀. 𝗜'𝗺 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗺𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝗳 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁, 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗻 𝗺𝘆 𝗼𝘄𝗻 𝘄𝗮𝗹𝗸 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗹𝗶𝗳𝗲.
N : ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ครับว่ามันทำงานอย่างไร ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ผมกำลังสำรวจดูประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองเพื่อดูว่าผมสามารถสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนั้นขึ้นมาได้หรือไม่ โดยพิจารณาจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของตัวผมเอง
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗴𝗼𝗼𝗱 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗮 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻. 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗹𝗲𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗴𝗲𝘁 𝘀𝘁𝘂𝗰𝗸 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲."
G : เยี่ยม นั่นเป็นกระบวนการที่เยี่ยมมาก เป็นวิธีเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองหยุดอยู่แค่ตรงนั้น
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻?
N : หมายความว่าไงครับ❓
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀, 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗽𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱."
G : หมายความว่า จงเปิดใจให้กว้างอยู่เสมอกับสิ่งต่างๆที่เธออาจไม่เคยมีประสบการณ์ถึงมันมาก่อน
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝗜'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝗺𝘆 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗽𝗲𝗻.
N : ตกลงครับ ผมเปิดใจแล้วครับ
𝗚 : "𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗮𝘀𝗲, 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝗴𝗼 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗼 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗽𝘂𝗹𝗹 𝘂𝗽 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆. 𝗧𝗮𝗹𝗸 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 '𝘄𝗮𝗹𝗸 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗹𝗶𝗳𝗲'—𝗱𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘀𝘂𝗱𝗱𝗲𝗻𝗹𝘆 𝗶𝘁 𝗯𝗲𝗴𝗮𝗻 𝘁𝗼 𝗿𝗮𝗶𝗻?"
G : หากเป็นอย่างนั้น เราจะกลับไปยังบางสิ่งที่เธอสามารถดึงออกมาจากความทรงจำของตัวเธอได้ บางสิ่งที่เกี่ยวกับ “การใช้ชีวิตที่ผ่านมา” ของเธอ แล้วเราจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นกัน —นั่นก็คือ เคยมั้ยที่เธอกำลังออกไปเดินเล่นแล้วอยู่ๆฝนก็เริ่มตกลงมา❓
𝗡 : 𝗢𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲. 𝗠𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗼𝗻𝗰𝗲.
N : เคยแน่นอนครับ มากกว่าหนึ่งครั้งด้วย
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱. 𝗡𝗼𝘄 𝗱𝗶𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗮𝗶𝗻𝗳𝗮𝗹𝗹, 𝗮𝘀 𝗮𝗻 𝗮𝗻𝗻𝗼𝘆𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗮 𝗯𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿, 𝗼𝗿 𝗮𝘀 𝗮 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗮 𝗱𝗲𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁?"
G : ดี ทีนี้เธอเคยได้มีประสบการณ์กับช่วงเวลานั้นมาแล้ว ที่เป็นช่วงเวลาที่ฝนได้ตกลงมากระทบตัวเธอจริงๆ ประสบการณ์นั้นได้สร้างความน่าหงุดหงิดและน่ารำคาญใจ หรือว่าได้สร้างความประหลาดใจและความชุ่มชื่นให้กับเธอกันล่ะ❓
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿, 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗼𝘁𝗵. 𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻, 𝗜 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗮𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗶𝘁 𝗮𝘀 𝗮 𝗯𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿. 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗳𝘂𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗵𝗮𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗿𝘁𝗲𝗱 𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗜 𝗿𝗮𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝘀 𝗳𝗮𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗜 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗻𝗼 𝘂𝘀𝗲. 𝗜 𝗴𝗼𝘁 𝘀𝗼𝗮𝗸𝗲𝗱.
N : ผมจำได้ครับ อันที่จริงแล้วผมเคยมีประสบการณ์กับทั้งสองแบบ ผมหมายถึง ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง ตอนที่สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วผมมีประสบการณ์กับมันด้วยความน่าหงุดหงิดใจ ผมโกรธที่ฝนเริ่มตก และผมก็รีบวิ่งไปหาที่กำบังให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ผมเปียกโชก
𝗔𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗜 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝘄𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮 𝘆𝗼𝘂𝗻𝗴 𝗹𝗮𝗱𝘆 𝗳𝗿𝗶𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗺𝗶𝗻𝗲 𝗼𝗻 𝗮 𝘀𝘂𝗺𝗺𝗲𝗿 𝗱𝗮𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗸𝘆 𝗼𝗽𝗲𝗻𝗲𝗱. 𝗪𝗲 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝗽𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗼𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗹𝗼𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗻𝗴 𝘄𝗼𝗺𝗮𝗻 𝗮𝗯𝗿𝘂𝗽𝘁𝗹𝘆 𝘁𝗼𝗿𝗲 𝗵𝗲𝗿 𝗰𝗹𝗼𝘁𝗵𝗲𝘀 𝗼𝗳𝗳 𝗮𝗻𝗱 𝗯𝗲𝗴𝗮𝗻 𝗱𝗮𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻!
𝗦𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝗮𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗼𝗽𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗷𝘂𝗺𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝗷𝗼𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗱𝘂𝗺𝗯𝗳𝗼𝘂𝗻𝗱𝗲𝗱, 𝗺𝘆 𝘀𝗼𝗮𝗸𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗮𝗱 𝗼𝗳 𝗵𝗮𝗶𝗿 𝗳𝗮𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝘀𝘁𝗿𝗲𝗮𝗸𝘀 𝗮𝗰𝗿𝗼𝘀𝘀 𝗺𝘆 𝗳𝗼𝗿𝗲𝗵𝗲𝗮𝗱.
อีกครั้งที่ผมจำได้ ตอนนั้นผมกำลังเดินเล่นกับเพื่อนสาวของผมในวันฤดูร้อน และท้องฟ้าก็เปิดออก เราอยู่ในลานจอดรถที่มีพื้นที่กว้างขวาง เพื่อนสาวของผมอยู่ๆก็ทอดเสื้อของเธอออกทันทีและเริ่มเต้นรำท่ามกลางสายฝน❗ เธอกำลังเต้นรำและกระโดดโลดเต้นด้วยความสนุกสนาน และผมก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เส้นผมเปียกโชกเป็นริ้วๆอยู่ที่หน้าผาก
𝗦𝗵𝗲 𝗹𝗮𝘂𝗴𝗵𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝗺𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗱𝗮𝗿𝗲𝗱 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗷𝗼𝗶𝗻 𝗵𝗲𝗿. 𝗦𝗼 𝗜 𝗱𝗶𝗱. 𝗔𝗻𝗱 𝘄𝗲 𝗱𝗮𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗮𝗿𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗼𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗳𝗶𝘃𝗲 𝗺𝗶𝗻𝘂𝘁𝗲𝘀 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝗹𝗶𝗰𝗲 𝗰𝗮𝗺𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗼𝗳𝗳𝗶𝗰𝗲𝗿 𝘄𝗮𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗻𝗶𝗰𝗲 —𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗮 𝘄𝗼𝗺𝗮𝗻, 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆—
𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗮𝘀𝗸𝗲𝗱 𝘂𝘀 𝘁𝗼 𝗽𝘂𝘁 𝗼𝘂𝗿 𝗰𝗹𝗼𝘁𝗵𝗲𝘀 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝗼𝗻 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘀𝗵𝗲 𝗱𝗶𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗮𝗿𝗿𝗲𝘀𝘁 𝘂𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗰𝗲𝗻𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗼𝘀𝘂𝗿𝗲 𝗼𝗿 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗽𝘂𝗯𝗹𝗶𝗰 𝗻𝘂𝗶𝘀𝗮𝗻𝗰𝗲.
𝗔𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗼𝗳 𝘂𝘀 𝗹𝗮𝘂𝗴𝗵𝗲𝗱, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗲 𝗳𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗿 𝗿𝗲𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗮 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗺𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗳𝗼𝗿𝗴𝗲𝘁. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘀𝗵𝗲𝗲𝗿, 𝘂𝗻𝗯𝗿𝗶𝗱𝗹𝗲𝗱 𝗷𝗼𝘆. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗷𝗼𝘆𝗳𝘂𝗹 𝗺𝗶𝘀𝗰𝗵𝗶𝗲𝗳.
เธอหัวเราะใส่ผมและท้าให้ผมเต้นกับเธอด้วย ดังนั้นผมจึงเต้นไปกับเธอ เราเต้นรำไปรอบๆลานจอดรถนั้นเกือบห้านาทีก่อนที่ตำรวจจะมา เจ้าหน้าที่น่ารักมาก -เธอเป็นผู้หญิง- เธอขอให้เราใส่เสื้อผ้ากลับคืนเพราะเธอไม่ได้ต้องการที่จะจับกุมเราในข้อหาอนาจารหรือสร้างความรำคาญในที่สาธารณะ เราทั้งสามคนหัวเราะ และผมกับเพื่อนก็ทำตามที่เธอขอ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผมจะไม่มีวันลืม มันเป็นความสุขที่แท้จริงและไร้การควบคุม มันเป็นความซุกซนหรือการก่อกวนที่น่ายินดี
𝗚 : "𝗔𝗻𝗱, 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲, 𝗜 𝗸𝗻𝗲𝘄 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁—𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝘆 𝗜 𝘂𝘀𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗲𝘅𝗮𝗺𝗽𝗹𝗲. 𝗡𝗼𝘄 𝗹𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗮𝘀𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗮 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻?"
G : และแน่นอนว่าฉันรู้เกี่ยวกับช่วงเวลานั้นของเธอ —นั่นคือเหตุผลที่ฉันยกตัวอย่างนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ทีนี้ฉันขอถามเธอหน่อยว่า อะไรคือความแตกต่างของฝนที่ตกลงมา❓
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘀𝗼𝗿𝗿𝘆?
N : อะไรนะครับ❓
𝗚 : "𝗜𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝗶𝗻𝗰𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱? 𝗪𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝘄𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿? 𝗪𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗮𝗿𝗱𝗲𝗿? 𝗪𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗿𝗼𝗽𝘀 𝗰𝗼𝗹𝗱𝗲𝗿 𝗼𝗿 𝗯𝗶𝗴𝗴𝗲𝗿?"
G : ฝนที่ตกในเหตุการณ์แรกแตกต่างจากฝนที่ตกในเหตุการณ์ที่สองอย่างไร❓ มันเปียกแฉะมากกว่า❓ มันตกแรงกว่า❓ หรือหยดน้ำฝนนั้นเย็นกว่าหรือใหญ่กว่า❓
𝗡 : 𝗡𝗼. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗮𝘀 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲, 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗻𝗼 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘀𝘁𝗼𝗿𝗺𝘆 𝗼𝗿 𝗳𝘂𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱. 𝗕𝗼𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗻𝗶𝗰𝗲 𝘀𝘂𝗺𝗺𝗲𝗿 𝘀𝗵𝗼𝘄𝗲𝗿𝘀.
N : ไม่ต่างครับ จริงๆแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ในเหตุการณ์ฝนตกครั้งแรกไม่มีพายุหรือความรุนแรงมากไปกว่าเหตุการณ์ครั้งที่สอง ทั้งสองครั้งเป็นฝนตกในฤดูร้อน
𝗚 : "𝗦𝗼 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗪𝗔𝗦 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀?"
G : แล้วอะไร “คือ” ข้อแตกต่างของประสบการณ์ทั้งสอง❓
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝗜 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗺. 𝗠𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲. 𝗜𝗻 𝗼𝗻𝗲 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗜 𝗵𝗮𝗱 𝗼𝗻 𝗮 𝗯𝘂𝘀𝗶𝗻𝗲𝘀𝘀 𝘀𝘂𝗶𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗮𝘀 𝗵𝗲𝗮𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗺𝗲𝗲𝘁𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝘄𝗮𝘀 𝗮 𝗻𝘂𝗶𝘀𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗠𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮 𝗻𝘂𝗶𝘀𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝘁𝗿𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗻 𝗺𝘆 𝗽𝗹𝗮𝗻. 𝗜𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗮𝗻 𝗼𝗯𝘀𝘁𝗮𝗰𝗹𝗲 𝗶𝗻 𝗺𝘆 𝘄𝗮𝘆.
𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝗿𝗲𝘀𝘀𝗲𝗱 𝗾𝘂𝗶𝘁𝗲 𝗰𝗮𝘀𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗮𝗱 𝗻𝗼 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗳𝗶𝗰 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗮𝗻𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗜𝘁 '𝗹𝗼𝗼𝗸𝗲𝗱 𝗹𝗶𝗸𝗲' 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗳𝘂𝗻.
N : วิธีที่ผมมองมันครับ มุมมองที่ผมมีต่อมัน เหตุการณ์แรกนั้นผมสวมสูทและกำลังเดินทางไปประชุมที่สำคัญมาก ซึ่งมุมมองที่ผมมีต่อฝนก็คือสิ่งที่สร้างความน่ารำคาญ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ผมมีมุมมองว่าฝนทำลายแผนการประชุมของผม มันเป็นอุปสรรคในเส้นทางของผม แต่ในอีกเหตุการณ์หนึ่ง ผมกำลังแต่งตัวสบายๆ และไม่มีเวลาเฉพาะเจาะจงว่าผมต้องไปที่ไหน มันก็เลยดูเหมือนว่าการที่ฝนตกนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนุก
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀?"
G : ใช่แล้ว และใครที่เป็นคนสร้างมุมมองเหล่านั้นขึ้นมา❓
𝗡 : 𝗜 𝗱𝗶𝗱, 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲.
N : แน่นอนว่าผมเป็นคนสร้างเองครับ
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝘂𝘀𝗶𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗺𝗲𝗲𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗮𝘀𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁, 𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗵𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘂𝗽 𝗮 𝗹𝗶𝘁𝘁𝗹𝗲 𝗺𝗲𝘀𝘀𝗲𝗱 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘁𝗲𝗹𝘆 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗼𝗼𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿, 𝘆𝗲𝘀? 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗲𝗲𝗻 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘆,' 𝘆𝗲𝘀?"
G : เธอสามารถตัดสินใจได้ว่าการประชุมทางธุรกิจมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หรือการปรากฏตัวที่เลอะเทอะเล็กน้อยนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และมันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อการประชุม ใช่ไหม❓ เธอสามารถ “เห็นมันเป็นแบบนั้นได้” ใช่ไหมล่ะ❓
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀.
N : ใช่ครับ
𝗚 : "𝗦𝗼 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗮𝘀 '𝘂𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆.' 𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗯𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝗶𝘁.
𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗮𝗻𝘆 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱.
G : ตอนนี้ให้ลองคิดว่าฝนนั้นเป็นดั่ง “ความจริงขั้นสูงสุด” เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าฝนกำลังตกได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอเกี่ยวกับฝนได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีที่เธอมองมัน #เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงขั้นสูงสุดได้ #แต่เธอสามารถมีประสบการณ์กับความจริงขั้นสูงสุดนั้นอย่างไรก็ได้ตามที่เธอปรารถนา
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗶𝗴𝗴𝗲𝘀𝘁 𝘀𝗲𝗰𝗿𝗲𝘁 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲."
และนี่คือ “#ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต”
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀𝗻'𝘁 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝘀𝗼 𝗲𝗮𝘀𝘆!
N: แต่การเปลี่ยนวิธีการมองมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นเสมอไปนะครับ❗
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗜𝗦 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀 𝘀𝗼 𝗲𝗮𝘀𝘆."
G : มันง่ายดายเสมอนั่นแหละ
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝗳 𝗜 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝗜 𝗹𝗼𝗼𝗸𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗿𝗮𝗺𝗮 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗴𝗼 𝗮𝘄𝗮𝘆.
N : แต่ถ้าผมเปลี่ยนวิธีการมองที่ผมมีต่อบางสิ่งบางอย่าง ละครชีวิต (เรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจในชีวิต) ทั้งหมดก็จะหายไปนะครับ
𝗚 : "𝗔𝗵, 𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗲'𝗿𝗲 𝗴𝗲𝘁𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗶𝘁..."
G : อ่า มาถึงเรื่องนี้จนได้สินะ...
𝗡 : 𝗙𝗼𝗿 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗦𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝗵 𝗥𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗻𝗰𝗲—"𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁.' 𝗚𝗼𝘀𝗵, 𝗶𝗳 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗮𝘀 𝗮 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗰𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝘀 𝗶𝘁𝘀 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗿𝗮𝗺𝗮 𝗯𝗲? 𝗛𝗼𝘄 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘄𝗲 𝗴𝗲𝘁 𝗮𝗻𝗴𝗿𝘆, 𝗼𝗿 𝗯𝗲 𝘀𝗮𝗱, 𝗼𝗿 𝗺𝗼𝘂𝗿𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗼𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗼𝗻𝗲𝘀? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗜𝘁𝗮𝗹𝗶𝗮𝗻𝘀 𝗱𝗼?
N : ยกตัวอย่างเช่น ความทรงจำที่ 7️⃣ ที่กล่าวว่า—“ความตายไม่มีอยู่จริง” สวรรค์ ถ้ามนุษยชาติโดยรวมยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง แล้วละครชีวิตทั้งหมดจะเป็นไปได้ (แสดง) ยังไงกันล่ะครับ❓ เราจะโกรธ เสียใจ หรือคร่ำครวญถึงการสูญเสียคนที่เราได้ยังไง❓ แล้วชาวอิตาลีจะทำอย่างไร❓★
★เรื่องมุขชาวอิตาลีนี่ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗳𝘂𝗻𝗻𝘆."
G : นั่นตลกมาก
𝗡 : 𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗜𝘁𝗮𝗹𝗶𝗮𝗻𝘀 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘀𝗼?
N : พระองค์คิดว่าชาวอิตาเลียนจะคิดอย่างนั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗢𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹. 𝗧𝗵𝗲𝘆'𝗹𝗹 𝗹𝗮𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗼𝘂𝗱𝗲𝘀𝘁."
G : แน่นอนว่าพวกเขาจะคิดแบบนั้น พวกเขาจะเป็นคนที่หัวเราะดังที่สุด
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗕𝘂𝘁 𝘀𝗲𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆, 𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆—𝗰𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗯𝗲 𝘁𝗿𝘂𝗲? 𝗜𝘁'𝘀 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁'𝘀 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗻𝗼𝗿𝗺𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲.
N : ก็ได้ครับ อันนี้จริงจังนะครับ ผมหมายถึง – มันจะเป็นจริงได้หรือครับ❓ การที่พระองค์บอกว่า 'ชีวิตหลังความตาย' มีอยู่จริงนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง (ที่พวกเราพอทำใจให้ยอมรับหรือเชื่อความจริงนี้ได้) แต่การที่พระองค์บอกว่า 'ความตายไม่มีอยู่จริง' นั้นเป็นอีกเรื่องที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงเลยนะครับ (ยากที่เราจะยอมรับ) พระองค์กำลังพูดถึงบางสิ่งที่ใหญ่โตและสำคัญมากๆที่นี่ (ที่ส่งผลต่อความเชื่อของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก)
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗶𝘁 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗲𝘄.
G : เธอทำให้มันดูเหมือนกับเป็นเรื่องใหม่อย่างนั้นแหละ
"𝗜𝗻 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗜'𝘃𝗲 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗾𝘂𝗼𝘁𝗲𝗱—𝗻𝗼 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗿𝗲𝗹𝗶𝗴𝗶𝗼𝗻, 𝗻𝗼 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗰𝘂𝗹𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗻𝗼 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗶𝗼𝗱 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁
—𝗜'𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱 𝗮𝘀 𝗱𝗲𝗰𝗹𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁—𝗻𝗼𝘁 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗼𝗳 𝗶𝘁, 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 '𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲."
แทบจะในทุกๆที่ที่ฉันกล่าวถึงเรื่องของความตาย —ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นศาสนาใด ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบใด และไม่เกี่ยวว่าจะเป็นในช่วงเวลาใดของบริบทใดๆ —ฉันได้อธิบายอย่างถูกต้องโดยการประกาศไว้ว่าความตายไม่มีอยู่จริง— แต่มันไม่ใช่ในแบบที่พวกเธอส่วนใหญ่คิด นั่นก็คือพวกเธอส่วนใหญ่คิดว่าความตายคือจุดจบของทุกชีวิต แต่มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “จุดจบของชีวิต”
𝗡 : 𝗦𝗼 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝘀 𝗮 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁.
N : ดังนั้น “ความตาย” ตามประสบการณ์ของมนุษย์จึงมีอยู่จริง
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝘆𝗲𝘀. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝗯𝘂𝘁 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁.
G : ความตายถือเป็นจุดสิ้นสุดของการดำรงอยู่ในรูปแบบทางกายภาพในปัจจุบันของเธอ หากเข้าใจแบบนี้ก็ใช่ ความตายคือการที่ประสบการณ์ของเธอในชาติภพนี้ ด้วยชีวิตในรูปแบบนี้สิ้นสุดลง แต่ตัวชีวิตเองนั้นหาได้สิ้นสุดลงไม่
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗱, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗴𝗼𝗱𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗹𝗶𝗴𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗱𝗲𝗰𝗹𝗮𝗿𝗲 𝗶𝘁."
หากเธอเชื่อในพระเจ้า เธอก็ต้องมีความเชื่อในเรื่องชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเจ้าของทุกศาสนาประกาศเช่นนั้น
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗳 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗱?
N : แล้วถ้าผมไม่เชื่อในพระเจ้าล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝘆 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗼. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝘀 𝗼𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲."
G : นั่นอาจเปลี่ยนสิ่งที่เธอได้ประสบ แต่จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นเช่นนั้น★ สิ่งที่เธอจะได้ประสบคือสิ่งที่เธอเชื่อ และสิ่งที่เธอเชื่อก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของเธอ
★ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พระเจ้าหรือจิตจักรวาลก็ยังมีอยู่จริงอยู่ดี –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 '𝘀𝗲𝘁 𝘄𝗮𝘆' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀? 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲.
N : มันไม่มี “สิ่งที่ถูกกำหนดไว้” อยู่เลยหรือครับ (หลังจากที่เราตาย)❓ ไม่มีสิ่งใดหรือชุดเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นกับใครเลยงั้นหรือ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 '𝘀𝗲𝘁' 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿—𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗻𝗼𝘁 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝗿𝗶𝗻𝗴."
G : มีสิ่งที่ถูก “กําหนดไว้” เกิดขึ้นหลังจากที่เธอตาย แต่เธออาจไม่รับรู้ว่าพวกมันกำลังเกิดขึ้น
𝗡 : 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘀𝘁𝗮𝗿𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗰𝗼𝗻𝗳𝘂𝘀𝗶𝗻𝗴.
N : ผมงงไปหมดแล้วครับเนี่ย
𝗚 : "𝗦𝗼𝗿𝗿𝘆. 𝗕𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗶𝘃𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲."
G : โทษทีนะ แต่ความจริงก็คือในห้วงขณะแห่งความตาย เธอจะได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่เธอเชื่อ และ ความเชื่อของเธอจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอรับรู้ และการรับรู้ของเธอจะขึ้นอยู่กับมุมมองของเธอ
𝗡 : 𝗔𝗻𝗱 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗻𝗼 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝘆 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲?
N : ไม่มีโอกาสที่การรับรู้ของผมจะเปลี่ยนแปลงได้เลยเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗔𝗯𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀. 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗰𝗮𝗻 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵."
G : มีแน่นอน เช่นเดียวกับชีวิตก่อนตาย การรับรู้ของเธอสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชีวิตหลังความตาย
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗼𝗿 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁?
N : อะไรที่ทําให้การรับรู้เปลี่ยนไปได้ครับ❓
𝗚 : "𝗔 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲."
G : การเปลี่ยนมุมมองของเธอไงล่ะ
𝗡 : 𝗦𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗶𝗻 𝗮 𝗻𝗲𝘄 𝘄𝗮𝘆
N : การมองเห็นสิ่งต่างๆในรูปแบบใหม่
𝗚 : "𝗦𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗶𝗻 𝗮 𝗻𝗲𝘄 𝘄𝗮𝘆.
G : การมองเห็นสิ่งต่างๆในรูปแบบใหม่
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁?
N : แต่อะไรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองได้ล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗔 𝗹𝗼𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀—𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁𝗹𝘆 𝘀𝗲𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗶𝘀𝗻'𝘁 𝘄𝗼𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲. 𝗦𝘂𝗰𝗵 𝗮 𝗱𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲."
G : หลายสิ่งหลายอย่างเลย —รวมถึงการตัดสินใจของเธอในห้วงขณะหลังความตายของเธอด้วย เมื่อเธอรู้ว่าวิธีที่ใช้เธอมองสิ่งต่างๆในปัจจุบันนั้นมันไม่ได้ผล นั่นคือ มันไม่ได้นำประสบการณ์ที่เธอเลือกที่จะมีมาให้เธอ การตัดสินใจเปลี่ยนวิธีมองจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้ในทันที
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝗼𝗸𝗮𝘆...𝘀𝘂𝗽𝗽𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁...𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝘁𝗮𝗹𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗶𝗻𝗴 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝘀 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝗼 𝗼𝗻 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲?
N : โอเคครับ โอเค...สมมติว่าเราก็แค่...มีวิธีไหนบ้างไหมครับที่ผมจะขอให้พระองค์อธิบายว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้วงขณะแห่งความตาย และช่วงเวลาหลังจากนั้น❓
𝗚 : "𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝘆 𝘁𝗼 𝘁𝗮𝗹𝗸 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗯𝘂𝘁, 𝗮𝘀 𝗜'𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱, 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻."
G : ฉันยินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับ “ทางเลือกต่างๆ” แต่อย่างที่ฉันพูดไป ทางเลือกจะแตกต่างกันไปสําหรับทุกคน
𝗡 : 𝗚𝗶𝘃𝗲 𝗺𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝘁𝗵𝗲𝗻.
N : งั้นบอกบางทางเลือกกับผมได้ไหมครับ
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗮𝘀𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗯𝗶𝗴 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗬𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗴𝗲𝘁 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄?"
G : เธอกำลังถามคำถามที่สำคัญมากอยู่นะ เธออยากรู้ในตอนนี้เลยจริงๆหรือ❓
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀. 𝗜'𝘃𝗲 𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗹𝗼𝗻𝗴 𝗲𝗻𝗼𝘂𝗴𝗵. 𝗜 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗱𝗶𝗲.
N : ใช่ครับ ผมรอมานานแล้ว ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราตาย
(((จบบทที่ 13)))
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
HOME WITH GOD
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย