5 พ.ค. 2023 เวลา 06:21 • ธุรกิจ

ถอดแนวคิด เกษตรก้าวหน้า ‘นาวิต้าฟาร์ม’ พัฒนาฟาร์มเมล่อนอัจฉริยะ

มองเป็น เห็นโอกาส Bangkok Bank SME พามาพูดคุยกับคุณสุวิทย์ ไตรโชค เจ้าของธุรกิจ ‘นาวิต้าฟาร์ม’ แห่งบริษัทนาวิต้าฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME ในโครงการเกษตรก้าวหน้า โดยธนาคารกรุงเทพ มายาวนานกว่า 10 ปี จะมาเผยเคล็ดลับการทำการเกษตรแบบก้าวหน้าอย่างไร? ให้สินค้าติดตลาดระดับพรีเมียมแบบไม่ต้องง้อคนกลาง บทความนี้มีคำตอบ
📌แนวคิดธุรกิจเกษตรก้าวหน้าที่เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ 30 กว่าปีก่อน...
ฟาร์มเมล่อน ที่เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวตระกูล ‘ไตรโชค’ เมื่อปี 2529 ด้วยความตั้งใจจะพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้เป็นอาชีพที่มีรายได้มั่นคง เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน
ในช่วงแรกฟาร์มแห่งนี้ปลูกเมล่อนเพียง 100 ต้นเท่านั้น แต่ด้วยการเป็นนักพัฒนาที่อยู่ในสายเลือด ทำให้คุณสุวิทย์ สามารถพัฒนา ‘นาวิต้าฟาร์ม’ จนกลายเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่นเกรดพรีเมียม และยังแตกกิ่งก้านสาขาต่อยอดธุรกิจ ‘ฟาร์มคอนเน็คเอเชีย’ เพื่อยกระดับเกษตรกรรมของไทยด้วยระบบ IoT ที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทยอีกด้วย
คุณสุวิทย์ เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดขึ้นมากว่า 30 ปี มีการพัฒนาเทคนิคมาเรื่อย ๆ เนื่องจากตนจบการศึกษาด้านวิศวกรรม และได้มีโอกาสไปอบรมเกี่ยวกับการเกษตรเพิ่มเติม(ช่วงที่ทำงานเป็นวิศวกรอยู่การบินไทย)ที่ประเทศอิสราเอล จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบน้ำเป็นพิเศษ และนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ เมื่อทดลองปรับใช้กับการทำฟาร์ม โดยให้น้ำและปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยด พบว่ามีความสม่ำเสมอ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีจนเริ่มทำกำไรได้ ซึ่งเราเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ใช้ระบบน้ำหยดแบบนี้”
การนำความรู้ด้านวิศวกรรมมาผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการเกษตร ที่สั่งสมประสบการณ์มานับสิบปี จุดประกายให้ ‘นาวิต้าฟาร์ม’ ผลิตพืชผลทางการเกษตรคุณภาพระดับพรีเมียมออกมาสู่ตลาดในประเทศ ขายได้ราคาดี และยังส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย
📌ปลูกผลไม้อย่างไร ให้ได้คุณภาพเทียบเท่าผลไม้เกรดพรีเมียมในญี่ปุ่น...
คุณสุวิทย์ กล่าวว่า หัวใจสำคัญเริ่มจากเมล็ดพันธุ์ เราโชคดีเพราะมีพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์เป็นบริษัทในญี่ปุ่น เขามีชื่อเสียงมาก สามารถหาเมล็ดพันธุ์จากทุกบริษัท(ที่ผลิตเมล็ดพันธุ์)ในญี่ปุ่นได้ มีคอนเนกชันโดยตรงกับผู้พัฒนาเมล็ดพันธุ์เกือบทุกบริษัทในญี่ปุ่นให้พัฒนาเมล่อนพันธุ์พิเศษสำหรับเราโดยเฉพาะ ซึ่งคนอื่นหาซื้อไม่ได้
ปัจจุบัน ‘นาวิต้าฟาร์ม’ ผลิตเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยมี 4 สายพันธุ์ซิกเนเจอร์ ได้แก่ Green Pearl Melon เนื้อสีเขียว เนื้อนุ่ม หวานหอมสดชื่น, Orange Pearl Melon เนื้อสีส้ม หวาน หอมละมุน Orange Rocky Melon เนื้อสีส้ม หวานปานกลาง เนื้อแน่น โดดเด่นที่กลิ่นหอมฟุ้ง และ Green Rocky Melon เนื้อสีเขียว เนื้อกรอบ หวานหอมสดชื่น ยิ่งเคี้ยวยิ่งหวาน
นอกจากนี้ ยังมี แตงโม ซึ่งมีทั้งสายพันธุ์ Melody เนื้อสีแดงไร้เมล็ด ไซซ์ใหญ่พิเศษ และสายพันธุ์ Thunder เนื้อสีเหลืองส้ม รสหวานกรอบฉ่ำน้ำ รวมถึงขณะนี้กำลังทดลองปลูกแตงโมสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่คาดว่าจะขายได้ราคาดี ที่ญี่ปุ่นแตงโมพันธุ์พิเศษขายได้ราคา 3,000-4,000 บาทต่อผล
ความพิเศษที่ทำให้ผลไม้จาก ‘นาวิต้าฟาร์ม’ ถือเป็นแรร์ไอเทม คือช่องทางจำหน่าย โดยจะเปิดรอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของฟาร์ม และขึ้นเชลฟ์วางจำหน่ายใน DONKI (ดองกิ) ร้านค้า Super Market ชื่อดัง ประเภทของใช้ และอาหารคุณภาพดีที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมี 6 สาขาในไทย
คุณสุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำฟาร์มเมล่อน หากอาศัยเมล็ดพันธุ์จากญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถรักษาคุณภาพผลผลิตให้เทียบเท่าผลไม้ที่ปลูกในญี่ปุ่นได้ ด้วยความแตกต่างทางสภาพอากาศ น้ำ และดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของพืช การนำเมล็ดพันธุ์จากญี่ปุ่นมาเพาะปลูกในไทย จึงต้องนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) Controller and Sensors เข้ามาช่วย
📌ฟาร์มเมล่อน ต่อยอดนวัตกรรม ‘ตู้คอนโทรลอัจฉริยะ’ โดย ‘ฟาร์มคอนเน็ค เอเชีย’ เกษตรก้าวหน้าแบบไร้โรงเรือน
คุณสุวิทย์ เล่าย้อนกลับไปว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่มีระบบ IoT Controller and Sensors ที่ทันสมัย ทำให้เกษตรกรที่ทำฟาร์มต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวในการวัดอุณหภูมิ ความชื้น แสงแดด ความสมบูรณ์ของต้นพืช
เพื่อคำนวณปริมาณการให้น้ำและปุ๋ยในแต่ละช่วงอายุของพืช ซึ่งดูจะเป็นวิธีที่ได้ผลดี ยกเว้นในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวน เพราะการไม่มีพารามิเตอร์จากระบบ IoT Controller and Sensors ส่งผลให้ไม่สามารถปรับการดูแลพืชตามสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ทันท่วงที ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตในบางครั้ง
“ล่าสุด เราต่อยอดสู่อีกหนึ่งธุรกิจคือบริษัทฟาร์มคอนเน็ค เอเชีย จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่าย IoT Controller and Sensors และจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำสำหรับแปลงเกษตรผ่าน ‘ฟาร์มคอนเน็ค เอเชีย’ โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เป็น ‘ตู้คอนโทรลอัจฉริยะ’ ระบบ Smart IoT Controller และ Sensors สามารถเก็บข้อมูลสภาพอากาาศ ดิน น้ำ ฝนได้ทั้งหมดเพื่อนำมาทำ Data Analiytics และสร้าง Crop Profiles
สำหรับแต่ละพืช แต่ละพื้นที่
ระบบของเรา เน้น 4 เรื่องหลัก คือ 1. User Friendly 2. High Reliability 3. Easy to Maintenance และ Flexibility เช่น เมื่อเกษตรซื้อ Controller จากเราไปใช้กับฟาร์มขนาด 1 ไร่ หากจะขยายเป็น 10 ไร่ ก็ใช้ Controller ตัวเดิมได้ เพียงแค่อัพเกรดซอฟต์แวร์ และหรือฮาร์ดแวร์เล็กน้อย เมื่อเรามีระบบ Sensors ที่ช่วยวัดอุณหภูมิในอากาศ วัดความเข้มของแสง วัดความเร็วลม-ทิศทางลม วัดความชื้นดิน วัดค่า pH ในดิน วัดค่าEC(ความเข้มข้นของปุ๋ย) และอื่น ๆ ประสิทธิภาพในการผลิตของเราจึงเพิ่มขึ้นมาก”
การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้เราลดความเสี่ยงและความเสียหายลงได้ และยังสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้นจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ Sensors ซึ่งหากสำเร็จถึงเป้าหมายสูงสุด จะสามารถออกแบบระบบควบคุมแบบเรียลไทม์ (Real-time Controller) เพียงกดปุ่ม Start ปุ่มเดียวเท่านั้น ทุกอย่างจะเป็นกระบวนการอัตโนมัติทั้งหมด
“ระบบ Controller ที่เราขายจะมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือขายให้กับลูกค้าทั่วไป อีกส่วนหนึ่งจะเป็นลูกศิษย์ที่เราเคยสอน ถ้าเขาได้ Controller ของเราไป จะช่วยให้ทำการเกษตรได้ง่ายขึ้น เราตั้งเป้าหมายว่า อยากสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้เพาะปลูกเมล่อน 100 ราย โดยทุกรายใช้ Controller ทั้งหมด รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกแตงโม สับปะรด มะละกอ กล้วย และอื่น ๆ รวม 10 ชนิดพืช หากเราสร้างเกษตรกรได้พืชละ 100 ราย เท่ากับเราจะมีเครือข่ายเกษตรกรทั้งหมด 1,000 ราย”
คุณสุวิทย์ ขยายความว่า หากทำให้เกษตรกร 100 รายเริ่มมาเรียนรู้จากเรา และปรับใช้ IoT Controller and Sensors ในการควบคุมการให้น้ำให้ปุ๋ยตามที่พืชต้องการแต่ละช่วงอายุสำเร็จ เป้าหมายคือ หลังจาก 3 ปีที่เรียนรู้คาดหวังว่าเกษตรกรจะสามารถทำกำไรได้ปีละ 1 ล้านบาทต่อราย
นอกจากนี้ ในแง่ของการจัดการปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชของการปลูกพืชแบบไร้โรงเรือน จะมีวิธีปลูกพืชหมุนเวียน สลับสับเปลี่ยนกันไป เพื่อป้องกันการเป็นแหล่งอาหารถาวรของแมลงศัตรูพืช ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้โรงเรือน แต่ยังคงได้ผลผลิตคุณภาพดีจนติดตลาดพรีเมียม
คุณสุวิทย์ ทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่า เมล็ดพันธุ์จากญี่ปุ่น แม้มาปลูกที่ไทย แต่เราทำคุณภาพเทียบเท่าญี่ปุ่นได้ คือ ทุกวันนี้สินค้าเราขายได้ในราคาแพงที่สุดเหมือนเดิมมาตลอด 30 ปี และเราคือฟาร์มที่ขายแพงที่สุดในประเทศไทย เพราะเราขายสินค้าคุณภาพดี พรีเมียม จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง”
ติดตามเรื่องราวของ ‘นาวิต้าฟาร์ม’ และ ‘ฟาร์มคอนเน็ค เอเชีย’ ได้ที่
โฆษณา