ในหนังสือ Climate Change: How We Can Get to Carbon Zero ที่จัดทำโดย WIRED Guides (เจ้าของเดียวกับ WIRED Magazine อันโด่งดัง) พูดถึงเรื่องสำคัญหลายเรื่อง ทั้งการใช้พลังงาน การขนส่ง (transport) อาหาร การลดความสิ้นเปลือง (tackling waste) ตลาดคาร์บอน (carbon markets) และ การดักจับคาร์บอน (carbon capture)
3
เรื่อง carbon capture นี้น่าสนใจ ผมเคยก็อปข่าวหนึ่งของ BBC เก็บเอาไว้ พาดหัวข่าวคือ Climate change: New idea for sucking up CO2 from air shows promise ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2023
2
ไอเดียหลักก็คือ การลดการปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างเดียวนั้นไม่ทันการ เราต้องกำจัดคาร์บอนที่มีอยู่แล้วในอากาศด้วย (carbon dioxide removal – CDR) และหนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือ Direct Air Capture (DAC)
บริษัทสตาร์ตอัปสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ชื่อว่า Climeworks ได้ใช้เทคโนโลยี DAC เพื่อลด CO2 โดยผลงานล่าสุดคือ “Orca” โรงงานดักจับคาร์บอนในไอซ์แลนด์ ที่สามารถลด CO2 ในอากาศได้ปีละ 4,000 ตัน เทียบเท่ากับต้นไม้ 400,000 ต้น
3
หลักการของ DAC คือการใช้พัดลมดูดอากาศเข้ามาในตัวเครื่อง ใช้ตัวกรองจับ CO2 เอาไว้ จากนั้นก็เพิ่มอุณหภูมิในตัวเครื่องให้สูงถึง 100 องศาเพื่อให้ CO2 บริสุทธิ์หลุดจากตัวกรอง แล้วนำไปผสมกับน้ำ จากนั้นจึงส่งน้ำ CO2 นี้ลงไปใต้ดินลึกหลายกิโลเมตร เก็บไว้ในชั้นหินบะซอลต์ แล้วมันจะค่อยๆ กลายเป็นหินภายในเวลาไม่กี่เดือน
8
การจัดเก็บ CO2 เอาไว้ใต้ดินอย่างปลอดภัยนั้นใช้เทคโนโลยีของอีกบริษัทหนึ่งชื่อว่า Carbfix ดูวีดีโอการทำงานของทั้ง Climeworks และ Carbfix ได้ที่ YouTube: World’s largest carbon dioxide sucking factory opens in Iceland – BBC News
8
แต่สิ่งที่โรงงาน Orca ทำได้นั้นถือว่าค่อนข้างเล็กน้อย – CO2 4,000 ตันที่ดักจับได้ต่อปีเท่ากับการปล่อยก๊าซ CO2 ของรถยนต์แค่ 800 คันเท่านั้น
สำหรับรายละเอียดเชิงลึก ใครที่ภาษาอังกฤษดีๆ แนะนำให้อ่านบทความนี้ของ TechCrunch: A step forward for CO2 capture Iceland’s unique volcanic geology provides an ideal environment for technology to filter air and store carbon
1
และเพื่อความสมดุลในมุมมอง ควรไปดูวีดีโอที่วิจารณ์ว่าทำไมวิธีการลด CO2 แบบ Direct Air Capture ไม่เมคเซนส์ได้ที่ YouTube: Carbon Capture Isn’t Real จัดทำโดยช่อง Adam Something ที่มีผู้ติดตามเกินหนึ่งล้านคน
9
ปัจจุบัน ปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศคือ 420 ppm (parts per million) ซึ่งสูงขึ้น 50% เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม (280 ppm) เมื่อ 200 ปีที่แล้ว
ผมใช้บล็อก Anontawong’s Musings เพื่อสร้างความรับรู้เกี่ยวกับ 2% GDP และ Direct Air Capture เพื่อลด CO2 ในชั้นบรรยากาศ โดยหวังว่ามันจะกระตุ้นให้คนหันไปศึกษาเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เพื่อจะเกิดการพูดคุยและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง