ที่จริง โดยตัวของบัตรเครดิต ไม่ได้เลวร้ายตรงไหนเลยค่ะ ส่วนตัวกลับมองว่า หากถือไว้สัก 1 ใบ แล้วค่อยอัพเกรดมันไปเรื่อยๆ ตามระดับรายได้และฐานานุรูป มันก็มีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เราเริ่มต้นอาชีพลูกจ้างในสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่องค์กรร้องขอให้พนักงานช่วยสมัครทำบัตรเครดิต ง่ายๆ ก็เพื่อช่วยผลักดันยอดบัตรเครดิต และยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรนั่นเอง
ในยุคนั้นคือยังมีการเก็บค่า fee รายปีอยู่ แต่ก็ยังมีกำหนดเงื่อนไข no fee หากคุณมีการใช้จ่ายผ่านบัตรตามยอดที่กำหนด ยุคนั้นบัตรเครดิตเปรียบเสมือน purse ใบหนึ่ง ที่คุณไม่ต้องพกเงินสดติดตัวจำนวนมาก แถมได้รับเอกสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้ออกบัตรทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคะแนนสะสมยอดการใช้จ่ายผ่านบัตร สามารถเปลี่ยนเป็นคูปองเงินสด หรือเป็นคะแนนแลกสินค้าอรรถประโยชน์ต่างๆ ตามโบรชัวร์ผู้ออกบัตร หรือแม้แต่การใช้เล้าจน์ตามสนามบิน
คุณจะไม่ตกเป็นทาสมัน ก็ต่อเมื่อคุณชำระยอดครบจำนวนที่ได้ใช้จ่ายไป ในแต่ละรอบการเรียกเก็บทุกครั้ง ที่สำคัญอย่าใช้บัตรเบิกถอนเงินสดเด็ดขาด! เพราะการเบิกถอนทุกครั้งจะมี fee ที่ไม่ได้ให้คุณถอนไปใช้ฟรีๆ!
ต้องไม่ลืมว่าบัตรเครดิต จะคิดดอกเบี้ยจาก 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือ คิดจาก "ยอดทั้งหมด" ตั้งแต่ "วันที่รูดซื้อ" จนถึง"วันที่ชำระขั้นต่ำ" และส่วนที่สองคือ คิดจาก "ยอดคงเหลือ" ตั้งแต่ "วันที่ชำระขั้นต่ำ" จนถึง "วันสรุปยอดเดือนถัดไป" หมุนทบไปเรื่อยๆ ดังนั้นตราบเท่าที่คุณเลือกจะชำระขั้นต่ำไปเรื่อยๆ เกมหนี้บัตรเครดิตที่พอกพูนอย่างรวดเร็ว จึงชนะคุณเห็นๆ ที่สุดคุณก็จะเป็นทาสมันอย่างหนีไม่พ้น......เป็นทาสแมวหมา หรือทาสภรรยา ยังดีเสียกว่า!
หนี้บัตรเครดิตส่วนใหญ่จึงเกิดจาก
การชำระรอบการเรียกเก็บ"ที่ขั้นต่ำ"
คุณทำแบบนี้เพียงรอบเดียว
สถาบันการเงินก็ได้กำไรแล้ว!
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
