11 พ.ค. 2023 เวลา 23:29 • ความคิดเห็น
เรื่องพรหมวิหาร ควรจะย้อนกลับมาดูแลจิตของตน จิตที่ต้องมีกาย มีกรรมเกิดขึ้นด้วยความโลภโกรธหลง มีการสะสมกรรม ดึงเข้ามาสู่กายสู่จิตสู่ธาตุทั้งสี่ คือ พระแม่พระธรณี พระแม่พระคงคา พระแม่พระเพลิง พระแม่พระพาย ..สู่ธาตุทั้งสองของพ่อแม่ที่จิตนั้นอาศัยอยู่ สิ่งที่บันทึกเข้ามา ก็มาจากเรื่องของวิญญาณทั้งหก ที่เราไปสัมผัส สัมผัสคนนั้นคนนี้ เป็นลักษณะที่เรียกว่า คล้องเวรกรรมกันอยู่ พัวพันกันอยู่
แล้วก็เกิดมีการบันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสี่ เก็บสะสมทั้งดีไม่ดี ไปตลอดชีวิต เป็นหลักฐานของกรรมของจิตแต่ละดวง ธาตุทั้งสี่ก็บันทึก ยังมีอีกหนึ่ง เค้าเรียกว่า มารก็จดบันทึก สิ่งนี้แหละ ที่จะไปดึงเจ้ากรรมนายเวร ขัดขวาง ให้เกิดการกระทำ ในสิ่งที่ไม่สมควรทำ
1
จิตดวงใดยิ่งมีทิฐิอยากทำชั่ว..มารก็ยิ่งส่งเสริม ..ส่งเสริมให้ลืมเลือน..ที่จะสร้างเรื่องราวดีๆให้แก่จิตของตนเอง แล้วก็จะปิดจิตให้ไม่รู้จักดีชั่ว คือ เป็นคนรู้ดี รู้มาก ฉลาด..มีการศึกษาดี มีการศึกษาสูงๆ น่านับถือ..แต่มุ่งมั่นทำเรื่องชั่วๆเป็นนิจสิน ถามว่าเค้ารู้ตัวมั้ย ..เค้าไม่รู้จักเลย.
…เพราะจิตนั้นถูกปิดไปเสีย ..หูเค้าก็ถูกปิด ปากก็ถูกปิด จะนำมาสวดมนต์ ที่มีแต่คำสูงๆ สัมมาอะระหัง จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในธาตทั้งสองของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าขอนำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดามากราบพระ ก็จะพูดออกมาเป็นลมปากให้หูตัวเองได้ยินไม่ได้เลย เพราะปากมันหนักด้วย วาจาที่เป็นกรรม หูก็จะฟังหาแต่สถานที่จะไปสร้างกรรม แต่พอใครบอกกล่าวให้สร้างบุญกุศลบารมี ..กลับหงุดหงิดโมโห หาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ..ปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้ ..นั้นก็..จิตที่ไม่รับบุญ จิตที่จะต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานต่อไป
ผู้ที่รู้จักกรรม เค้าก็เมตตา กรุณา ช่วยเหลือจิตของตน ด้วยการให้ทาน ทำบุญ แบ่งเวลาทางโลก มาประพฤติปฏิบัติธรรม ..กราบพระ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมภาวนา เพราะจิตเรานั้นชีวิตของเรามันอยู่กับโลกตลอดเวลา เราก็แบ่งเวลาให้ตัวเอง ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ..เพื่อให้มีการบันทึกเรื่องราวดีๆให้กับจิต ที่จะเกิดเป็นกุศล ติดตามไปกับจิตของตน
เมื่อจิตเคลื่อนที่จากกาย เราเมตตากรุณา..ผู้อื่น ..มันก็ดี แต่ก็จะดียิ่งขึ้น เมื่อเรารู้จักคำว่า จิตต้องการบุญกุศลบารมี สะสมไปกับจิต เพราะกายมนุษย์เค้าให้เราอาศัยเวลาน้อยนิด หากจิตเราสะสมแต่กรรมมาก ธาตุทั้งสี่ก็จะไปประกอบสถานที่ทุกข์ยาวนาน เป็นหมื่นเป็นแสนปี
หากเรามีบุญบารมี เราทำกายให้เป็นบุญเกิดกายบุญ นั่นก็คือ กายของเทพยดาอินทร์พรหม เราสะสมไว้มากเรื่องบุญกุศล เราก็ได้กายบุญเป็นที่อาศัยยาวนาน
ยุคสมัยนี้..โลกมันวุ่นวาย ..เพราะผู้ที่มาเกิดมาอาศัยกายมนุษย์ จิตเค้ามาจากอบายภูมิสถานทีไม่รู้จักดีชั่ว ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นคุณต่อจิต ไม่รู้จักคำว่าศาสนา ไม่รู้จักดีชั่ว มุ่งมั่นจมอยู่กับโลภโกรธหลง สร้างแต่กรรม สถานที่ใดเข้าสร้างกรรมกัน ก็จะวิ่งเข้าไปหา สถานที่ใดสร้างบุญกุศล เค้าก็ถอยหนี ด้วยนิสัยที่ติดตามกับธาตุทั้งสี่ที่ประกอบเรือนกาย
เมื่อมีกายเป็นมนุษย์เหมือนกัน ..แต่รากเหง้านิสัยสันดาน มาจากอบายภูมิ ..คนเก่งคนฉลาดก็ใช่ว่ามาจากสถานที่ดีๆ คนเก่งคนฉลาด เหมือนเทวทัตตกนรก ก็ขึ้นมาเกิด .โลกก็จะวุ่นวายมากยิ่งขึ้น ..เราก็มองความวุ่นวายที่พบเห็น เห็นใครเค้าทำดี เราก็อนุโมทนา เป็นเรื่องของความมุทิตา ยินดีด้วยที่เห็นเค้าทำดี..หรือ เราไปเห็นคนทำบุญทำทาน ให้ทานแก่สั่สัตว์ หรือ ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยา จิตเราก็อนุโมทนานสิ่งที่เค้ากระทำ.สร้างบุญกุศลบารมี ..
เห็นใครเค้าทำชั่ว เราก็ไม่ต้องไปติเตียน ไม่ต้องวิจารณ์ให้มากเรื่อง อนุโมทนาในเรื่องที่เค้าทำชั่ว ด้วยกายวาจาใจของเค้าเอง เราก็ระมัดระวังอย่าให้จิตเราไปพัวพัน นั่นก็เป็นเรื่องของอุเบกขาของจิต ยับยั้งจิตไม่ให้ลื่นไหลไปกับอารมณ์นึกคิด ที่จะสอดแทรกขึ้น เห็นตัวเองดีแล้ว อวดเก่ง อวดดีด้วยความหลงของตัวเอง
สิ่งเหล่านี้ จะนำพาให้เกิด หนุนนำไปสู่คำว่าพรหมวิหาร ให้จิตอยู่ในวิหารธรรม ที่เป็นพรหม
เราสลัดละทิ้งความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวออกไปสลัดละทิฐิความคิดเห็นเยี่องนั้นออกไป มีความเห็นอกเห็นใจกันเกิดขึ้น ..จิตของเรา ..จิตน่ะ..ไม่ใช่กาย ..จิตก็ค่อยๆสงบ ไม่วุ่นวายไปกับความวุ่นวายของโลก ด้วยสิ่งที่เราใคร่ครวญ พิจารณา ให้เกิดวิหารธรรมเกิดขึ้นที่จิตของตนเอง ไม่ต้องไปปั่นอุปโลกน์รูปพรหมที่ไหน ทำจิตของเราเองให้เป็นพรหม ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในวิหารธรรม ด้วยเมตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาห้อมล้อมจิตของตนเอง ให้สร้างทานบุญกุศลบารมี หนุนนำให้เกิดเป็นสติปัญญารักษาจิตในวิหารธรรมของตนเอง
โฆษณา