15 พ.ค. 2023 เวลา 04:13 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”

เป็นคำเตือนสุดคลาสสิกของการลงทุนในกองทุนรวมที่ทุกคนต้องเคยได้ยิน ✨
แต่นักลงทุนเกือบทุกคนไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่หรือมืออาชีพมักเลือกที่จะเชื่อว่ากองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมากในรอบ 1 ปี หรือ 3 ปี ที่ผ่านมา ต้องมีผู้จัดการกองทุนที่เก่งมากและจะทำผลตอบแทนที่ดีเช่นนั้นตลอดไป ในขณะที่ก็เชื่อว่ากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ย่ำแย่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เป็นเพราะว่าผู้จัดการกองทุนไม่เอาไหน 🙅‍♀️
ความเชื่อแบบนี้ถือเป็นปัจจัยอันตรายอันดับต้นของการลงทุนในกองทุนรวม เพราะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า #การวิ่งตามผลตอบแทน (performance chasing) ที่ทำให้เราโยกเงินเข้าหาผู้ที่ทำผลตอบแทนได้เบอร์ต้นๆ ซึ่งมักตามมาด้วยอาการติดยอดดอยสูงอันหนาวเหน็บ 🏔
ทุกวันนี้มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยเราสกรีนหากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา เพียงคลิกเดียวเราก็รู้แล้วว่ากองทุนไหนเป็นตัวท็อป และการเลือกลงทุนในกองทุนตัวท็อปเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกสบายในในระยะสั้น แต่ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าหากเราทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่เราจะแพ้ตลาดหรืออย่างแย่คือขาดทุนแบบกู่ไม่กลับเลยมีอยู่สูงมาก 😧
แอดมินขอหยิบยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นตัวอย่างสำหรับกรณี #การวิ่งตามผลตอบแทนแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มาให้ทุกท่านฟังกัน... .ในปี 1994 หนังสือพิมพ์ The Sunday Times ของประเทศอังกฤษ จัดการแข่งขันเลือกหุ้นโดยใช้เงินสมมติ ผู้แข่งขันจะต้องส่งรายชื่อหุ้นที่ตัวเองเลือกมา และจบปีใครได้ที่ 1 ก็จะได้รับเงินรางวัลไป 1 แสนปอนด์ (ราวๆ 4 ล้านบาทในเวลานั้น) 💸
ปรากฏว่ามีเภสัชกรเชื้อสายอินเดียชื่อว่า Jayesh Manek ทำผลตอบแทนชนะผู้เข้าแข่งขันหลายพันคน ด้วยการสามารถเปลี่ยนเงินลงทุนสมมติ 10 ล้านปอนด์เป็นเงินสูงถึง 502 ล้านปอนด์ .แค่นั้นไม่พอ ในปี 1995 The Sunday Times จัดการแข่งขันแบบเดิมอีกครั้ง และผู้ชนะก็ไม่ใช่ใครหน้าไหน แต่เป็น Manek เจ้าเก่าที่สามารถขว้าเงินรางวัลที่หนึ่งไปได้อีกครั้ง ✨ โดยพอร์ทสมมติของเขาโตจาก 10 ล้านปอนด์ไปเป็น 58 ล้านปอนด์ ที่ถึงแม้จะน้อยกว่าครั้งแรกมาก แต่การทำเงินโตห้าหกเท่าในหนึ่งปีก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว 👏
โดยกลยุทธ์ที่ Manek ใช้คือการเลือกหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กๆ ที่ขอแค่มีสตอรี่ดี หุ้นก็พุ่งขึ้นแบบบ้าคลั่ง ซึ่งหุ้นเหล่านี้เป็นที่มาของฟองสบู่หุ้นเทคในช่วงปี 1999-2000 นั่นเอง 🖥💾
การชนะสองปีติดต่อกันทำให้คนเชื่อว่าดาวรุ่งคนใหม่แห่งวงการการลงทุนได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว Manek จึงฉวยโอกาสนี้เปิดกองทุนเป็นของตัวเองทันทีในชื่อ Manek Growth Fund ซึ่งได้รับเงินลงทุนจากผู้คนมากหน้าหลายตา แม้กระทั่ง Sir John Templeton ผู้ก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุนยักษ์ใหญ่ยังให้เงินสมทบถึง 10 ล้านปอนด์
Manek Growth Fund เติบโตแบบพุ่งทะยานในปีแรกๆ ด้วยการใช้กลยุทธ์เหมือนเดิมคือลงทุนในหุ้นเติบโตขนาดเล็ก โดยสัดส่วนพอร์ตของ Manek มีหุ้นเทคโนโลยีทั้งจริงทั้งเก๊อยู่สูงถึง 80% นับตั้งแต่วันที่ตั้งกอง จนถึงจุดสูงสุดของเขา กองทุนของ Manek ชนะตลาดได้ถึง 152% ซึ่งนั่นยิ่งทำให้นักลงทุนเทเงินให้เขาอีกมากมายจนขนาดกองทุนใหญ่ขึ้นไปถึงกว่า 300 ล้านปอนด์ 💰
แต่แล้วช่วงเวลาดีๆก็จบลงเมื่อฟองสบู่หุ้นกลุ่มเทคระเบิดขึ้น 💥
นับตั้งแต่ต้นปี 2000 ที่ Manek Growth Fund ทำจุดสูงสุด กองทุนก็ร่วงลงกว่า 75% ในเวลา 3 ปีหลังจากนั้น และผลประกอบการก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยตลอดเวลากว่าสิบปีต่อมา จนกองทุนปิดตัวลงไปในปี 2017 .โดยตลอดช่วงอายุของกองทุนนี้ Manek ผลประกอบการติดลบ 56% ในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันตลาดหุ้นสหราชอาณาจักรปรับขึ้นไป 236% ถือเป็นการแพ้ตลาดเกือบ 300% และแพ้คู่แข่งที่ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีทุกคน
ที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายให้กับผู้ลงทุนอย่างหนักจนบางคนขนานนามว่าเขาเป็น #ผู้จัดการกองทุนที่แย่ที่สุดของสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว 😰.เรื่องราวของ Manek เป็นคำเตือนถึงอันตรายร้ายแรงของการวิ่งไล่ตามผู้จัดการกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุด
ผลตอบแทนสวยหรูในช่วงแรงของเขาอาจสรุปได้ว่ามาจากความกล้าบ้าปิ่นที่จะใช้เงินทั้งหมดของพอร์ทไปกับหุ้นซิ่งหยิบมือหนึ่ง ประกอบกับโชคช่วยที่ตลาดกำลังบ้าคลั่งกับหุ้นเทคโนโลยี ส่วนคนที่เทเงินให้เขาลงทุนเต็มที่เพราะมั่นใจว่าเขาเก่งก็ต้องเจ็บตัวและเจ็บใจ 💔
#ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ปัญหาการวิ่งไล่ตามผลตอบแทนยังคงไม่หายไปไหน เพราะมีผลงานวิจัยมากมายที่สามารถคอนเฟิร์มเรื่องนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น งานของวิจัยของ Itzhak Ben David, Jiacui Liu, Andrea Rossi and Yang Song ในปี 2011 วิเคราะห์ผลตอบแทนและ fund flow ของกองทุนหุ้นสหรัฐฯตั้งแต่ปี 1997-2011
โดยงานวิจัยได้ค้นพบว่ามี 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินไหลเข้ากองทุนใดๆ ก็ตาม นั่นคือ “ผลตอบแทน และดาวของบริษัทมอร์นิ่งสตาร์ (บริษัทให้คะแนนกองทุน)” พูดง่ายๆ คือใครทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ผ่านมาจนได้ดาวมอร์นิ่งสตาร์เยอะๆ ก็จะได้รับเงินลงทุนเพิ่มเติมจากผู้ซื้อหน่วยทั้งเก่าและใหม่
ผลการศึกษานี่ยังมีข้อสรุปที่น่าตกใจว่านอกจากผลตอบแทนและดาวมอร์นิ่งสตาร์จะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่ากองทุนเหล่านี้จะทำผลตอบแทนได้ “ดี” ใน 1-3 ปีถัดไป แต่หลายๆครั้งกองทุนตัวท็อปเหล่านี้กลับมักจะทำผลตอบแทนได้ “ต่ำ” กว่าเกณฑ์ในระยะถัดไปด้วย 🤯
ทางบริษัทมอร์นิ่งสตาร์ก็รู้ถึงปัญหานี้ดีจึงมีการออกบทวิเคราะห์กองทุนเชิงคุณภาพจากการส่งนักวิเคราะห์ไปสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนรวมถึงมีการวิเคราะห์ผลตอบแทนให้ลึกขึ้นด้วย
#ดังนั้น หากเราได้ยินคำโฆษณาว่ากองทุนนี้ได้มอร์นิ่งสตาร์ห้าดาว ผลตอบแทนยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งในรอบสามปี ฯลฯ เราอาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า ได้ห้าดาวมานานแค่ไหน ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาวหรือเปล่า ผู้จัดการกองทุนเป็นใคร บริหารมานานหรือยัง ทีมการลงทุนน่าเชื่อถือหรือไม่ กลยุทธ์การลงทุนเป็นแบบไหน เพราะเพียงแค่ผลตอบแทนเคยดี ไม่ได้แปลว่าจะดีตลอดไป 🌠
📲 วันนี้ถ้ายังไม่มีบัญชีลงทุนอยากเปิดบัญชีใหม่ ดาวน์โหลดแอป KKP MOBILE พร้อมเปิดบัญชีได้ที่นี่https://edgeinvest.cc/Oneofakind
#EDGE #EDGEInvest #กองทุนรวม #ลงทุน #วางแผนลงทุน #Oneofakind
โฆษณา