16 พ.ค. 2023 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์

ญี่ปุ่น ตอน 2 จากการกระหายอำนาจในยุคโชวะ สู่ผู้แพ้สงคราม

หลังจากการ ‘ปฏิรูปเมจิ’ ญี่ปุ่นเข้าสู่การเป็นมหาอำนาจเต็มรูปแบบ ญี่ปุ่นเริ่มมีแนวคิดว่า จะยิ่งใหญ่แค่นี้ไม่ได้ ต้องขยายอิทธิพล
เริ่มจากการที่ญี่ปุ่นมีอิทธิพลเหนือโชซอน (เกาหลี) แต่ชาติตะวันตกยังไม่ได้ให้การยอมรับ
ญี่ปุ่นเลยส่งสาสน์ไปถึงจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ว่าถ้ารัสเซียรับรองว่าโชซอลเป็นเขตอิทธิพลของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็จะให้การยอมรับว่าพื้นที่พอร์ตอาเธอร์ ที่รัสเซียเช่าจากจีน เพราะต้องการกองทัพเรือที่อยู่บนกระแสน้ำอุ่น เป็นของรัสเซียเช่นกัน
ตอนนั้นจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ไม่สนใจข้อเสนอญี่ปุ่นเลยฉวยโอกาสส่งกองกำลังเข้าไปที่พอร์ตอาเธอร์ รบกับรัสเซีย
ตอนแรกรัสเซียคิดว่าจะเผด็จศึกได้ง่ายๆ แต่พอเห็นกองเรือญี่ปุ่น ที่มีอาวุธที่เหนือกว่ารัสเซียหลายเท่า กลายเป็นว่า ปี 1904 ญี่ปุ่นชนะรัสเซียที่พอร์ตอาเธอร์จึงต้องทำสนธิสัญญาพอร์ตสมัท (Treaty of Portsmouth) สนธิสัญญาสันติภาพ สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น
เหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผิวเหลืองชนะผิวชาวทำให้โลกมองญี่ปุ่นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย โดยตอนที่ทำสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย เงินมาจาก 2 แหล่งคือ ไซบัตสึ (กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นในยุคเมจิ) กับ Rothschild Family ให้ออกพันธบัตรสงครามขอกู้เงิน 10 ล้านปอนด์ ผลตอบแทน 6% ต่อปี
ต่อมาปี 1912 ปีแห่งการสวรรคตของจักรพรรดิเมจิ จักรพรรดิองค์ต่อมาคือ จักรพรรดิไทโช (โยชิฮิโตะ)ในยุคนั้น กองทัพญี่ปุ่นเกรียงไกร ญี่ปุ่นมีแนวคิดว่า ต้องเจริญให้ได้เทียบเท่าลอนดอน เลยเกิดการพัฒนาโตเกียว สร้างอาคารในย่านกินซ่า (Ginza) สวนอุเอโนะ สถานีรถไฟ และหอนาฬิกาหลังจากนั้นญี่ปุ่นก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงแนวรบไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าอยู่ฝ่ายชนะ ก็ได้เปรียบ
ดังนั้นในสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นไม่ได้มีบทบาทมาก แต่อยู่ฝั่ง Triple Entente (อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย) ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ ญี่ปุ่น เลยได้ไปครองพื้นที่ที่เยอรมนีเคยครอบครอง คือ ชิงเต่า (มีเบียร์เพราะเยอรมนีเคยไปตั้ง)
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังได้ไปนั่งประชุมกับสันนิบาตนานาชาติ ในเวลานั้น 4 ชาติ (Big Four) เป็นฝรั่งขาว ได้แก่ อิตาลี สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส และมีญี่ปุ่นด้วย แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นใช้เวลา 50 กว่าปี จากตอนที่ปฏิวัติเมจิ กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหาร เป็นชาติที่มีแสนยานุภาพติด​ 5 อันดับแรกของโลก ในตอนนั้นกองเรือญี่ปุ่นใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติเยอะ ในปี 1923 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โตเกียว โตเกียวที่ตอนนี้ฝันว่าจะใหญ่เท่าลอนดอนพังเกือบทั้งหมด สิ่งที่เริ่มสร้างมา ต้องนับหนึ่งใหม่
3 ปีให้หลัง 1926 มีจักรพรรดิองค์ใหม่ คือ จักรพรรดิโชวะ (ฮิโรฮิโตะ)หลังจากสร้างชาติ ฟื้นตัวเองจากแผ่นดินไหว
ปี 1931 ญี่ปุ่นเข้าไปยัง “เหลียวตง” พื้นที่ตอนเหนือของจีน เพราะพื้นที่ตรงนั้นอุดมไปด้วยถ่านหินและน้ำมัน
จะเข้าไปรุกรานไม่ได้ เดี๋ยวฝรั่งประณาม เลยใช้วิธีสถาปนาจักรพรรดิหุ่นเชิด คือ อ้ายซินเจว๋หลัว ผู่อี๋ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของจีนหลังจากนั้น ญี่ปุ่นใช้พื้นที่เหลียวตง ในการเคลื่อนพลโจมตีปักกิ่งลงมาที่เซี่ยงไฮ้ และลงมาที่นานกิง
ครั้งนั้น ญี่ปุ่นส่งกำลังทหารไปจีน 4 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 50 กว่าล้านคน
ในปี 1937 กองทัพญี่ปุ่นถึงนานกิง เหตุผลที่บุกไปที่นี่ เพราะรัฐบาลเจียงไคเชกสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ เลยถอยร่นมาเรื่อยๆ จนมาตั้งเมืองหลวงใหม่ที่นานกิง​ตอนนั้นจีนมีทหาร 14 ล้านนาย แต่สู้ไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่อาวุธดี แต่เทรนทหารตามหลักตะวันตก
ในเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังหึกเฮิม จากการมีแสนยานุภาพแต่ในฝั่งอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และดัตซ์ ซึ่งมีอาณานิคมอยู่บริเวณนั้นเริ่มไม่สบายใจ
ฟางเส้นสุดท้าย คือ ปี 1940 ญี่ปุ่นบุกอินโดจีน ของฝรั่งเศส ทำให้มหาอำนาจต้องทำอะไรสักอย่าง ชาติที่จะมีอิทธิพลได้มากที่สุด คือ สหรัฐ เพราะเป็นคู่ค้าที่สำคัย
สิ่งที่สหรัฐฯ ทำคือ Embargo หรือ คำสั่งห้ามค้าขายระหว่างประเทศ ด้วยการปิดคลองปานามา ให้ญี่ปุ่นไม่สามารถล่องเรือข้ามไปยังแอตแลนติกได้ พร้อมกับหยุดการส่งเหล็ก และน้ำมัน ซึ่งญีุ่นำเข้าเหล็กค่อนข้างเยอะ เพื่อมาทำอาวุธ และนำเข้าน้ำมันถึง 94% จากสหรัฐฯ ทำให้ญี่ปุ่นคิดว่า แผนต่อไป คือ ต้องทำให้สหรัฐฯปีกหัก
ปี 1941 ตอนนั้นญี่ปุ่นรู้ตัวว่า มหาอำนาจตะวันตกเริ่มไม่วางใจ จึงเริ่มหาเพื่อนติดต่อกับเยอรมนีและอิตาลี บอกว่าในแนวรบแปซิฟิกไม่ต้องห่วง กองทัพพระจักรพรรดิจะอยู่กับท่าน
ก.ย.1941 จึงมีการลงนาม 3 ภาคีของฝ่ายอักษะ ที่เบอร์ลิน เป้าหมายหลักของญี่ปุ่น คือ การเก็บอาณานิคมในเอเชีย โดยเฉพาะ The Dutch East Indies -หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ หรือ อินโดนีเซีย เพราะมีน้ำมัน นอกจากนี้ยังอยากได้ฮ่องกง มลายู
แต่แผนการทั้งหมดจะเดินหน้าไม่ได้ถ้าสหรัฐฯยังเข็มแข็ง7 ธ.ค. 1941 มีการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในวันเดียวกันนั้น ญี่ปุ่นยังบุกฟิลิปปินส์ ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารคือ Mac Arthur ทำให้สหรัฐฯเสียฟิลิปปินส์
วันต่อมา ญี่ปุ่นบุกสิงคโปร์ มลายู ฮ่องกง พร้อมใช้ไทยเป็นทางผ่าน จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว จะไปหาอังกฤษ
ตอนนั้นชาติตะวันตกเลยเริ่มประกาศสงครามกับญี่ปุ่นที่สุด ก.ย. 1945 ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่2
พระจักรพรรดิไม่ถูกตั้งข้อหาอาชญากรสงคราม เพราะชาติตะวันตกมองว่า ถ้าทำอย่างนั้น อาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งปั่นป่วน ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เพราะสหรัฐฯไปทิ้งปรมาณูระเบิดฮิโรชิมา เพราะเป็นแหล่งผลิตเหล็กกล้า สำหรับผลิตเรือรบและเครื่องบินรบ
สหรัฐฯ เข้ามาวางระเบียบใหม่ ที่น่าสนใจตอนนั้นทั่วโลกรู้แล้วว่า ถ้าทำให้ประเทศผู้แพ้สงครามจนตรอก ที่สุดจะกลับมาดุขึ้น เหมือนเยอรมนีเพราะฉะนั้น สหรัฐฯเลยให้เงินสนับสนุนหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศผู้แพ้สงคราม
แต่ไม่ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพ 99 ปี มีได้แค่กองกำลังป้องกันตัวเองจนถึงวันนี้นักการเมืองที่เคยอยู่ในยุคโซวะ จะกลับมาเป็นนักการเมืองอีกไม่ได้
หลังจากแพ้สงครามแล้ว ญี่ปุ่นกลับลุกขึ้นใหม่ได้อย่างไนติดตามได้ในตอนต่อไป
ที่มา : Global Economic Background EP.28
โฆษณา