17 พ.ค. 2023 เวลา 16:05 • การเมือง

สว.และการจัดตั้งรัฐบาลตามรธน.60

อย่างที่เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ารธน.ฉบับปัจจุบันนี้ถูกร่างขึ้นโดยคุณประยุทธ์หลังจากที่ได้ทำรัฐประหารเมื่อปี 57 จึงจัดคณะกรรมการร่างรธน.ขึ้นมาเมื่อปี 58 จากการที่มีรธน.ฉบับชั่วคราวปี 58 ที่ให้คสช.นั้นจัดตั้งคณะกรรมการร่างรธน.ขึ้นมาเพื่อที่จะร่างรธน.ฉบับใหม่เป็นฉบับที่ 20 ทำให้รธน.ฉบับนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนมองว่านี่คือรธน.ที่เขียนเพื่อเป็นทั้งเกราะป้องกันและเอื้อให้กับคุณประยุทธ์ ซึ่งก็ไม่เกินความเป็นจริง
และที่สำคัญคือรธน.ฉบับนี้ได้ทำให้เกิดการมาของสว.ทั้ง 250 คน รธน.ได้ร่างให้สว.เหล่านี้มีที่มาหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็เป็นนายทหารและนายตำรวจระดับนายพล และอีกสิ่งนึงก็คือการทำให้ข้าราชประจำอย่างผบ.สูงสุดกับผบ.เหล่าทัพและผบ.ตร. นั่งตำแหน่งสว.อีกอันเป็นผลของรธน.ฉบับปี 60 แน่นอนว่าเมื่อสืบสาวลากยาวกระบวนการต่างๆก็จะรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนคือมรดกของคสช.ทั้งสิ้น และไม่สามารถที่บอกได้เต็มปากว่ารธน.ฉบับนี้มีความเป็นกลาง
หลังผ่านศึกเลือกตั้งปี 62 มา คุณประยุทธ์ได้กลับเข้ามาสู่รัฐสภาอีกครั้ง โดยในการเลือกนายกรัฐมนตรีระหว่างคุณธนาธรจากพรรคอนาคตใหม่กับคุณประยุทธ์จากพรรคพลังประชารัฐ(ในขณะนั้น) ก็ปรากฎว่าในส่วนของสว.(ที่เปรียบเสมือนเป็นเครื่องยืนยันที่อยู่ในกระเป๋า)จำนวน 249 เสียง(ยกเว้นคุณพรเพชร วิชิตชลชัยที่คสช.ได้เลือกมาเองโดยตรงได้เลือกงดออกเสียง)ยกมือให้คุณประยุทธ์
จึงทำให้คะแนนเสียงนั้นขยับขึ้นมามีจำนวนที่มากแบบก้าวกระโดดขึ้นไปรวมกับเสียงของสส.พรรคร่วมและพรรคเล็กพรรคน้อยอีกรวมเป็น 500 เสียง โดยขณะที่คุณธนาธรนั้นมีอยู่ทั้งหมด 244 เสียงซึ่งเป็นเสียงของผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นสส.อย่างเดียว
จึงสามารถที่จะมองได้แง่หนึ่งว่า รธน.ฉบับปัจจุบันนี้ได้การออกแบบให้กลไกทางการเมืองนั้นสามารถที่จะสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับคุณประยุทธ์และคณะผ่านทางสว. ดังจะเห็นจากการที่สว.ถูกนำมาใช้ประโยชน์กับฝั่งรัฐบาลประยุทธ์อยู่เสมอ ทั้งการทำให้อายุสว.มี 5 ปี ก็ทำให้สว.นั้นสามารถที่จะเป็นไม้ต่อความได้เปรียบให้คุณประยุทธ์ได้อีกในอนาคตข้างหน้า หากแต่ผลการเลือกตั้งปี 66 นี้ได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือกลายเป็นปรากฎการณ์ความเปลี่ยนแปลงใหม่
การเปลี่ยนแปลงใหม่นี้คงน่าจะทำให้สว.นั้นกระอักกระอ่วนกันบ้างพอสมควร การให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยสว.ส่วนหนึ่งนั้น บางท่านก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าจะยกมือให้หรือไม่ยกมือให้ด้วยเงื่อนไขต่างๆนานา บางท่านเลือกที่จะงดออกเสียง โดยเฉพาะสว.ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผบ.สูงสุดกับผบ.เหล่าทัพและผบ.ตร.นั้นอาจจะงดออกเสียงด้วยเหตุผลว่าเพื่อรักษาสถานะความเป็นกลางด้วยที่ว่าตนนั้นเป็นข้าราชการทหารและตำรวจ
การที่สว.นั้นมีท่าทีที่ดูเป็นการขวางกระแสผู้คนอันเป็นมติมหาชนและเป็นปฏิปักษ์ต่อการจัดตั้งรัฐบาลของผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นว่า รธน.ฉบับปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข สว.เหล่านี้นั้นเขารู้ดีว่า พรรคก้าวไกลนั้นชนะเลือกตั้ง แต่สว.ก็พยายามที่จะใช้ลูกเล่นเหตุผลขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ซึ่งสว.เขาปฏิบัติหน้าที่ตัวเองตามรธน.ปี 60 ที่เขียนให้เขาเข้ามามีบทบาทในการมีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี
กลายเป็นว่า พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งและได้จำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรก็จะสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลจะต้องผ่านการเลือกจากสว.อีกที แถมสว.ชุดปัจจุบันนี้ ไม่ได้มาโดยการเลือกตั้งแต่มาโดยรธน. 60 ที่ให้คสช.เป็นผู้สรรหาหลักแต่งตั้งขึ้นมา ทำให้สว.นั้นเป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งมา
ณ ขณะนี้ ถึงแม้ว่าตามปกติแล้วอันที่จริงควรจะต้องให้พรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งและมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรได้จัดตั้งเป็นรัฐบาล แต่โดยสถานการณ์นี้ที่สว.เป็นกลุ่มที่แสดงออกถึงการพยายามสกัดขัดขวาง คงจะต้องอาศัยเสียงของพรรคการเมือง อื่นๆ การปรับทำความเข้าใจกับสว. ให้สว.ปฏิบัติตามผลลัพธ์อันเป็นความจริงที่ออกมา พร้อมกับภาคประชาชนที่จะต้องแสดงการกดดันเรียกร้องให้สว.โหวตเลือกนายกที่มาจากเสียงข้างมาก เพื่อยุติความขัดแย้งดั่งที่สว.เองนั้นก็กล่าวว่าไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง
โฆษณา