-การได้เห็นลูกสาวร่าเริงไปกับบทเพลงเก่าของ Dusty Springfield ในเพลง Dusty อันเป็นโมเมนต์ที่บรรเทาทุกข์อันหนักอึ้งให้คุณพ่อได้บ้าง หรือการรับสภาพในชีวิตแต่งงานที่บางทีก็มีเฉดสีทับซ้อนเสีย ไอ้ความทุกข์ที่ไปเจอมากลับทำให้เฉดสีที่เราเคยรับรู้กลับถูกตีค่าเป็นตาบอดสีได้ในเพลง Colourblind
-ทั้งนี้พี่เอ็ดเลือกจบอัลบั้มนี้ดุจสำนวน Love heal us all ตามแบบฉบับพ่อบ้านที่พร้อมจับมือภรรยาฟันฝ่าอุปสรรคไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น Sycamore ที่พรรณนาความรักที่เผชิญภาวะขึ้นๆลงๆจนหาคำตอบไม่ได้ว่า ปริศนาความรักจะจบลงตรงไหน ขอให้ได้พบพานกับความสงบสุข พร้อมกับการได้เห็นลูกสาวตัวน้อยมีความสุขก็เป็นพอ No Strings ที่ขับเคลื่อนด้วยรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และปิดท้ายด้วยความรักโอบกอดดุจขุนเขาในเพลง The Hills of Aberfeldy
-พอได้ฟังประมาณ 3-4 รอบ ผมมั่นใจในความดีขึ้นกว่า 3 ผลงานก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน แต่ก็อดที่จะรู้สึกเบื่อและเลี่ยนไปกับการนำเสนอที่ห้อมล้อมด้วยท่วงทำนองเครื่องสายอย่างจำเจมากเช่นกัน ต่อให้มีขุนพลที่เคยรีแบรนด์ Taylor Swift ให้กลายเป็นนักร้องอินดี้ท่านนึงจนเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงไปแล้วก็ตาม กลับกันสำหรับพี่หมีเกาะอังกฤษนั้นยังติดอยู่กับกรอบความเกรงใจบางอย่างในการที่ไม่อยากเสียฐานแฟนเพลงมหาชน กลัวคนฟังขมขื่นไปกับบทเพลงจนเกินไป ทั้งๆที่คอนเทนท์หนักพอที่จะขยี้ไปทางอึมครึมหน่อยก็ได้
-ผมได้มีโอกาสดูสารคดี The Sum of It All ใน Disney Hotstar เผื่อจะได้เปิดมุมมองของอัลบั้มได้มากกว่านี้ มันจะมีซีนนึงใน Chapter 2 ที่นำฟุตเทจตอนแสดงสดเพลง Bloodstream จากอัลบั้มชุด Multiply ซึ่งเอามาแทรกเพื่อบอกเล่าช่วงที่ Ed กำลังพยายามดีลกับความเศร้าหลังสูญเสียเพื่อน Jamal แล้วต้องออกไปแสดงต่อหน้าคนนับหมื่นโดยที่ต้องทิ้งความรู้สึกเศร้าๆไปก่อนเพื่อให้โชว์ราบรื่นให้ได้มากที่สุด