Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
18 พ.ค. 2023 เวลา 23:35 • ท่องเที่ยว
สายลมแห่งกาลเวลา (4) .. เดินเที่ยวท่าช้างวังหลวง ถึงหน้ากระทรวงกลาโหม
“ท่าช้างวังหลวง” .. เดิมพื้นที่ริมแม่น้ำตรงนี้ในช่วงต้นของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นสถานที่ที่เหล่าคชบาล (คนเลี้ยงช้าง) นำช้างจากวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง มาอาบน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีกำแพงเมือง และประตูเมืองชื่อประตูท่าช้าง หรือท่าช้างวังหลวง
“ท่าพระ” .. เป็นอีกชื่อหนึ่งที่มีการเรียกขานกัน ด้วยเหตุที่ใน พ.ศ. 2351 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนี ซึ่งเดิมเป็นพระประธานในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และมีขนาดใหญ่มากที่สุดในยุคนั้น .. ลงมายังพระนคร เพื่อประดิษฐาน ณ วัดสุทัศนเทพวราราม
การอัญเชิญองค์พระมานั้น .. ได้มาทางน้ำ ล่องแพมาขึ้นที่ท่าช้าง แต่ประตูท่าช้างเดิมมีขนาดคับแคบเกินไป จึงต้องรื้อประตูกับกำแพงออกบางส่วน แล้วสร้างขึ้นใหม่ และทรงพระราชทานนามว่า “ประตูท่าพระ” อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปก็ยังคงนิยมเรียกท่าช้างตามชื่อเดิมเป็นส่วนใหญ่
“ท่าช้าง” โฉมใหม่ ปี 2565
ท่าช้าง .. เป็นชื่อเรียกสั้นๆของย่านชุมชนการค้าเก่าแก่ริมน้ำเจ้าพระยา ที่ถือเป็นอีกย่านสำคัญที่หน้าเป็นตาของกรุงเทพมหานคร ด้วยสีสันของย่านค้าขาย จุดเชื่อมต่อการเดินทางทางน้ำ และเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมตึกแถวย้อนยุคที่ตระหง่านงามเยื้องกับวัดพระศรีรัตนาศาสดาราม และพระบรมมหาราชวัง
แม้คนทั่วไปเรียกกันสั้นๆติดปากว่า “ท่าช้าง” ซึ่งเป็นความหมายถึง ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา และบริเวณชุมชนโดยรอบ แต่ชื่อเต็มของย่านเก่าแห่งนี้ คือ “ท่าช้างวังหลวง”
บรรยากาศของท่าช้างวังหลวงในความทรงจำ .. เป็นภาพของพื้นที่ลานที่คลาคล่ำไปด้วยร้านค้าแผงลอยที่นำสินค้ามาเสนอขายให้ทั้งชาวไทยและต่างประเทศอย่างเอิกเกริก และแออัดเบียดเสียด สุดท้ายของทางเดินเป็นท่าเรือเก่าๆ ที่ชินตามานานหลายสิบปี
ท่าช้างโฉมใหม่ ปี 2565 .. แค่ภาพแรกที่ผ่านเข้ามาในสายตา เรารับรู้ได้ว่าภาพของท่าช้างในอดีตได้พลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่พื้นที่ลานดั้งเดิมและท่าเรือท่าช้างได้รับการพัฒนาปรับภูมิทัศน์ให้โปร่งโล่งสวยงาม มีความเป็นระเบียบน่ามองกว่าเดิม
รูปช้างโลหะสีสดใสที่ประดับในรายทางที่เราเดินผ่านเข้าไปที่ท่าเรือท่าช้าง .. เป็นที่น่าตื่นตา ตื่นใจมาก .. เป็นการแปลงโฉมให้เป็นกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่พักผ่อนหย่อนใจได้
ท่าเรือท่าช้างรูปลักษณ์ใหม่ ... เป็นท่าเรือมาตรฐานที่มีความสวยงาม มีความปลอดภัยมากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมห้องน้ำบริการ พร้อมอาคารพักคอยผู้โดยสาร จำนวน 2 หลัง ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมให้มีความสอดคล้องกับทัศนียภาพในเขตเมืองกรุงเก่า
.. โดยแบ่งพื้นที่จุดขึ้นลงเรือโดยสารสาธารณะ และบริษัทเรือนำเที่ยวที่ถูกกฎหมายไว้เป็นสัดส่วน
“อุโมงค์มหาราช” ไฮไลท์ใหม่ท่าช้าง
“อุโมงค์มหาราช” .. เป็นอุโมงค์ทางเดินลอดถนนมหาราชกับถนนหน้าพระลาน ที่ดำเนินโครงการก่อสร้างโดยสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร ระยะทาง 90 เมตร ความลึก 4.7 เมตร ออกแบบด้วยทางลงบันไดเลื่อนแบบไม่มีหลังคา เพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพความงามของพระบรมมหาราชวังและพื้นที่โดยรอบ
ภายในอุโมงค์มหาราช .. ออกแบบก่อสร้างให้เป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ที่เป็นเสมือน “มินิมิวเซียม”
.. มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายในอดีต
ภาพฉลองกรุงเทพฯ 100 ปี
ภาพเหล่านี้ เป็นภาพถ่ายหาชมยากของย่านท่าช้างวังหลวง และกรุงเทพยุคก่อน รวมถึงซากกำแพงโบราณ
ภาพถ่ายทางอากาศ ของย่านต่างๆ
ภาพเมืองเก่าในอดีต
นิทรรศการให้ความรู้ประวัติศาสตร์ว่าด้วยป้อมอินทรรังสรรค์และกำแพงเมือง
จากอุโมงค์มหาราช .. ณ จุดนี้ต้องมีรูป ถึงจะ in trend
ปืนใหญ่แห่งกระรวงกลาโหม
ปืนใหญ่โบราณ .. ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณสนามหญ้าข้างหน้าศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม คงเป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่เดินทางไปมา และอาจจะมีคำถามในใจว่า ปืนใหญ่เหล่านั้นมาตั้งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีประวัติความเป็นมาเช่นไร?
อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม .. สถาปัตยกรรมของอาคารมีขนาดใหญ่โต ดูน่าสนใจ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี พ.ศ.2427 เป็นอาคารสีเหลืองนวล สถาปัตยกรรมแบบยุโรป ศิลปะแบบปัลลาเดียน ยุคนีโอคลาสสิก
ด้านหน้าเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน ด้านหน้าของเสาระเบียงใหญ่ประดับด้วยสัญลักษณ์ของสามเหล่าทัพ คือ กงจักร สมอ และปีกอยู่บนพื้นรูปสี่เหลี่ยมสีทอง
รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เพื่อใช้เป็น “โรงทหารหน้า” เป็นที่รวมทหารประจำการรักษาพระนคร อาวุธ สัตว์พาหนะ และเสบียงอาหาร .. เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่วังของพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นจิตรภักดี กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ และกรมหมื่นอินทราพิพิธ ซึ่งเป็นวังเก่าสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ต่อมาวังได้ร้างลงและถูกใช้เป็นยุ้งฉางเก็บข้าวหลวง
อาคารหลังนี้ ได้รับเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ที่มีคุณค่าทางทางสถาปัตยกรรม ในปี 2540
บรรดาปืนใหญ่ที่นำมาตั้งประดับไว้ในบริเวณนี้มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๐ กระบอก .. ถูกนำมาตั้งไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โดยทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดตั้งปืนใหญ่ไว้ที่บริเวณสนามหญ้าหน้ากระทรวงกลาโหม ดังเช่นที่โรงเรียนนายร้อย แซนด์เฮิร์ท ประเทศอังกฤษ
ปืนใหญ่เหล่านี้มีทั้งที่สร้างขึ้นในประเทศและจากต่างประเทศ หลายๆกระบอกมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานผ่านสมรภูมิรบต่างๆ มาอย่างมากมาย และมีลักษณะที่งดงาม ได้รับการตั้งชื่ออย่างไพเราะ
***หมายเหตุ .. ในวันที่เราไปเยือน ไม่รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้พอที่จะถ่ายภาพให้มีรายละเอียดของปืนใหญ่แต่ละกระบอกได้ ดังนั้นรูปที่ใช้ประกอยจึงอาจจะไม่ตรงกับเนื้อความที่เก็บมาเล่า
ปืนใหญ่ที่สำคัญและมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานถึงมากที่สุดคือ “พญาตาณี” .. ตามประวัติกล่าวว่า เจ้าเมืองปัตตานี ให้ช่างชาวจีนฮกเกี้ยน ชื่อ หลิม โต๊ะเคี่ยม เป็นผู้สร้าง ซึ่งการหล่อในครั้งนั้นได้ปืนใหญ่ 3 กระบอก คือ เสรีปัตตานีหรือพญาตาณี ศรีนคราหรือเสรีนคร และมหาเลลา
สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งเสด็จยกทัพไปรบพม่า ที่ยกเข้ามาตีหัวเมือง ภาคใต้ของไทย เมื่อเสร็จศึกแล้ว ได้ทรงนำปืนทั้งสามกระบอกนี้ มาจาก เมืองปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. 2329 แต่นำมาได้เพียงกระบอกเดียวคือปืนใหญ่พญาตานี ส่วนอีกสองกระบอกจมน้ำหายสาบสูญ
.. ปืนใหญ่ “พญาตาณี” หล่อด้วยทองสำริด มีห่วงสำหรับยก ๔ ห่วง ท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสัตว์ หรือเขางอน ที่เพลาสลักรูปราชสีห์ พญาตานีเป็นปืนที่ยาวที่สุดในบรรดาปืนโบราณที่มีอยู่
“ปืนใหญ่นารายณ์สังหาร” .. เป็นปืนใหญ่ที่มีกระบอกใหญ่ที่สุด ด้วยขนาดความยาว 4.5 เมตร ลำกล้องกว้าง 29.3 เซนติเมตร สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อให้คู่กันกับ “พญาตาณี” ในปี 2330 มีลักษณะเด่นที่บริเวณท้ายลำกล้องเป็นรูปสังข์ขนาดใหญ่ไม่มีลวดลายประดับ
“ปืนใหญ่มารประไลย” .. เป็นปืนที่งดงามที่สุด ถูกสร้างขึ้นในในปี พ.ศ. 2330 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีลวดลายสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจงเป็นลายกนก ลายประจำยาม เพลาเป็นรูปดอกไม้ และท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์ลวดลายกระจัง
“ปืนใหญ่ อัคนิรุท” .. ว่ากันว่าเป็นปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1624 หรือ พ.ศ.2167 ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา โดยได้ถูกสร้างขึ้นโดยประเทศสเปน ซึ่งมีรูปธงชาติสเปนจารึกไว้ที่กระบอกปืนใหญ่ด้วย รวมถึงมีจารึกปีที่สร้างปืนกระบอกนี้ไว้ด้วย...
พระพิรุณแสนห่า ... พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๐ เมื่อยังคงดำรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริยศึก เป็นคู่กับ ปืนพลิกพสุธาหงาย เป็นชื่อเดิมของปืนที่มีชื่อเสียงสมัยกรุงศรีอยุธยา มีขนาดใหญ่มากหล่อด้วยทองสำริด มีลวดลายประดับอย่างโอฬาร มีรูปราชสีห์เผ่นผงาดอยู่ที่เพลา มีห่วงสำหรับยกอยู่ ๔ ห่วง รูชนวนมีรูปนก หน้าสิงห์ขบ ท้ายรูปลูกฟัก ที่กระบอกปืนมีจารึกว่า พระพิรุณแสนห่า
พลิกพสุธาหงาย ... พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงสร้าง โดยให้หล่อที่ หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๓๐ หล่อด้วยทองสำริด มีห่วงยก ๔ ห่วง ลำกล้องปืน มีลวดลายประดับ ที่เพลาสลักรูปคชสีห์ รูชนวนมีลายกนก ท้ายลำกล้องเป็นรูปลูกฟัก เป็นปืนขนาดใหญ่คู่กับ พระพิรุณแสนห่า
“รูปปั้นพญาคชสีห์” สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม เป็นสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าออก โดยรูปปั้นพญาคชสีห์ด้านประตูทิศใต้จะมีชื่อว่า “พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์” หมายความว่าพิทักษ์แผ่นดินไทย ส่วนรูปปั้นพญาคชสีห์ประตูทิศเหนือมีชื่อว่า “พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์” หมายความว่าเป็นทหารพิทักษ์พระราชา ซึ่งความหมายรวมคือเราจะพิทักษ์ประเทศชาติและราชบัลลังก์
“ตราคชสีห์” .. เป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งเสนาบดีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยในตำนานนั้น พญาคชสีห์นั้นเป็นสัตว์หิมพานต์ ที่มีลำตัวเป็นราชสีห์มีหัวเป็นช้าง จึงเรียกเป็นครึ่งช้างครึ่งราชสีห์ และมักปรากฏในวรรณคดีเรื่องเล่า เช่น เรื่องรามเกียรติ์
บันทึก
2
4
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
โฆษณา
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย