21 พ.ค. 2023 เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

กรณีศึกษา หุ้นเฟซบุ๊ก 10 ปีที่แล้ว มี P/E 1,000 เท่า

โดยปกติแล้ว ท่าประจำเวลาเราประเมินมูลค่าบริษัท ว่า ถูก หรือ แพง ขนาดไหน เรามักจะนำมูลค่าบริษัท มาเทียบกับ กำไรที่ทำได้ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด หรือที่เราเรียกกันว่า P/E
1
รู้หรือไม่ว่า 10 ปีก่อน หุ้นระดับโลกในปัจจุบัน ก็เคยมี P/E สูง ยกตัวอย่างเช่น
- Amazon เคยมี P/E 2,500 เท่า- Facebook เคยมี P/E 1,277 เท่า
จะเห็นได้ว่าอัตราส่วน P/E นั้นไม่ได้ใช้งานได้เสมอไป โดยเฉพาะธุรกิจเหล่านี้ ที่เพิ่งเริ่มจะมีกำไร
ถ้าบอกว่า P/E ใช้งานไม่ได้ ยังดูมูลค่าทั้งตลาดไม่ค่อยออก แล้วเราจะใช้วิธีไหนได้บ้าง ?ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้ว มันก็ยังพอมีอีกวิธี ที่ช่วยให้เราพอมองเห็นภาพของ “มูลค่าทั้งตลาด” ได้ เราเรียกกันว่า TAM
TAM ย่อมาจาก Total Addressable Market แปลตรงตัวว่า มูลค่าตลาดที่เป็นไปได้ โดยมีวิธีมองด้วยกัน 3 วิธี
2
1. แบบ Top Down หรือ บนลงล่าง
จะเป็นการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจากภาพใหญ่ก่อนว่าตลาดใหญ่ขนาดไหน เช่น
1
- ประชากรมีกี่คน - ประชากรพร้อมที่จะใช้สินค้าและบริการของเราเท่าไร- ผู้ใช้งานที่ยอมจ่ายให้กับเรามีเท่าไร
ตัวอย่างกลุ่มธุรกิจ ที่ประเมินด้วยวิธีนี้ ก็เช่น โซเชียลมีเดีย อย่าง Google, Facebook และ YouTube
หลังจากนั้น ก็นำจำนวนผู้ใช้งานจริง คูณกับมูลค่ารายได้ที่ผู้ใช้งานจ่าย หรือ มูลค่าผลิตภัณฑ์ของเรา
2. แบบ Bottom Up
วิเคราะห์จากล่างขึ้นบน โดยใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วของบริษัทเพื่อหามูลค่าตลาด
ตัวอย่างแบบง่าย ๆ ก็เช่น โค้ก มีรายได้จากธุรกิจน้ำอัดลมในประเทศไทยราว 29,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 51%
4
นั่นหมายความว่ามูลค่าตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทย อยู่ที่ราว 57,000 ล้านบาท
3. แบบ Value Theory
ใช้สำหรับประเมินสินค้าหรือบริการที่ยังไม่มีตลาด เช่น
- Spotify ตอนเจาะตลาดสตรีมมิงเพลงก็ใช้ราคาค่าสมาชิก คูณกับจำนวนคนฟังเพลง เพื่อหามูลค่าตลาด
1
- กลุ่มธุรกิจส่งอาหาร ก็ใช้ค่าธรรมเนียมบริการ คูณกับจำนวนออร์เดอร์ เพื่อหามูลค่าที่เป็นไปได้มากที่สุดของตลาด
1
จากทั้ง 3 วิธี เราจะเห็นได้ว่า การประเมินมูลค่าตลาดด้วย TAM จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมมูลค่าตลาดได้
1
พอรู้แบบนี้แล้ว เราก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการประเมินมูลค่าธุรกิจได้เหมือนกัน อย่างในกรณีของ Facebook P/E 1,000 เท่า เมื่อ 10 ปีก่อน
เรามาดูสถิติเมื่อ 10 ปีที่แล้วกัน
- โลกมีประชากร 7,100 ล้านคน- มีคนเล่นโซเชียลมีเดีย 1,700 ล้านบัญชี- มีคนเล่น Facebook 980 ล้านบัญชี- Facebook มีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน 182 บาทต่อบัญชีต่อปี
จากข้อมูลชุดนี้ หากเรามองว่าอีกหน่อย ประชากรครึ่งโลกจะเล่น Facebook
เราก็อาจจะลองนำ ประชากรครึ่งโลก ราว 3,500 ล้านคน เป็นตัวตั้ง คูณกับรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน
ยกตัวอย่างเช่น Facebook ก็จะเป็น 182 บาทต่อบัญชี หมายความว่ารายได้ที่ Facebook จะทำได้หากมีคนเล่นครึ่งโลก ก็จะเท่ากับ 637,000 ล้านบาทต่อปี
แล้ว ณ วันนี้ Facebook เป็นอย่างไร ?
ซึ่งบทสรุป ณ วันนี้
- Facebook มีผู้ใช้งาน 2,990 ล้านบัญชี- มีรายได้ต่อผู้ใช้งานสูงถึง 1,356 บาทต่อบัญชี
2
ผู้ใช้งาน เติบโตเป็น 3 เท่ารายได้ต่อผู้ใช้งาน เติบโตเป็น 7 เท่า
จะเห็นได้ว่าผู้ใช้งาน Facebook เติบโตขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับประชากรครึ่งโลก แต่แตกต่างกันตรงที่ รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
เนื่องจากสามารถหารายได้เพิ่มเติมได้จากแพลตฟอร์ม ทั้งการเพิ่มความถี่ในการโฆษณา เพิ่มรูปแบบในการแทรก เช่น โพสต์ วิดีโอ หรือสตอรี รวมถึงช่องทางใหม่ ๆ จากกิจการที่เข้าซื้อมาอย่าง Instagram
บทสรุปก็คือ Facebook สามารถเติบโตจาก P/E 1,000 เท่า เมื่อ 10 ปีก่อน กลายมาเป็นธุรกิจโซเชียลมีเดีย ที่ทำรายได้ถึง 4,000,000 ล้านบาท และมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 18,000,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ P/E ก็ได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากตัวหาร หรือกำไร ที่บริษัททำได้ เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่ารายได้ จนปัจจุบัน หุ้น Facebook ซื้อขายกันอยู่ที่ P/E 31 เท่า..
ถึงตรงนี้ ก็ต้องเบรกไว้ก่อนว่า แม้ P/E จะเป็นการมองภาพในอดีตว่าธุรกิจเป็นอย่างไร TAM ก็จะกลับข้างกัน เพราะเป็นการมองอนาคต
1
ซึ่งทั้ง 2 ตัวเลขนี้ หากเรามองเพียงตัวใดตัวหนึ่ง มันก็จะมีจุดอ่อน โดยเฉพาะ TAM นั้น มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าผู้บริหารและบริษัท พาตัวเองไปยืนในจุดที่เราประเมินไว้ไม่ได้
3
ถ้าจะสรุปการใช้ TAM จึงถือได้ว่าเป็นการใช้มองภาพตลาดโดยรวม โดยที่หน้าที่ของเราหากนำไปใช้ ก็ต้องศึกษาและประเมินว่าบริษัทที่เราสนใจ จะเข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดได้มากขนาดไหนในอนาคต
โดยแก่นสำคัญสำหรับการลงทุนก็ยังคงต้องเป็นการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน เข้าใจกิจการ รู้จักแนวทางของผู้บริหารให้ได้มากที่สุด
ก่อนที่จะมาไล่ดูอัตราส่วนต่าง ๆ เช่น P/E หรือ TAM เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจ
อย่างในกรณีของ Facebook เมื่อ 10 ปีก่อน หากเราศึกษาจนมั่นใจได้แล้วว่ายังคงเติบโตต่อไปได้อีก มูลค่าตลาดยังมีพื้นที่ให้บริษัทเติบโตได้
แม้ว่ามันแพงเกินไป ในมุมของใครหลายคนแต่มันก็อาจจะเป็น โอกาสการลงทุนสำหรับบางคนที่เห็น ได้เหมือนกัน..
หากเราอยากร่วมเป็นเจ้าของหุ้นต่างประเทศ หรือ ลงทุนในกองทุนรวมจากบลจ. ชั้นนำ ขั้นต่ำเพียง 50 บาท สามารถเปิดบัญชีกับ Dime! ได้ที่ https://link.dime.co.th/Longtunman
ผู้ที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียด และ เงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://dime.co.th/en/articles/dime-x-ltman
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
โฆษณา