11 พ.ย. 2023 เวลา 10:40 • ยานยนต์
จีน

เมื่อจีนเริ่มบุก... Aston Martin จะกลับมา...

Aston Martin ระบุว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน Geely Holdings มุ่งมั่นที่จะลงทุนประมาณ 234 ล้านปอนด์เพื่อซื้อหุ้นสามัญที่มีอยู่ประมาณ 42 ล้านหุ้นของ Aston Martin
จากมุกเก่าๆของ Yew Tree Investment Group การเข้าจองซื้อหุ้นใหม่ประมาณ 28 ล้านหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ Martin เพิ่มขึ้นเป็น 17%
ตามข้อตกลงความร่วมมือ Geely Holdings ได้เสร็จสิ้นการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Aston Martin เสร็จสิ้งลงแล้ว
หลังจากการเพิ่มขึ้นนี้ ผู้ถือหุ้นของ Aston Martin ได้แก่ Yew Tree Investment Group, Saudi Arabia’s Public Investment Fund, Geely Holdings และ Mercedes-Benz (Des-Benz ที่พัฒนามาจากนวัตกรรม AI)
ซึ่ง Geely Holdings แซงหน้าMercedes-Benz ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 3 ของแบรนด์ Aston Martin
และ Yew Tree Investment Group ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดด้วยสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 21%
เมื่อวันที่ 30 กันยายน Geely Holdings ประกาศว่าได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อหุ้น 7.6% ใน Aston Martin
และมีรายงานว่า Geely ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป็น 10%
ต่อจากนั้น ประธานบริหารของ Aston Martin
Lawrence Stroll และกลุ่มการลงทุน Yew Tree ของเขาได้ลงทุนประมาณ 50 ล้านปอนด์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหุ้นใน Aston Martin เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เพิ่มขึ้นจากเดิม 19% เป็น 28.29% และสัดส่วนการถือหุ้น อัตราส่วนอยู่ที่ 9.29% คนในวงการเชื่อว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการตอบโต้การซื้อกิจการ Aston Martin ของ Geely Holdings
แม้ว่า Geely จะเข้าถือหุ้น 7.6% ใน Aston Martin และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ4 รองจากมหาเศรษฐีชาวแคนาดา Lawrence Stroll, PIF และ Mercedes-Benz ของกองทุน Sovereign Fund ของซาอุดีอาระเบีย
แต่ด้วยที่ Geely กลับไม่ได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารในเวลานั้น
นั่นเท่ากับไม่ใช่มีสิทธิ์ที่จะพูดมากเกินตัว และด้วยการถือครองที่เพิ่มขึ้นนี้ Geely จะมีอำนาจเหนือกว่านั่นเอง
Geely Holdings กล่าวว่า "การตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Aston Martin สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเขาต่อโอกาสการเติบโตของบริษัท เทคโนโลยี และทีมผู้บริหาร"
หลังจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น Geely Holdings จะมีสิทธิ์แต่งตั้งกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหารเข้าร่วม Aston Martin Board พร้อมที่นั่งผู้สังเกตการณ์ได้ทุกเมื่อ
แบรนด์รถยนต์ Aston Martin ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2456 ในสหราชอาณาจักรโดย Lionel Martin
และ Robert Banford เป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตที่มีชื่อเสียง รุ่นที่จำหน่ายในตลาด ได้แก่ รถสปอร์ตสองประตู Vantage, DB11, ดีบีเอสและสี่ประตูออฟโรดรุ่น DBX เป็นต้น
Aston Martin เป็นแบรนด์รถหรูอายุกว่าศตวรรษ นั่นคือ Aston Martin มีประวัติยาวนานกว่า Ferrari, Lamborghini, Maserati และแบรนด์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2456 Aston Martin ได้เปลี่ยนมือหลายครั้งและล้มละลายไปแล้วถึง 7 ครั้ง
จากข้อมูลระบุว่า ในปี 2490 David Brown ผู้ประกอบการชาวอังกฤษเข้าซื้อกิจการ Aston Martin ในปี 2537 ต่อมา David Brown ก็เทขาย Aston Martin ให้กับ Ford ในสหรัฐอเมริกาและกลายเป็น Ford ในเครือทั้งหมด
ในปี 2550 Ford ขายหุ้นรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ เช่น หุ้นของบริษัทในกลุ่มที่นำโดย Prodrive บริษัทรถแข่งของอังกฤษ
ในเดือนธันวาคม 2555 กองทุนหุ้นเอกชนของอิตาลี Investindustrial ประกาศการลงทุน 150 ล้านปอนด์เพื่อเข้าซื้อกิจการ 37.5% ของ Aston Martin Equity
และในเดือนตุลาคม 2561 Aston Martin จดทะเบียนแลกเปลี่ยนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ชีวิตของ Aston Martin ก็ไม่ง่ายเลย
แถมยังจมปลักอยู่กับการขาดทุนอีกด้วย ตามข้อมูลรายงานทางการเงินตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2564 Aston Martin ขาดทุน 104 ล้านปอนด์ 466 ล้านปอนด์ และ 189 ล้านปอนด์ตามช่วงลำดับดังกล่าว
โดยขาดทุนสะสม 759 ล้านปอนด์ใน3ปี
สำหรับการที่ Aston Martin ปฏิเสธ Geely สองครั้ง แต่ ทำไมจึงตกลงเป็นครั้งที่สาม
คนในวงการเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับการขาดทุนต่อเนื่องของ Aston Martin นั่นเอง
นอกจากนี้ ตลาดจีนยังเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของ Aston Martin ข้อมูลแสดงว่าในปี 2565 ยอดขายทั่วโลกของ Aston Martin จะเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 6,178 คัน
ดังนั้น ยอดขายของ Aston Martin จะต้องเพิ่มขึ้น 206% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในทางกลับกัน Geely Holdings แม้ว่าจะก่อตั้งขึ้นในปี 2529 ในฐานะหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน
แต่ Geely Holdings ก็เป็นที่รู้จักในฐานะ "ผู้ซื้อทั่วโลก"
และได้ขยายอาณาเขตอย่างมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ผ่านวิธีการจัดการ
"ซื้อซื้อซื้อและซื้อ" จนถึงตอนนี้ Geely Holding Group ได้มีแบรนด์รถยนต์หลายแบรนด์เก็บไว้ในเครือ ได้แก่
Geely, Lynk & Co, Jikrypton, Geometry, Volvo, Polestar, Proton, Lotus, London Electric Vehicle, Yuanyuan New Energy Commercial Vehicle, Taili Flying Vehicle และแบรนด์อื่นๆ
สำหรับการซื้อกิจการ Aston Martin โดย Geely Holdings นั้น คนในวงการเชื่อว่าการซื้อกิจการ Aston Martin อาจไม่ช่วยให้ Geely Holdings บรรลุกระแสเงินทุนในเชิงบวกในช่วงเวลาสั้นๆ
แต่ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายสามารถยกระดับชื่อเสียงระดับโลกของ Geely ในระดับหนึ่ง
ภาพประกอบการภายในข้อมูลแสดงให้เห็นว่ายอดขายขายส่งของ Aston Martin ในปี 2566 เพิ่มขึ้นประมาณ 4% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 6,412 คัน
โดยยอดขาย DBX คิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด
จากข้อมูลการประกันภัย Aston Martin จะเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับอัลตร้าลักชัวรีอันดับสามในตลาดภายในประเทศ(จีน)ในปี 2565 แต่ในปี 2566 ข้อมูลการประกันภัยจะเหลือเพียง 774 คัน
และอันดับจะลดลงมาอยู่ที่อันดับ 5
1
ตามรายงานทางการเงินล่าสุด รายได้จากการดำเนินงานของ Aston Martin ในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 1.38 พันล้านปอนด์
กำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 451 ล้านปอนด์
แต่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานจะ ขยายจาก 74 ล้านปอนด์ เป็น 118 ล้านปอนด์
Aston Martin กล่าวว่าหลังจากได้รับผลกระทบหลักจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ และเปิดเผยว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
คาดว่าจะดีขึ้นอย่างมากในปีหน้า(มั้งงงง)
ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่าง Geely Holdings และ Aston Martin อาจช่วยให้ Aston Martin ฟื้นตัวจากการสูญเสียได้
และอาจ(สามารถ)บรรลุกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก(ในช่วงครึ่งหลังของปี) และปริมาณรถยนต์ใหม่คาดว่าจะอยู่ที่ 7,000 คันในปี 2567
โฆษณา