22 พ.ค. 2023 เวลา 09:33 • การศึกษา

แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479

แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2479 ฉบับนี้มีสาระสำคัญพอจะสรุปได้คือ
1.  ชั้นประถมศึกษาที่เป็นการศึกษาภาคบังคับนั้น  ตัดลงเหลือเพียง 4 ปีเท่านั้น  คือบังคับให้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 4  ไม่มีประถมปีที่ 5-6 อีกต่อไป
2.  ลดชั้นมัธยมสามัญลงเหลือเพียง 6 ปี มัธยมปีที่ 1-3  ถือเป็นชั้นมัธยมต้น  มัธยมปลายที่ 4-6  ถือเป็นมัธยมปลาย  ผู้ที่สำเร็จชั้นมัธยมปีที่ 6   ถือว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมบริบูรณ์ แล้วออกไปประกอบการอาชีพต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นทางราชการหรืออาชีพอย่างอื่นได้
3.  ตั้งชั้นเตรียมอุดมศึกษาขึ้น  มีหลักสูตร 2 ปี สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะไปศึกษาต่อในชั้นอุดมศึกษาโดยเฉพาะ  แบ่งออกเป็น 2 แผนก  คือแผนกอักษรศาสตร์ และแผนกวิทยาศาสตร์
4.  เน้นเรื่องการแบ่งแรงในการจัดให้มีสถานศึกษาในแผนการศึกษาชาติไว้ชัดเจนว่า  “รัฐใช้วิธีแบ่งแรง  คือรัฐจัดตั้งขึ้นเองบ้าง  ยอมให้เทศบาล(ประชาบาล)  จัดตั้งขึ้นบ้าง และยอมให้คณะหรือเอกชนจัดตั้งตามความปรารถนาของตนบ้าง”
เหตุผลของการตัดชั้นมัธยมศึกษาลงเหลือเพียง 6 ชั้น เนื่องมาจากกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้นมีความเห็นว่าตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475 มีระยะเวลาในการศึกษาสามัญยาวเกินสมควร  นักเรียนต้องเสียเวลาในการเรียนสายสามัญถึง 12 ปี และยังจะต้องไปเข้าเรียนต่อในสายวิสามัญอีก  ซึ่งเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจะเห็นได้ว่า  แผนการศึกษาที่กำหนดไว้เดิมนั้นมีเวลานานเกินไป จึงได้ลดชั้นมัธยมบริบูรณ์  จากชั้นมัธยมปีที่ 8 ลงมาเหลือเพียงมัธยมปีที่ 6
ฉะนั้นนักเรียนในส่วนภูมิภาค ทุกจังหวัดจึงมีโอกาสได้เรียนถึงชั้นมัธยมบริบูรณ์ได้ในจังหวัดของตน  โดยไม่ต้องขวนขวายมาเรียนต่อในจังหวัดพระนครและตามจังหวัดใหญ่ๆ ที่เปิดสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 8  ผลที่เกิดจากแผนการศึกษาชาติ  พ.ศ. 2479 นี้คือการยุบเลิกชั้นมัธยมปีที่ 7-8  ในทุกๆโรงเรียนทั่วพระราชอาณาจักร และมีการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาขึ้นในบริเวณที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  เพียงโรงเรียนเดียว  รับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะเข้าศึกษาในชั้นอุดมศึกษา
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาตั้งขึ้นครั้งแรกเพียงโรงเรียนเดียวแบ่งเป็น 2 แผนก คืออักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์  ต่อมาภายหลังมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นอุดมศึกษาแห่งอื่นๆ  จึงได้ตั้งชั้นเตรียมอุดมศึกษาขึ้นบ้าง เช่นเตรียมธรรมศาสตร์  เตรียมนายร้อย  และเตรียมนายเรือ เป็นต้น
นักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมบริบูรณ์ที่ต้องการจะเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษาประเภทใด ต้องไปเข้าโรงเรียนเตรียมของสถาบันการศึกษานั้นๆ  เป็นเวลา 2 ปีเสียก่อน  ในการจัดชั้นเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษานี้  รัฐบาลมีหลักการให้จัดตั้งขึ้นทั้งที่เป็นโรงเรียนของรัฐและของราษฎร์  ในชั้นต้นรัฐจะเป็นผู้จัดก่อน  เพื่อเป็นตัวอย่าง
เมื่อโรงเรียนราษฎร์แห่งใดมีความสามารถพอที่จะจัดตั้งชั้นเตรียมอุดมศึกษาได้แล้ว  รัฐก็จะค่อยๆ ยุบโรงเรียนของรัฐลง  ปล่อยให้โรงเรียนราษฎร์จัดทำต่อไป  แต่นโยบายนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการก็พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น  จึงต้องระงับไป
สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาที่มีชั้นประถมปีที่ 5-6 ก็ถูกตัดเหลือเพียง ชั้นประถมปีที่ 4 ส่วนชั้นประถมปีที่ 5 และ6 นั้น  รัฐบาลมีโครงการที่จะจัดตั้งเป็นโรงเรียนประกอบอาชีพขึ้นแทน   ซึ่งต่อมาภายหลังมีการเปิดโรงเรียนประเภทการช่างขึ้น  ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตามความเหมาะสมของสภาพแห่งท้องถิ่น  เช่น  โรงเรียนช่างไม้  ช่างปูน  ช่างทอ  และโรงเรียนเกษตรกรรม  เป็นต้น
แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้นิยมเรียนเท่าไรนัก  โรงเรียนอาชีพเหล่านี้จึงตั้งไม่ใคร่ติด  กระทรวงศึกษาธิการมอบการจัดการศึกษาชั้นประถมให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนประชาบาลและโรงเรียนราษฎร์  แบ่งเบาภาระไปจากโรงเรียนรัฐบาล  โดยยุบชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลออกปีละชั้นจนหมด  เว้นแต่ในที่ๆยังไม่มีโรงเรียนราษฎร์หรือโรงเรียนประชาบาล  จึงจะให้คงมีชั้นประถมอยู่ต่อไปก่อน
เรื่องการเปลี่ยนแปลงอื่นๆที่น่าจะมากล่าวไว้ในที่นี้อีกได้แก่  การเปลี่ยนแปลงกิจการลูกเสือ เพื่อให้เข้าแบบมาตรฐานสากล  มีการแบ่งลักษณะออกเป็นเหล่าเสนา  และเหล่าสมุทรเสนา  หลักสูตรของวิชาลูกเสือก็เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลสมัย  ตลอดจนเครื่องแบบ
เมื่อสถานการณ์ของโลกตึงเครียดขึ้นก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง  กระทรวงศึกษาธิการได้รับความร่วมมือจากกระทรวงกลาโหมจัดตั้งยุวชนทหารขึ้นสำหรับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย  โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รู้จักวิชาทหาร  และปลุกใจให้รักชาติบ้านเมือง  ส่วนนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอุดมศึกษานั้นเป็นยุวชนนายทหาร  กิจการยุวชนทหารดำเนินมาจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง  จึงได้ยุบเลิกไป
เรื่องหลักสูตรก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสมัยประชาธิปไตย  เน้นหนักไปทางหน้าที่พลเมือง  เพื่อให้เป็นพลเมืองที่รู้จักหน้าที่ที่มีต่อประเทศชาติ  รู้จักสิทธิและหน้าที่ต่างๆอันพึงมีตามกฏหมาย  ให้มีความรู้เรื่องความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบันและความเป็นมาของประเทศต่างๆโดยทั่วๆไป
ประมวล/สรุปจาก..พงศ์อินทร์ ศุขขจร(ประวัติการศึกษาไทย, 2512)
Cr. เจ้าของภาพ
โฆษณา