24 พ.ค. 2023 เวลา 14:21 • การ์ตูน

อนิเมะ ฤดูใบไหม้ผลิ 2023

ฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยอนิเมะน่าสนใจมากมาย มากจนวันอาทิตย์ของผมหายไปกับการตามอนิเมะหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ไหน ๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งฤดูกาลแล้ว และผมเห็นว่าครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง และอยากจะมาแลกเปลี่ยนรายชื่อและความคิดเห็นต่ออนิเมะที่ผมติดตามอยู่ในฤดูใบไหม้ผลิ 2023
จริง ๆ ผมไม่เคยมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับอนิเมะที่ผมดูประจำฤดูกาลทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาคิดว่ามีไม่กี่เรื่องที่น่าพูดถึง แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมนั่งตามอนิเมะอยู่ แล้วพบว่าตัวเองดูอนิเมะในฤดูกาลนี้มากเกินไปสักหน่อย (จนกว่าจะได้มาตามผลการเลือกตั้งก็ดึกดื่นมาแล้ว) แม้ว่าจะมีอนิเมะที่น่าแนะนำ และได้แนะนำไปแล้ว อย่าง The Dangers in My Heart แต่เรื่องอื่น ๆ ก็น่าพูดถึงไม่แพ้กัน ซึ่งในฤดูกาลนี้ ผมดูอนิเมะแบบติดตามรายสัปดาห์ 14 เรื่อง
ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมไล่ดูเป็นลำดับแรก จนไปเรื่องสุดท้าย กล่าวคือ ผมจะไล่จากเรื่องที่ผมดูก่อนในคืนวันอาทิตย์ไปจนเรื่องสุดท้ายก่อนเข้านอนพร้อมรับวันจันทร์
จริง ๆ แล้ว เรื่องแรกที่ผมจะไล่ดูไม่ได้มีลำดับที่แน่นอน เพราะมันก็แล้วแต่อารมณ์ว่าอยากจะดูเรื่องไหนก่อน แต่ที่แน่ ๆ เรื่องที่ผมติดตามและสนใจเป็นพิเศษจะเป็นเรื่องท้าย ๆ ดังนั้น เรื่องแรก ๆ เป็นเรื่องที่ผมดูเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาพจิตใจพร้อมดูอนิเมะเท่านั้นเอง แต่ก็หาใช่ว่าเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องที่ผมมีความสนใจน้อยกว่าเรื่องอื่น ๆ (และหากผมไม่สนใจ ผมก็ไม่ได้เริ่มดูตั้งแต่แรกนั่นเอง)
A Galaxy Next Door (Otonari ni Ginga)
1. A Galaxy Next Door
เปิดเรื่องแรกมาคือรอมแมนติก-คอมมีดี้ที่ใจฟูเรื่องหนึ่งอย่าง A Galaxy Next Door เป็นเรื่องราวของนักเขียนมังงะที่ตั้งใจทำงานเพื่อเลี้ยงดูน้องทั้งสองคน กับเรื่องราวความรักระหว่างเขาและผู้ช่วยสาวผู้ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากเกาะหนึ่ง เนื้อเรื่องไม่มีปมปัญหาอะไรที่ต้องเครียดปวดตับหรือปวดใจ น้อง ๆ ของพระเอกก็ไม่มีมีความน่ารำคาญเหมือนตัวละครแบบเดียวในกันเรื่องอื่น ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดูไว้พักใจกับช่วงเวลาตึง ๆ ได้เรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าใช่ว่าจะผมจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ความเห็นส่วนตัวคือ เรื่องราวดำเนินช้าไปหน่อย และความไม่มีปมก็ทำอาจจะเบื่อได้บางครั้ง และตัวอนิเมชั่นเองก็ปกติ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นได้มาตรฐานขนาดที่มีอะไรให้ชม และก็เป็นแบบเอาภาพนิ่งมาต่อ ๆ กันบ่อย ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร ถ้าดูอย่างไม่คิดอะไรมาก ก็ทำให้ใจฟูได้เหมือนกัน
Mashle: Magic and Muscles
2. Mashle: Magic and Muscles
เพื่อเป็นการกระตุ้นความตื่นเต้น แต่ไม่ให้ต้องเครียดอะไรมากเกินไป อนิเมะอนิเมะแนวคอมมีตี้ที่ผมเลือกชมในฤดูกาลนี้คือ Mashle ซึ่งเป็นอนิเมะที่มีเนื้อหาหยอกล้อ Harry Potter ด้วยพระเอกที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เวทมนตร์เป็นเรื่องปกติ โดยที่พระเอก มีพลังกายภาพสูงกว่าคนอื่น ๆ และแก้ปัญหาด้วยพลังกล้ามเนื้อล้วน ๆ และหน้าตายของผม เนื้อหาของเรื่องปูโลกเวทมนตร์ที่ไม่มีความซับซ้อน ติดตามได้ง่าย และไม่มีความตึงเครียด
หากต้องจำกัดความเนื้อ Mashle ในคำเดียว ก็คงเป็นคำว่า สะใจ เพราะเรื่องนี้ทำหน้าตัวร้ายออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้มาก เมื่อพระเอกอัดหน้ามันแล้วสนใจสุด ๆพระเอกแม้จะหน้ามึน ๆ คิดถึงแต่ชูครีมเท่านั้น ก็หาใช่ว่าจะทำตัวไม่น่านับถือ และก็เช่นภาพลักษณ์พระเอกที่ถือคุณธรรมเหนืออำนาจ ภายนอกอาจจะดูเป็นแบบนั้น แต่เรื่องนี้ล้อเลียนแนวพระเอกแบบนั้นด้วยการให้พระเอกเป็นพวกทึ่ม ที่ใช้กำลังโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก่อน และก็ใช่ว่าจะมีเหตุผลทางคุณธรรมหนุนหลังตัวเองอยู่เสมอ
แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เหมือนกัน แท้ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเองก็มีความเรื่องมากเรื่องการทำอนิเมชั่นมากพอสมควร และหลายเรื่องที่เลิกดูก็เพราะอนิเมชั่นไม่สวยงาม หรือไม่มีความพยายามในการสร้าง แต่เรื่องนี้ ผมว่าจะมีอนิเมชั่นที่หยาบ เหมือนเอาหน้าในมังงะมาลงสี แต่ก็ได้อารมณ์ความเป็นอนิเมะแนวตลก ลักษณะคล้ายกับ The Way of the House Husband
Skip and Loafer
3. Skip and Loafer
ขำกันไปแล้ว ผมก็กลับมาดูอะไรที่มีความดราม่าขึ้นมาอีกนิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นนอนไม่หลับ อย่าง Skip and Loafer ที่เล่าเรื่องนักหญิงบ้านนอกเข้าเมืองมาเพื่อทำตามความฝันที่จะเป็นคนใหญ่คนโต และความจริงจังของเธอที่ทำให้เข้ากับเพื่อนร่วมห้องลำบาก กับเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนุ่มฮอตยอดนิยม เรื่องนี้ผมไม่ได้มองเป็นเรื่องโรแมนติกอะไรเท่าไหร่ มองว่าเป็นอนิเมะที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์หลายรูปแบบ และปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างกันและกัน
ผมมีความรู้สึกใกล้เคียงเล็กน้อยกับนางเอกของเรื่อง หนึ่งคือ ตั้งใจจะเรียนนิติศาสตร์เหมือนกัน (ซึ่งผมก็สำเร็จการศึกษาตรงนั้นมาแล้ว) และความจริงจังในการเรียน (ซึ่งผมเพิ่งจะมาจริงจังตอนมหาวิทยาลัย) แม้กระนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของนางเอกอยู่ตรงนี้ว่าความจริงจังนั้นกดดันตัวเองมากเกินไปหน่อย และพาเอากดดันคนรอบข้างตัวเองไปด้วย และความโลกสวยอย่างหนึ่งที่ไม่อยากจะมองคนในแง่ร้ายที่อาจแว้งกับมาทำร้ายตัวเอง
ตอนสมัยเรียน ผมก็มีความจริงจังและตึงเครียดไม่แพ้นางเอก จนทำให้เราเองปิดจากการมีเพื่อนใหม่ ๆ แลยึดติดกับเพื่อนเก่า ๆ ที่แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองกันหมด และอยู่ห่างกันคนละฟากโลก แต่เมื่อลดความตึงนั้นลงมา เปิดใจ และออกไปเที่ยวกับคนที่ไม่รู้จักบ้าง (ด้วยความระมัดระวัง) ความตึงนั้นก็น้อยลง และเริ่มยิ้มบ่อยขึ้น บางทีอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีการความเครียดและกดดันมากเกินไปก็เป็นภัยต่อสภาพจิตใจของตัวเองไม่น้อยเหมือนกันครับ
ทั้งนี้ Skip and Loafer ทำโดยค่าย P.A. Works เจ้าของผลงานแปลก ๆ เรื่องอื่น ๆ อย่าง Paripi Komei ที่ผมชื่นชอบมากในปีที่แล้ว และ Akiba Maid War ที่แปลกได้เรื่องพอสมควร พอมาทำเรื่องธรรมดา ๆ ก็ได้อารมณ์สบาย ๆ ได้เหมือนกัน และอนิเมชั่นก็ไม่ด้อยกว่าเรื่องอื่น ๆ เลย ก็คือ ดูแล้วไม่เบื่อ มีอะไรให้มองและสบายตาตลอด น่าชื่นชมมากครับ ตัวละครที่สวยหล่อก็ทำออกมาได้สวยหล่อมากเลย ไม่ใช่อนิเมะที่ให้ทุกตัวละครหน้าตาดีหมด อันนี้ก็น่าชื่นชมครับ
Insomniacs After School (Kimi wa Houkago Insomnia)
4. Insomniacs After School
ต่อมาก็จะดูเรื่องที่มีองค์ประกอบโรแมนติกมากขึ้นมาอีกหน่อย อย่าง Insomniacs After the School อนิเมะ Feel Good อีกเรื่องหนึ่งที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก แต่ให้อารมณ์ความคิดถึงแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาของเรื่องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราเลย เรื่องราวเล่าเรื่องหนุ่มสาวม. ปลายที่เป็นโรคนอนไม่หลับ (อ้อ หรือเพราะโรคนอนไม่หลับนั้นทำให้รู้สึกเข้าถึงได้ง่ายขึ้น) และเรื่องราวของพวกเขายามค่ำคืน
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะมีองค์ประกอบอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย เช่นสภาวะของการเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือเรื่องของการถ่ายภาพดวงดาวตอนกลางคืน แต่หลัก ๆ แล้วเป็นเรื่องความรักแน่นอนไม่ต้องสืบ เพราะถึงขั้นว่าคู่พระเอกนางเอกไม่สามารถนอนหลับได้หากทั้งสองไม่ได้นอนด้วยกัน ขนาดว่าเสียงจังหวะการเต้นหัวใจของพระเอกทำให้นางเอกรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย ดูไปเรื่อย ๆ แอบกระแอมเบา ๆ ว่า แต่งงานกันไปสักทีดิครับ
เรื่องนี้ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับ Call of the Night ที่ไม่ได้มีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติหรือเนื้อหาให้ติดตาม ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า Call of the Night ให้อารมณ์ความเงียบสงบของค่ำคืนดีกว่า แต่ Insomniacs After School ให้อารมณ์ที่มีพื้นฐานจากความเป็นจริงมากกว่า เรื่องนี้ที่ผมชื่นชมคือลายเส้นของภาพและตัวละครที่มีสัดส่วนเหมือนจริงมากกว่าอนิเมะเรื่องอื่น ๆ กล่าวคือ ดูแล้วให้อารมณ์เหมือนว่าทั้งคู่ยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่จริง ๆ และทำให้คิดถึงตัวเองตอนเป็นนักเรียนที่ไม่ได้มีอะไรหวานแหววแบบนั้นแม้แต่น้อย
Heavenly Delusion (Tengoku Daimakyou)
5. Heavenly Delusion
ดูอะไรที่มัน Feel Good มามากแล้ว ต้องเปลี่ยนอารมณ์ดูอะไรที่จริงจังและตื่นเต้นมากขึ้นหน่อย อย่างอนิเมะที่น่าติดตามอันดับต้น ๆ ของฤดูกาลนี้ เช่น Heavenly Delusion แท้จริงแล้วเรื่องนี้ผมเพิ่มเริ่มดูได้ไม่นานนี้เอง แต่อยู่ในแผนว่าจะดูมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่หาจังหวะเวลามาตามไม่ได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในอารมณ์ไหน
เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะเขียนเรื่องย่อให้อ่านกันยังไง เพราะเรื่องราวเริ่มขึ้นมาแล้วไม่ได้บอกอะไรผู้ชมเลย รู้แต่ว่า มันมีสองสถานที่หลัก ข้างใน และ ข้างนอก เรื่องเริ่มมาเล่าถึงกลุ่มเด็กน้อยที่อยู่ในโรงเรียนภายในกำแพงขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น และทำไมถึงมีสถานที่แบบนั้นอยู่ สักพักตัดมาที่คู่นักเดินทางในโลกที่พังทลายลงไป เพื่อตามหาสถานที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน เป็นอย่างไร และโลกที่พังทลายไปนั้นก็มีสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย
เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยปริศนา ผู้ชมได้แต่เดาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นยังไง ทำไมโลกถึงเป็นแบบนั้น ความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์เป็นอย่างไร และตัวละครเอกของเรื่องจะต้องผ่านไปพบเจออะไรบ้าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นปริศนาทั้งหมด แต่ก็เริ่มครี่คลายลงเรื่อย ๆ พร้อมทั้งปมปริศนาใหม่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ อนิเมะเรื่องนี้ไม่ได้ดูถูกสติปัญญาผู้ชมโดยมานั่งอธิบายความเป็นมาของเรื่องราว แต่บางทีก็แอบอยากให้หยุดแล้วอธิบายให้ฟังกันบ้างก็ดีเหมือนกันนะ
Heavenly Delusion เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากมาย จนไม่รู้ว่าจะต้องจัดอยู่ในหมวดไหน บางครั้งก็ฮา บางครั้งก็ตื่นเต้น บางครั้งที่น่ากลัวและสิ้นหวัง บางครั้งก็เศร้า (ล่าสุดน้ำตาไหลไปแล้ว) และบางครั้งก็คลื่นไส้ ปะปนกันได้อย่างลงตัว เป็นอีกเรื่องที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้จะจบหรือลงเอยอย่างไร ทำให้ดูจบในแต่ละตอนแล้วต้องหลุดปากออกมาว่า “เ-ย อะไรวะเนี่ย” แต่ก็ทำให้อยากติดตามต่อไปเรื่อย ๆ และเป็นกำลังใจให้สองนักเดินทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน
Konosuba: An Explosion on this Wonderful World! (Kono Subarashii Sekai ni Bakuen Wo!)
6. Kono Subarashii Sekai ni Bakuen Wo!
แน่นอนว่าผมเป็นแฟน KonoSuba อยู่แล้ว จะไม่ดู KonoSuba ภาคของเมกุมินได้อย่างไร ภาคนี้เล่าเรื่องราวของเมกุมินก่อนที่จะมาร่วมวงนักผจญภัยสุดฮาและไร้สาระ เป็นภาคที่ให้ความสำคัญที่ความสัมพันธ์ระหว่างเมกุมินและยุนยุน ตั้งแต่ที่ทั้งสองพบเจอกันตอนเด็ก เป็นผู้แข่งกันในตอนเรียน รวมถึงความต้องการของเมกุมินที่จะใช้เวทปาหี่อย่าง เอกุซุปุโรชั่น!
คุณริเอะ ทาคาฮาชิกลับมารับบทภาคเมกุมิน และนี่ไม่ใช่เรื่องเดียวที่คุณริเอะภาคในฤดูกาลนี้ อนิเมชั่นทำออกมาได้ดี สมความเป็น KonoSuba ตัวละครทำออกมาได้ฮา สมความเป็น KonoSuba รายละเอียดของเรื่องทำออกมาได้แบบ “อะไร๊” สมกับเป็น KonoSuba ตอนแรกผมเห็นตัวอย่างแล้วคิดว่า ภาคนี้จะดำเนินเรื่องตึง ๆ หรือเปล่า ทำให้ผมกังวลไม่น้อย แต่พอได้เริ่มดูแล้วก็จำได้ว่า นี่มัน KonoSuba นี่หว่า แล้วก็นั่งดูต่อไปได้อย่างสบายใจ
KonoSuba เป็นอนิเมะสายฮาที่เน้นความฮาไปที่ตัวละครและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา โดยเฉพาะตัวละครหลักของภาคหลัก ดังนั้น พอไม่มีความไร้ประโยชน์ของอควา ความจิตวิปริตของดาร์กเนส ความเท่าเทียมของคาซุมะ (“ไฮ คาซุมะเดส) ประกอบกับความจริงจังเป็นเด็กของเมกุมิน มันเลยรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรขาดหายไป ตัวละครอื่น ๆ เลยไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญเท่าไหร่ ทำให้เสน่ห์ของเรื่องลดลงไปมาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ด้อยค่าความไร้สาระของ KonoSuba แต่อย่างใด
อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้ผมอยากกลับไปนั่งดู KonoSuba อีกรอบ
ดู ๆ ไปกลับเข้าใจมุมหนึ่งของเมกุมินมากแบบน่าหดหู่ใจ ความชื่นชอบอะไรสักอย่างมากจนไม่สนใจที่จะทำอะไรอย่างอื่นเลย อย่างความสนใจในเวทย์ระเบิดของเมกุมินสะเทือนใจผมมาก ตัวผมเองก็ชื่นชอบและหลงรักวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนกัน และไม่ได้สนใจวิชาอย่างอื่นเลย จนไปเรียนป.โทจบสาขานั้นมา และรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก แม้ว่าจะเก่งวิชานั้นไปเลยก็ใช่ว่าจะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน น่าเศร้าใจนะเมกุมิน
Kubo won't let me be invisible (Kubo-san wo Mob wo Yurusanai)
7. Kubo won’t let me be invisible
เรื่อง Kubo-san นี้จริง ๆ แล้วเป็นอนิเมะของซีซั่นที่แล้ว ที่ดีเลย์และเลื่อนมาฉายต่อในซีซั่นนี้ ส่วนตัวแล้วผมติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว พร้อมกับเรื่อง The Angel Next Door รวมกันแล้วอาจจะทำให้เป็นเบาหวานได้ (ทั้งซีซั่นที่แล้วและซีซั่นนี้ทำให้ผมต้องลดระดับการบริโภคน้ำตาลต่อวันไปเยอะเลย)
ตัวอนิเมชั่นไม่มีอะไรหวือหวา เรื่องราวดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงติดตามอยู่ แต่พอดูแล้วรู้สึกใจชื้อ ก็เลยดูต่อไป อาจจะเป็นเพราะความสบายใจก็ได้ ในบรรดาอนิเมะในลิสต์นี้ Kubo-san และ A Galaxy Next Door เป็นเรื่องที่แทบจะไร้ซึ่งดราม่า พอคิดว่าอนิเมะหลายเรื่องของซีซั่นนี้มีเนื้อหาที่หนัก มันต้องถ่วงดุลด้วยอนิเมะที่มีเนื้อหาเบาไปด้วย
ฤดูกาลนี้เท่ากับว่ามีสาวเหลี่ยมจัดตั้งสองคนแหน่ะ!
Otaku Elf (Edomae Elf)
8. Otaku Elf
ยอมรับเลยว่า Edomae Elf ไม่ได้เป็นอนิเมะในลิสต์เดิมของผมก่อนฤดูกาลจะเริ่ม แต่เพิ่มจะมาเริ่มดูเร็ว ๆ นี้เอง แนวเนื้อหาของเรื่องไม่ใช่แบบนี้ผมสนใจแม้แต่นิด และลังเลอยู่นานมากกว่าจะเริ่มลองดูตอนแรก ปรากฏว่าติดเฉย Edomae Elf เกี่ยวกับเอล์ฟอายุกว่าหกร้อยปีที่มีสถานะเป็นเทพในศาลเจ้าประจำเมือง กับมิโกะที่มีหน้าที่ดูแลศาลเจ้าและเอล์ฟที่เอาแต่ติดเกมเป็นโอตาคุเก็บตัวไม่ออกจากอาราม
อย่างแรกที่ทำให้ติดเรื่องนี้คือความสวยงามของอนิเมชั่น แม้จะไม่มีฉากแอคชั่น และอยู่ในสถานะที่บ้านเมืองสงบสุข ชาวบ้านมีความรักและเอ็นดูกันและกัน แต่ก็ไม่ทำให้เบื่อเลยแม้แต่น้อย อย่างที่สองคือทิศทางของเรื่อง แม้จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเอล์ฟผู้เป็นอมตะและมิโกะที่อยากจะเป็นผู้ใหญ่
แม้จะเป็นเรื่องที่อารมณ์ดี และเอล์ฟอายุกว่าหกศตวรรษที่ทำตัวเป็นเด็กไปวัน ๆ แต่ก็มีอารมณ์เศร้าปะปนอยู่เล็กน้อย พอทำให้เป็นห่วง ลองคิดถึงมุมของเอล์ฟที่เป็นอมตะ ผ่านยุคสมัยมามากมาย พบเจอคนต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตและตายจากไปเรื่อย ๆ มันก็แฝงความรู้สึกเศร้าใจอยู่เมื่อคิดว่า ในอนาคต มิโกะคนนี้ก็จะต้องโตขึ้น แก่ลง และหายไปจากเอล์ฟตนนี้เหมือนกันในวันหนึ่ง ดูไปแล้วต้องลุ้นว่าเนื้อเรื่องมันจะไปดึงเศร้าตอนไหน ถือว่าตื่นเต้นพอสมควรครับ
โดยรวมแล้ว Edomae Elf เป็นเรื่องที่สนุกอย่างคาดไม่ถึง เนื้อหาไม่เครียด แม้จะปนเศร้าหน่อย ๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าอยากจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและปัจจุบัน นอกจากนี้ เอล์ฟเองก็อยู่มาตั้งแต่สมัยเอโดะ และด้วยความที่ผมเป็นเนิร์ด เวลาเขาพูดเรื่องประวัติศาสตร์ ก็สนใจมากเป็นพิเศษ ยังไงซะ เหมือนเรื่องนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าแนะนำมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลย ไม่น่าพลาดครับ
My Love Story with Yamada-kun at lv999 (Yamada-kun to lv999 Koi wo suru)
9. My Love Story with Yamada-Kun at lv999
เรื่องอื่น ๆ ผมไม่ค่อยมองว่าเป็นโรแมนซ์ขนาดนั้น เพราะมีองค์ประกอบอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย แต่ต้องยอมรับว่า Yamada-kun to lv990 Koi Suru เป็นโรแมนซ์เรื่องที่ผมติดตามอยู่อย่างใกล้ชิดเรื่องหนึ่งของฤดูกาลนี้ เรื่องนี้เป็นโชวโจโดยแท้ ทั้งเนื้อหาและแนวภาพ ทั้งเรื่องราวบอกเล่าโดยมุมมองของนางเอก เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอและยามาดะ ผู้เป็นโปรเกมเมอร์ไม่เอาสังคมคนหนึ่ง
ในส่วนของเนื้อหาแล้ว ผมว่ามันเฉย ๆ มาก และก็ไม่ค่อยชอบอนิเมะที่ทำตัวละครออกมาสวยหล่อทุกคน แต่ที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะว่าทิศทางของอนิเมชั่นที่น่าชื่นชม ซึ่งพอค้นดูแล้ว พบว่า Madhouse เป็นคนทำ อย่างหนึ่งที่ต้องพูดให้ได้ก็คือจังวะการดำเนินเรื่อง และการเปลี่ยนฉาก ที่ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ดูแล้วสบายตา ไม่ค้างเฟรมใดเฟรมหนึ่งไว้นานจนเกินไปแบบผิดธรรมชาติ
เนื้อเรื่องดำเนินอย่างเชื่องช้า และวางรากฐานตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ชมติดตามได้ง่าย และเข้าใจตัวละคร ทำให้น่าติดตามและเอาใจช่วย (ส่วนตัวแล้วหงุดหงิดไอพระเอกหน่อยนึง) ที่น่าชื่นชมในเชิงเนื้อหาคือไม่ได้เล่นกับมุกแนวเข้าใจผิดแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ มันก็เข้ากันกับตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาหน่อย ที่มีปัญหาแล้วก็ไม่คิดมาก มีเรื่องอื่น ๆ ต้องคิดด้วยเช่นกัน ถามว่าสมจริงหรือไม่ มันก็ไม่ค่อย แต่ก็เข้าถึงได้มากกว่า และดูแล้วไม่น่ารำคาญ จัดได้ว่าเป็นโรแมนซ์ที่ได้มาตรฐานเรื่องหนึ่ง
The Dangers in My Heart (Boku no Kokoro no Yabai Yatsu)
10. The Dangers in My Heart
ส่วนโรมแมนซ์ที่ทำได้เกินมาตรฐานของฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าผมลำเอียง ก็คือ Boku no Kokoro no Yabai Yatsu เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เพราะพูดถึงไปแล้วในโพสแนะนำอนิเมะประจำฤดูใบไหม้ผลิ 2023
ฤดูกาลนี้มีอนิเมะแนวโรแมนซ์มากมาย มีตั้งแต่ความรักในวัยม.ต้น อย่าง The Dangers in my Heart ความรักวัยม.ปลาย อย่าง Skip and Loafer ความรักวัย.มหาลัย อย่าง Yamada-Kun และความรักวัยทำงาน อย่าง A Galaxy Next Door
อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำว่า อนิเมชั่นทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ในฐานะคนที่ติดตามมังงะเรื่องนี้ ผมตื้นตันใจและดีอกดีใจมากที่มังงะที่ตัวเองชอบดัดแปลงเป็นอนิเมะที่ได้รับความใส่ใจและได้อรรถรสยิ่งไปกว่าหน้ากระดาษ
ผมพูดถึงเรื่องนี้ไปมากแล้ว ยังไงก็ขอฝากอนิเมะชั้นยอดนี้ไว้ด้วยครับ
Mobile Suit Gundam: The Witch from Mercury season 2 (Kidou Senshi Gundam: Suisei no Majo season 2)
11. Mobile Suit Gundam: The Witch from Mercury Season 2
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามกันดั้มอย่างแฟนคลับคนหนึ่ง ทั้งดู และเก็บของเล่น แม่มดจากดาวพุธ ซีซั่น 2 ดำเนินเรื่องราวต่อจาก ซีซั่น 1 ที่ฉายในฤดูใบไหม้ร่วงของ 2022 เรื่องราวก็คือกันดั้มดี ๆ นี่เอง เป็นเรื่องของสงคราม ความเห็นต่างทางการเมือง ผลกระทบต่อเด็กจากสงครามที่ผู้ใหญ่เป็นคนก่อ โดยมีกันดั้มและการต่อสู้ระหว่างหุ่นรบเป็นองค์ประกอบ
อนิเมชั่นชั้นยอด และน่าชื่นชม น่ายินดี สำหรับคนที่ซื้อกันดั้มบ่อย ๆ แล้ว ก็ดีใจที่เงินที่จ่ายไปเอามาสร้างเป็นอนิเมะน้ำดีแบบนี้ แม้ว่ากันดั้มภาคนี้จะมีเนื้อหาพื้นฐานที่การทำธุรกิจและมีพื้นหลังอยู่ในโรงเรียน แต่ก็อาจทำให้ลืมไปบ้างว่า นี่ยังเป็นอนิเมะกันดั้มอยู่ และความเป็นอนิเมะกันดั้มนั้นย่อมเลื่องชื่อเรื่องเนื้อหาที่มีความหดหู่และตึงเครียดอยู่แล้ว ก่อนที่จะเปิดดูแต่ละตอน จะต้องทำใจระยะหนึ่งเลยทีเดียว ว่าตอนนี้ มันจะโยนเนื้อหาอะไรให้เราปวดตับอีก
นอกจากอนิเมชั่นกันดั้มที่เป็น 2-D อันสวยงาม และทำให้อยากซื้อของเล่นมาเก็บแล้ว กับเนื้อหาที่ตึงเครียดอันเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าหดหู่ และปริศนาที่น่าติดตาม กันดั้มภาคนี้ยังให้ความใส่ใจที่การพัฒนาของตัวละครอย่างมาก แม้ว่าเจตนาของแต่ละตัวละครจะยังมีความคลุมเคลืออยู่ แต่ก็เริ่มแสดงออกมาให้ผู้ชมเห็นแล้ว และก็อดอยากจะเอากำลังใจช่วยบางตัวละครไม่ได้
คนที่เป็นแฟนกันดั้มอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ควรพลาด คนที่อยากเข้าถึงกันดั้ม แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หรือไม่อยากจะไปตามจักรวาล UC อันยืดยาวและซับซ้อน G-Witch เรื่องนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงดูดผู้ชมเข้าสู่กันดั้มได้อย่างดี เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาไม่ผูกมัดกักจักรวาลอื่น เข้าถึงง่ายกว่า และยังคงความเป็นกันดั้มด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและชวนอึดอัด
Demon Slayer: Sworsmith Village Arc (Kimetsu no Yaiba: Katanakaji no Sato-hen)
12. Demon Slayer: Swordsmith Village Arc
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงก็คงจะรู้จักกันอยู่แล้ว นั่นคือ ดาบพิฆาตอสูร แม้ว่าจะอ่านเนื้อหาของภาคนี้แล้วไปก็ตาม แต่ก็ต้องมนั่งดูอนิเมะอยู่ดี เพราะอนิเมชั่นระดับโยนงบประมาณการสร้างทิ้งไปได้เลย คุณภาพของงานเทียบเท่ากับผลงานระดับหนังโรง แสง สี เสียงของอนิเมะทำออกมาได้ดีอย่างไม่มีที่ติเสมอ ฉากต่อสู้ที่อลังการงานสร้างจนขนลุกก็มีให้ชมอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าภาคนี้ด้อยที่สุดในเรื่อง เพราะว่าแอบคิดว่ามันจบง่ายไปหน่อย แต่ก็เป็นภาคที่สำคัญที่จะไขปมปริศนาต่าง ๆ ของเรื่อง ทั้งยังปูเรื่องไปยังภาคอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมากมาย นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาไม่ซับซ้อน ดูง่าย เข้าใจง่าย และไม่หวือหวา แต่นั่นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของดาบพิฆาตอสูร ทำให้เนื้อหาที่ได้มาตรฐานอยู่แล้ว ประกอบการความใส่ใจในอนิเมชั่นจากค่าย Ufotable ก็การันตีความเจ๋งของการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และอสูรได้เลย
ต้องยกความดีความชอบในการสร้างอนิเมะที่สวยงามและมีคุณภาพระดับนี้เอาไว้ แต่ก็มีข้อตำหนิเช่นเดียวกัน เนื่องจากว่า ส่วนตัวผมมองว่าภาคนี้น่าตื่นเต้นกว่าภาคอื่น ๆ ก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ ทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวดำเนินช้าไปมาก จริง ๆ ก็รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ภาคที่แล้ว แต่ก็สัมผัสได้ว่า ค่ายนี้มักจะอัดแน่นคุณภาพในฉากต่อสู้ในตอนท้าย ๆ มากกว่า และแทบจะรับรองคุณภาพนั้นได้เลย เมื่อคิดแบบนั้นได้แล้วก็สามารถให้อภัยจังหวะการดำเนินเรื่องที่เชื่องช้าแบบนี้ได้
Hell's Paradise (Jigokuraku)
13. Hells’ Paradise
หงสาวดีอเวจีเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามอง อนิเมะจากค่าย Mappa เลื่องชื่อด้านคุณภาพอยู่แล้ว และคุณภาพของอนิเมชั่นก็ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย ส่วนเนื้อหามาจากงานของอดีตผู้ช่วยของคนเขียน Chainsaw Man ดังนั้น พอดูแล้วก็ได้กลิ่นอายความโหดร้ายที่ได้รับอิทธิพลมาจากงานอย่าง Chainsaw Man อยู่บ้าง แต่ก็มีกลิ่นอายของความสดใหม่อยู่เช่นเดียวกัน
ความโหดแบบเลือดสาด เป็นองค์ประกอบที่มองข้ามไม่ได้ แต่ความสวยงามของเนื้อเรื่องและตัวละครก็น่าพูดถึงเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของอดีตนินจาติดคุณภรรยา กับการเปลี่ยนแปลงจากปีศาจสู่ความธรรมดา หรือเพชฌฆาตสาวที่ต้องเติบโตรับภาระความรู้สึกของการเป็นนักตัดหัวอาชีพ ความตายและการเข่นฆ่ากันก็เป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญ เป็นเรื่องราวของความตายที่ไร้แก่นสารกับการมีชีวิตที่มีความหมาย เป็นเรื่องที่มีความสวยงามอยู่ในความโหดเหี้ยม
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ได้ไปตามอ่านมังงะ เพราะอยากจะรับชมเนื้อเรื่องผ่านอนิเมะ ทำให้ในใจเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวละครต่าง ๆ และการเอาตัวรอดในสภาพที่น่าหวาดกลัวแบบนั้น บนเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาด เป็นเรื่องที่ผมเดาเนื้อหาไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร ไม่รู้ว่าใครจะต้องมาตายอีก ไม่รู้จุดมุ่งหมายของใครเป็นอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
อนิเมชั่นการต่อสู้ที่มันส์สะใจ ตัวละครที่มีมติและการออกแบบที่สวยงาม ลายเส้นที่สะอาด ประกอบกับองค์ประกอบความเป็นปริศนา การเอาตัวรอดในที่ ๆ แปลกหูแปลกตา อันตรายที่อยู่ตรงหน้า และภัยอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ทำให้หงสาวดีอเวจีเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด (และคุณทาคาฮาชิ ริเอะก็ได้งานพากษ์ในเรื่องนี้เช่นกัน)
Oshi no Ko
14. Oshi no Ko
เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ได้รับชื่อเป็นอนิเมะที่มีคนติดตามและคาดหวังมากที่สุดของฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าผมเองก็พลาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นของผมต่อเรื่องนี้ก็ได้เขียนไว้อย่างยืดยาวแล้ว ดังนั้นในนี้ก็คงขอเขียนไว้ไม่มาก เหตุผลที่ผมดูเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของสัปดาห์ แม้ว่าตอนใหม่จะฉายตั้งแต่วันพุธก็ตาม เพราะว่าผมอยากปิดสัปดาห์ด้วยเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดของฤดูกาล
ใช่แล้วครับ แม้ว่าผมจะเชียร์ The Dangers in My Heart สุดใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่า Oshi no Ko ครองตำแหน่งอนิเมะที่ชื่นชอบที่สุดของฤดูกาล หากถามว่าชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือชอบเพียงเพราะว่าเป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงกันอยู่อย่างมาก ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกัน หนึ่งเลย ผมชื่นชมผลงานของอาจารย์อาคาซากะ อากะ ผู้ที่เขียน Kaguya-Sama อย่างมาก อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมลำเอียง
สอง ผมเป็นแฟนเพลงวง Yoasobi มาตั้งนานแล้ว และก็ใฝ่ฝันที่จะได้ไปชมคอนเสิร์ตของวงนี้อยู่เสมอ (แม้ว่าโอกาสนั้นจะมีหรือไม่ก็ตาม) อีกทั้งเพลงเปิดที่ Yoasobi ทำให้เรื่องนี้ก็ทำเอาขนลุกทุกครั้ง ฟังตัวเพลงเฉย ๆ ก็เพราะแล้ว เนื้อหากินใจชวนจุกอก ประกอบกับอนิเมชั่นของเพลงเปิดในอนิเมะ ยิ่งทำให้ตื่นเต้น
สาม อนิเมชั่นของเรื่องนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สวยงาม ลื่นไหลดูแล้วสบายตา สัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ของผู้สร้าง มีที่ติอยู่ที่ว่า ดำเนินเรื่องช้าไปหน่อย ทำให้พอตอนจบแล้ว ยังคาใจอยู่ แต่ก็ไม่ได้ช้าแบบที่ให้อภัยไม่ได้ เพราะเข้าใจว่ามีเนื้อหาเยอะที่จะต้องครอบคลุม เมื่อรู้ว่า Oshi no Ko จะได้อนิเมะ 11 ตอนของฤดูกาลนี้ ก็คิดได้ว่า คงจะต้องไปตามอ่านมังงะต่อ (แต่พอคิดว่าตอนแรกมีความยาวเท่ากับอนิเมะ 4 ตอนแล้ว ก็พอใจ)
สี่ เนื้อหามีความน่าติดตามมาก แม้ว่าเรื่องนี้มีพื้นเป็นอนิเมะที่เล่าเรื่องวงการบันเทิง แต่โดยแก่นแล้วเป็นเรื่องราวการไขปริศนา การแก้แค้น ความสูญเสีย ความตาย ความใจสลาย ส่วนตัวแล้วมักจะไม่รู้เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของสัปดาห์ แต่องค์ประกอบปริศนานั้นก็ถ่วงดุลด้วยตัวละครที่มีความสดใจ ตลก แต่มีมิติหลายมุมมอง ทำให้รู้สึกอย่างเอาใจช่วยคนเหล่านั้น
ห้า ตัวผมมีพื้นเป็นโอตาคุ และเคยติดตามไอดอลมาพอสมควรเหมือนกัน ความรู้สึกอย่างเอาใจช่วยตัวละครเหล่านั้นสะท้อนความรู้สึกของผมในฐานะแฟนคลับได้ดีเช่นกัน แม้ว่าตัวละครเหล่านั้นไม่ใช่คนจริง ๆ ก็ตาม แต่ก็เกิดความรู้สึกอย่างสนับสนุน ทั้งนี้ ผมเองก็ยังเลือกไม่ได้ว่าคานะหรืออาคาเนะเป็น Best Girl ก็เลยอยากติดตามเพื่อที่จะตัดสินใจให้ได้เหมือนกัน
ผมเคยเขียนความคิดเห็นของผมต่อเรื่องนี้ไปแล้ว หากจะให้พูดต่อ ก็จะกลายเป็นพูดซ้ำซาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องนี้ คุณทาคาฮาชิ ริเอะก็รับพากษ์เป็นโฮชิโนะ ไอด้วย งานเข้าเยอะจริง ๆ เลยนะครับ
Kaguya-same: Love is War - The First Kiss That Never Ends (Kaguya-same wa Kokurasetai: First Kiss wa Owaranai)
อื่น ๆ
ช่วงฤดูกาลนี้มีอนิเมะเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้นับว่าเป็นอนิเมะประจำฤดูกาลอยู่ และผมก็ตามดูไปเรียบร้อยแล้ว เช่น Oergairu OVA 3 ที่ออกเมื่อปลายเดือนเมษายน ช่างเป็นอนิเมะที่น่าคิดถึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเหล่าตัวละครทั้งหลาย เรื่องนี้ผมชอบการพากษ์ตัวละครเป็นพิเศษด้วย นอกจากนั้นมี Kaguya-sama – The First Kiss That Never Ends ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อจากจนจบของภาคที่แล้ว ความฮายังคงเส้นคงวา แต่ต้องพร้อมรับแรงกระแทกของเนื้อหาภาคต่อไปด้วย
แน่นอนว่ามีเรื่องอื่นอีกมากมายที่ผมไม่ได้ดูในฤดูกาลนี้ ทั้งที่อาจจะดูก็ตาม เช่น Ranking of Kings แต่ผมยังไม่ได้ดูภาคก่อนหน้านี้ และต้องไปตามดูให้ได้ด้วย และที่น่าสนใจ แต่ผมไม่อยากดู เช่น My Home Hero ที่ดูทรงแล้วคงทำให้หดหู่เกินไป หรือ Dr. Stone ที่ผมยังไม่เคยดูภาคก่อนหน้า (และก็ไม่คิดว่าจะดูด้วย)
อนิเมะที่กล่าวมา 14 เรื่องคืออนิเมะที่ผมติดตามชมอยู่ในฤดูใบไหม้ผลิประจำปี 2023 นี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อหมดฤดูกาล จะมีเรื่องไหนบ้างที่ผมจะเท แต่เท่าที่ดูแล้วก็น่าติดตามจนสิ้นฤดูกาลทั้งนั้นเลย ส่วนตัวแล้วผมคงจะต้องแบ่งเวลาติดตามอนิเมะใหม่ เพราะดูรวดเดียวแล้วกินเวลาไปเกือบ ๆ 4 ชั่วโมงครึ่ง แบบนั้นตาผมคงล้ามากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนี้ที่เต็มไปด้วยอนิเมะคุณภาพ ทำให้ผมกลับมาคิดได้อีกครั้งว่า “ดีจังเลยนะที่ชอบดูอนิเมะ”
โฆษณา