25 พ.ค. 2023 เวลา 04:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Fast X (2023) – ที่ ๆ เราไป ขอแค่มีศรัทธา

ครั้งหนึ่ง แฟรนไชส์รถซิ่งสตรีทธรรมดา ๆ บ้าน ๆ ได้วิวัฒน์และปรับตัว กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์แอ็คชั่นมหากาฬแห่งยุค ที่มาพร้อมฉากแอ็คชั่นลูกบ้าเต็มลูกสูบที่ค่อย ๆ ยกระดับความโม้บ้าบิ่นขึ้นทุกภาค แฟรนไชส์ Fast & Furious ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมสองทศวรรษ กลายมาถึงบทสรุปของปลายทางถนนสายระห่ำ ด้วยภาคแรกของภาคปิดอย่าง Fast X
Fast X เล่าเรื่องของก๊วนโดมินิค ทอเรตโต้ หลังภารกิจในภาคก่อน ที่พยายามจะใช้ชีวิตสงบสุข โดยขณะที่ฝั่งโรมันกำลังรับจ๊อบเสริมในฐานะผู้นำทีมคนใหม่ เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ ดันเต้ เรเยส ลูกชายของเฮอร์นาน เรเยส มาเฟียจากริโอ้ หวนกลับมาทวงแค้นด้วยแผนที่หวังจะฉีกครอบครัว และก๊วนเพื่อนของดอมให้เป็นชิ้น ๆ ดอมจึงต้องรับมือกับการตามล่า ที่โลกทั้งใบหันกลับมาจับตาเขา
ขณะที่ภาคก่อนได้ จัสติน ลิน หวนกลับมากุมบังเหียน แต่ก็ถอนตัวอย่างรวดเร็วก่อนถ่ายทำภาค 10 ที่ได้รับการขนานนามว่าจะเป็น “ภาคสุดท้าย” แต่ก็ได้ผู้กำกับ ฯ อย่าง หลุยส์ เลทเทอร์เรียร์ ก้าวเข้ามา รับไม้ต่อได้อย่างทันท่วงที ตัวหนังเปิดขึ้นมา ด้วยการให้เราได้ทำความรู้จักกับตัวร้ายหลักประจำภาคนี้อย่าง “ดันเต้ เรเยส” ผ่านการย้อนฉากไคลแมกซ์ขนตู้เซฟสุดมันส์ใน Fast Five ที่กลายเป็นต้นตอความคลั่งแค้น ที่จะมาประดังกันมาด้วยความวินาศสันตะโรในเรื่องนี้
ค้นพบว่า ตัวหนังมีความทะเยอทะยานท่ายากในด้านการเล่าเรื่องอยู่มาก หากเทียบจากภาคก่อน ๆ ที่ส่วนมากเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง แต่อาจแตกด้วยสองมุมมอง หลัก ๆ คือฟากดอมที่วางแผนทำภารกิจด้วยรถยนต์ กับฝั่งตัวร้าย ที่มากไปด้วยแผนการยากจะโค่นล้ม ภาคนี้ ด้วยการมาของตัวละครของดันเต้ ทำให้ฝั่งแฟมิลี่ของดอม ต้องกระจายกันไปทำภารกิจตามเส้นเรื่องของแต่ละกลุ่มด้วยตัวเอง ส่งผลให้ตัวหนัง มีความน่าติดตามมากขึ้นจากการกระจายเส้นเรื่อง
นอกเหนือจากนี้ การมีอยู่ของตัวละคนดันเต้ แถมด้วยการแสดงที่เพิ่มสีสันและรสชาติของ เจสัน โมมัว ก็ทำให้ตัวหนังมีความพลิกผันและผันผวนของเรื่องราวมากขึ้น จากการวางบุคลิกตัวละครของดันเต้ ให้เป็นคู่ปรับที่มีความสามารถสมน้ำสมเนื้อ แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับฝั่งดอมได้อย่างอยู่มือ
แถมด้วยการวางเรื่องราว ดูจะวางปมให้ย้อนหลังกลับไปหาภาคก่อน ๆ อยู่เยอะ ทั้งเรื่องราวหลักจากใน Fast Five จนไปถึงปมเล็กปมน้อย ทั้งการกล่าวถึงอาวุธไฮเทคในภาคอื่น รวมถึงฉากแอ็คชั่น ก็เหมือนจะหยิบยกกลิ่นอายและดีไซน์จากฉากแอ็คชั่นภาคอื่น ราวกับเป็นงานรวมฮิต ก็ทำให้เหมือนภาคนี้ ดูเป็นบทสรุปอย่างที่โม้ไว้จริง ๆ
กระนั้นเอง แม้ตัวหนังจะมีส่วนที่ทำให้รู้สึกชอบมากมายในด้านความทะเยอทะยาน เนื้อหาของมัน ก็ยังติดหล่มในความโม้เหม็นของแฟรนไชส์ ทั้งความทะเยอทะยานในการแบ่งเส้นเรื่อง ที่เกือบจะคุมไม่อยู่ ทั้งจังหวะในการตัดสลับและดุลความลื่นไหลของการเล่าเรื่อง จนทำให้ภาพรวมหนังเกือบจะเละเทะ และหากเทียบ เส้นเรื่องในบางเส้นก็ดูจะไม่ได้คืบหน้าไปมากนัก หากเทียบกับความยาวหนังระดับเต็มเหยียด
และถึงแม้ ตัวหนังจะฉลาด ที่รู้ตัวว่าแฟรนไชส์ใกล้ถึงทางตัน จึงตัดสินใจหวนกลับไปย้อนรอยเดินตามภาคที่ประสบความสำเร็จสุด แต่สรรค์สร้างวิธีเล่าแบบใหม่ กับออกแบบตัวร้าย ที่มีบุคลิกคาดเดายาก มากสีสัน แต่ก็เพรียบพร้อมด้วยแผน จนทำให้หนังดูจะมีทิศทางพลิกผันตลอดเวลา รวมถึงทำให้เหล่าตัวละครที่เคยไร้เทียมทาน ดูจะเผชิญกับคู่มือที่ยากเกินจะรับ มันก็ยังเดินไปในทิศทางเดิม ที่ทำให้ตัวเอกแบบดอมแสดงอภินิหารเหนือมนุษย์ ด้วยพลังวิเศษอย่างรถยนต์เช่นเคย
นอกเหนือจากนี้ ส่วนตัวรู้สึกว่าการกำกับจังหวะของหนัง แทบจะไม่มีที่มาที่ไปมาก ๆ จากลำดับเรื่องที่ฉับไว แต่แทบไม่มีการลำดับไล่เรียงอารมณ์ ทั้งการเผยจุดพลิกผันของเรื่อง ที่ควรจะทำให้รู้สึกประหลาดใจ หรือกระทั่งถึงจุดสูงสุดทางอารมณ์ ตัวหนังก็แทบจะไม่เลี้ยงอารมณ์ และกลับเดินหน้าไปหาฉากแอ็คชั่นต่อไปแทน
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อหนังถูกทำหน้าที่เป็นดั่ง “ภาคแรก” ของบทสรุปเส้นทางสายระห่ำอย่างที่โม้ไว้ และมันก็ขีดเขียนเรื่องราวที่ส่งเหล่าตัวละครไปสู่ทิศทางที่ดูเป็นปริศนา แต่ด้วยผลพวงทางอารมณ์ทั้งหมด กลับกลายเป็นความว่างเปล่าที่อาจทำให้ชวนเหวอในคราวแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราแปลกใจ หรือต้องข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย
นั่นจึงไม่แปลก ที่ความดังกัมปนาทของฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นในภาคนี้ จะกลายเป็นแค่เสียงกึกก้องชั่วคราว ที่ไม่นานก็เงียบหายและถูกลืมเลือนโดยไว
สรุปแล้ว Fast X คือภาคแรกของบทสรุปเส้นทางสายระห่ำ ที่มาพร้อมฉากแอ็คชั่นกลิ่นอายคุ้นมากมาย ที่ขนกันมาราวกับเป็นงานรวมฮิตของแฟรนไชส์ ด้วยการออกแบบโครงเรื่องและวิถีที่ทะเยอทะยาน แตกแขนงเส้นเรื่องกระจายตัวละคร กับตัวร้ายที่มาช่วยเพิ่มสีสันและชดเชยความคาดเดาง่าย ให้ตัวหนังมีความน่าติดตามขึ้น
แต่มันก็ยังคงติดหล่มที่ยังข้ามไม่พ้น ที่คุมความทะเยอทะยานด้านเล่าเรื่องไม่อยู่ การกำกับบางทีก็ไม่มีที่มาที่ไป แถมไม่อาจเลี้ยงอารมณ์ร่วมเอาไว้ได้ และถึงแม้จะมีคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ มันก็ยังมาพร้อมผลลัพธ์ cliffhanger ที่ยังคงเดาได้ในท้ายที่สุด
3 / 5
Fast X (2023)
Directed by Louis Leterrier
Screenplay by Dan Mazeau & Justin Lin
Story by Dan Mazeau & Justin Lin and Zach Dean
Based on Characters by Gary Scott Thompson

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา