ประเทศไทยส่งออก “ถุงยางอนามัย” เกือบครึ่งของโลก
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทย ส่งออกถุงยางอนามัย อันดับ 1 ของโลก และครองส่วนแบ่งตลาดถึงเกือบครึ่งหนึ่ง เลยทีเดียว
รวมทั้งยังเป็นฐานการผลิตของแบรนด์ถุงยางอนามัย ที่เราคุ้นเคยชื่อกันหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Durex, Okamoto หรือ ONETOUCH ที่เป็นแบรนด์สัญชาติไทยเอง
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ไทย เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกถุงยางอนามัย ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่น หลายคนคงทราบว่า วัตถุดิบตั้งต้นหลักของการผลิตถุงยางอนามัย ก็คือ “ยางพารา”
ยางพารา เรียกได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เนื่องจากบ้านเรามีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น เหมาะกับการเพาะปลูก โดยเฉพาะในบริเวณภาคใต้
โดยจังหวัดที่มีการปลูกยางพารามากที่สุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี สงขลา และนครศรีธรรมราช
ประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางพารา มากถึง 21.9 ล้านไร่ ซึ่งสร้างผลผลิตได้ราว 5.2 ล้านตันต่อปี สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นสัดส่วน 37.5% ของผลผลิตทั่วโลก
จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ที่เราจะมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมยางพารา ทั้งในด้านปริมาณวัตถุดิบและ ต้นทุนที่แข่งขันได้ สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มได้ตามมา
หนึ่งในผลิตภัณฑ์จากยางพาราอย่างน้ำยางข้น เป็นวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าในชีวิตประจำวันหลายชนิด เช่น
- ถุงมือยาง
- ถุงยางอนามัย
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เรา มีบริษัทถุงยางอนามัย เข้ามาตั้งโรงงานผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดโลก ทั้งผู้ที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง รวมถึงรับจ้างผลิตให้กับรายอื่น ๆ
เรามาลองดูผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ในไทย
- บริษัท เอสเอสแอล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตถุงยางอนามัยแบรนด์ Durex จากประเทศอังกฤษ มีรายได้อยู่ที่ 2,438 ล้านบาท
- บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือชื่อในตลาดหุ้นคือ “TNR” เจ้าของแบรนด์ถุงยางอนามัยสัญชาติไทยอย่าง ONETOUCH และผู้จัดจำหน่ายถุงยางอนามัยแบรนด์ Playboy จากสหรัฐอเมริกา มีรายได้อยู่ที่ 1,771 ล้านบาท
- บริษัท โอกาโมโต รับเบอร์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตถุงยางอนามัยแบรนด์ Okamoto จากประเทศญี่ปุ่น มีรายได้อยู่ที่ 911 ล้านบาท
แล้วไทยส่งออกถุงยางอนามัย ได้มากแค่ไหน ?
ในปี 2022 ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกถุงยางอนามัย คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 9,300 ล้านบาท
โดยในตลาดโลก มีส่วนแบ่งของผู้ส่งออกถุงยางอนามัย ดังนี้
อันดับ 1 ประเทศไทย ส่วนแบ่งตลาด 44%
อันดับ 2 ประเทศจีน ส่วนแบ่งตลาด 13%
อันดับ 3 ประเทศมาเลเซีย ส่วนแบ่งตลาด 11%
จะเห็นได้ว่า ไทยครองส่วนแบ่งการส่งออกถุงยางอนามัย ได้เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลก และทิ้งห่างจากประเทศอื่นอยู่พอสมควร
นอกจากนั้น อีกปัจจัยที่มีส่วนสำคัญไม่น้อย คือ ความต้องการใช้ถุงยางอนามัยจากประเทศคู่ค้า
โดยประเทศหลัก ๆ ที่นำเข้าถุงยางอนามัยจากไทยมากสุด คือ จีน สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
สำหรับตลาดใหญ่สุดอย่างจีน มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2022 จำนวนประชากรจีน ลดลงราว 850,000 คน มาอยู่ที่ประมาณ 1,411 ล้านคน เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 60 ปี นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960s ที่จีนเผชิญกับภาวะอดอยากครั้งใหญ่ และหลังจากนั้นก็มีจำนวนประชากรเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
รวมถึง ปัจจุบัน อัตราการเกิดของคนจีน ก็อยู่ที่เพียง 6.77 คน ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย
หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ที่มีประชากรราว 331 ล้านคน ในปีที่ผ่านมา ก็มีอัตราการเติบโตของประชากรเพียง 0.4% เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราเกือบต่ำสุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน
มันจึงอาจสะท้อนถึงพฤติกรรมการวางแผนครอบครัว และการคุมกำเนิด ที่เปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งเป็นผลดีต่อความต้องการใช้ถุงยางอนามัย ที่ประเทศเหล่านี้ต้องนำเข้าเพิ่ม จากผู้ส่งออกหลักอย่างไทย
จากเรื่องราวนี้ คงเป็นแง่คิดที่น่าสนใจว่าผลิตภัณฑ์จากยางพาราอย่างถุงยางอนามัย เป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูง ที่สร้างรายได้มหาศาล ให้กับประเทศในแต่ละปี
ในอดีตที่ผ่านมา หลายคนอาจเคยได้ยินปัญหาความตกต่ำของราคายางพารา ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในเวทีระดับชาติ อยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้น หากผู้ที่เกี่ยวข้อง มีการวางแผนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากยางพาราให้ดี ไม่ว่าจะเป็น ถุงยางอนามัย ถุงมือยาง หรือสินค้าชนิดอื่น ๆ
โดยใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบ และต้นทุนที่ได้เปรียบ รวมไปถึงวิเคราะห์ตลาดส่งออกที่ควรมุ่งเน้น
มันก็อาจเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ และเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกร โรงงานผู้ผลิต และเศรษฐกิจไทย ก็เป็นได้..
ใครอยากมีความรู้เรื่องตลาดหุ้น ลงทุนแมนแนะนำ หนังสือ BLACK SWAN เล่มนี้ ราคา 380 บาท ที่เล่าถึงความล้มเหลวก่อนที่จะสำเร็จของนักลงทุนในตำนาน 12 คน สามารถสั่งซื้อ ได้ที่
References
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- 29
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
