29 พ.ค. 2023 เวลา 04:12 • ประวัติศาสตร์

ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเด็กชายวัย 14 ปีผู้ตกลงมาจากเครื่องบิน

เด็กวัยรุ่นหลายคนคงเกลียดการถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ โดยเฉพาะโรงเรียนประจำที่เคร่งศาสนาและมีกฎระเบียบยิบย่อยให้ปฏิบัติตามมากมาย
และในปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) นั่นคือสิ่งที่ “คีท แซปส์ฟอร์ด (Keith Sapsford)” เด็กชายชาวออสเตรเลียวัย 14 ปีกำลังจะเผชิญ
คีทตัดสินใจจะหนีออกจากบ้าน หากแต่จุดหมายของคีทนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
นั่นคือคีทตัดสินใจหนีออกไปจากออสเตรเลีย แอบลักลอบขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศอื่น
แต่การตัดสินใจของคีทจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ก่อนหน้าที่คีทจะตัดสินใจหนีไปกับเครื่องบิน พ่อของคีทได้เล่าให้คีทฟังถึงเรื่องราวของเด็กชายชาวสเปนที่ลักลอบแอบเข้าไปในช่วงล่างของเครื่องบิน หนีไปกับเครื่องบิน หากแต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากความกดอากาศที่เปลี่ยนไปในระดับความสูง
สาเหตุที่พ่อของคีทเล่าเรื่องนี้ให้คีทฟัง ก็เนื่องจากต้องการจะปรามลูกชาย หากแต่ผลที่ได้อาจเป็นตรงข้าม
คีทนั้นเกิดในปีค.ศ.1956 (พ.ศ.2499) และเป็นเด็กที่มีนิสัยช่างสงสัย รักการผจญภัย มักจะหนีออกจากบ้านเสมอๆ
ด้วยความที่คึกคะนองและมีจิตวิญญาณแรงกล้า พ่อแม่ของคีทจึงคิดจะปรามคีทด้วยการส่งคีทไปยังโรงเรียนประจำคาทอลิก ซึ่งเป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญในการดูแลเด็กเกเร
4
แต่หลังจากคีทไปยังโรงเรียนนั้นได้เพียงสองสัปดาห์ คีทก็สามารถหนีออกมาจากโรงเรียนได้ และคีทก็มุ่งตรงไปยังสนามบิน
3
ในเวลานั้น กฎระเบียบในสนามบินยังไม่เข้มงวดเท่าปัจจุบัน ทำให้คีทสามารถลักลอบเข้าไปยังสนามบิน ก่อนจะเห็นเครื่องบินลำหนึ่งซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ญี่ปุ่น และตัดสินใจจะลักลอบขึ้นเครื่องบินลำนั้น
คีทเชื่อว่าตนนั้นคงไม่ได้รับอันตรายจากความกดอากาศเหมือนเด็กชายชาวสเปนที่พ่อเล่าให้ฟัง เนื่องจากคีทจะเข้าไปอยู่ในส่วนล้อ และน่าจะไม่ได้รับอันตรายจากความกดอากาศ
แต่สิ่งที่คีทคาดไม่ถึงก็คือ ช่องเก็บล้อเครื่องบินจะเปิดออกอีกครั้งหลังจากเครื่องบินบินขึ้น ทำให้คีทตกลงมาจากความสูง 200 ฟุต (ประมาณ 60 เมตร)
1
ผลที่ได้คือคีทตกลงมาจากเครื่องบิน และเสียชีวิตทันที เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของครอบครัวแซปส์ฟอร์ด
จากการตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบินในสหรัฐอเมริกา พบว่าในระหว่างค.ศ.1947-2012 (พ.ศ.2490-2555) มีผู้ลักลอบเข้าไปในส่วนล้อของเครื่องบินเพื่อหนีไปยังที่อื่นถึง 96 ราย 85 ไฟล์ท แต่รอดชีวิตเพียงแค่ 23 ราย
4
นั่นเท่ากับมีผู้เสียชีวิตถึง 73 รายเลยทีเดียว
ในขณะเกิดเหตุ ที่พื้นดิน “จอห์น กิลพิน (John Gilpin)” ช่างภาพสมัครเล่น ก็ได้อยู่ที่สนามบินเหมือนกัน และก็ได้ถ่ายภาพต่างๆ ในสนามบิน โดยหวังว่าน่าจะมีซักภาพหรือสองภาพที่ออกมาสวย
1
แต่ที่จอห์นคิดไม่ถึงเลยก็คือ ภาพของตนนั้นจะเป็นจังหวะที่คีทตกลงมาพอดี
ในเวลานั้น คีทอยู่ในส่วนล้อของเครื่องบินเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินจะบินขึ้น และในเวลาต่อมา เมื่อมีการตรวจสอบเครื่องบิน ก็พบทั้งลายนิ้วมือของคีท รอยเท้า และเศษผ้าจากเสื้อของคีท ซึ่งเป็นหลักฐานว่าคีทลอบขึ้นมาบนเครื่องบินจริงๆ
1
และที่น่าเศร้าอีกก็คือ ต่อให้คีทไม่ตกลงไปตาย ก็ไม่น่าจะรอด น่าจะเสียชีวิตจากความเย็นและหายใจไม่ออกอยู่ดี โดยบริเวณที่คีทหลบอยู่นั้นมีอุณหภูมิที่เย็นจัด และไม่มีอ๊อกซิเจน
3
นอกจากนั้น บริเวณล้อที่คีทเข้าไปหลบนั้นก็มีความเสี่ยง เนื่องจากพื้นที่แคบมาก คีทคงต้องอึดอัดและไม่น่าจะทนไหว
หลังจากที่กิลพินถ่ายภาพที่สนามบินแล้ว อีกเกือบหนึ่งสัปดาห์ต่อมา กิลพินจึงเพิ่งสังเกตเห็นรูปของตนรูปหนึ่งมีความผิดปกติ
นั่นคือเป็นวินาทีที่คีทตกลงมาตาย
ภาพวินาทีที่คีทตกลงมาจากล้อเครื่องบิน
มือของคีทนั้นกางออก ราวกับกำลังตะเกียกตะกายจะไขว่คว้าอะไรซักอย่างเพื่อเกาะไว้ไม่ให้ตกลงมา
ภาพที่กิลพินถ่ายได้นั้น จนถึงปัจจุบัน ก็ยังเป็นภาพที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกขนลุกและหดหู่ในเวลาเดียวกัน และยังตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้
โฆษณา