Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธเนศเล่าขาน "ทานทางปัญญา"
•
ติดตาม
29 พ.ค. 2023 เวลา 03:54 • การศึกษา
แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494
เนื่องจากแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479 ประกาศใช้มานานกว่า 15 ปีแล้ว ไม่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข เพราะเป็นสมัยที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพสงครามเป็นเวลานานหลายปี เมื่อประเทศชาติกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว จึงได้มีการพิจารณาเรื่องแผนการศึกษาชาติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อวางแผนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติ จึงได้กำหนดแผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2494
ในแผนการศึกษาชาติฉบับนี้ แบ่งองค์ประกอบของการศึกษาออกเป็น 4 องค์ แทนที่จะเป็น 3 อย่างเดิม โดยมีพุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา การที่เพิ่มหัตถศึกษาเข้าไปเป็นองค์ 4 แห่งการศึกษานั้น ก็เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนเกิดความเคยชินและความขยันหมั่นเพียรในการใช้มือปฏิบัติงาน เพื่อเป็นรากฐานของการประกอบสัมมาอาชีพ กล่าวกันว่านักเรียนที่เข้ามาศึกษาด้านสามัญศึกษาในโรงเรียนนานๆ มักจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งไม่ชอบทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานหนังสือ
โดยเห็นว่างานที่ต้องใช้มืออื่นๆเป็นงานต่ำ งานสกปรก เช่น เครื่องใช้ไม้สอยชำรุดก็ไม่อยากซ่อมด้วยตนเอง หรือไม่มีความสามารถที่จะซ่อมได้ จะตอกตะปูก็เก้งก้าง ตอกไม่เข้า เพราะไม่เคยทำ ต้องไปจ้างเขาทำ หรือไปซื้อใหม่หรือแม้จะไปซื้อใหม่บางทีก็เลือกซื้อสิ่งที่มีคุณภาพที่ไม่เหมาะสมแก่ราคา จึงได้เพิ่มหัตถศึกษาขึ้นไว้ในแผนการศึกษาชาติ
แผนการศึกษาชาติฉบับนี้ มีกล่าวถึงการศึกษาชั้นอนุบาลไว้ด้วย ซึ่งในแผนการศึกษาพ.ศ. 2479 ยังใช้คำว่ามูลศึกษา แต่วงเล็บคำภาษาอังกฤษว่า (Kindergarten) แสดงว่าได้มีความสนใจในเรื่องการศึกษาชั้นอนุบาลกันมาแล้ว ตั้งแต่พ.ศ. 2479 แต่ยังไม่ได้ระบุไว้เด่นชัดในสมัยนั้น
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เคยดำริไว้ว่า เด็กมีอายุระหว่าง 3-7 ปี ก็ควรจะได้รับการส่งเสริมให้มีความสามารถและมีความเจริญทางกาย ทางใจด้วย และควรจัดให้มีโรงเรียนอนุบาลสำหรับเด็กที่ก่อนจะมีอายุถึงเกณฑ์บังคับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการอบรมตามประเพณีนิยมของประชาคม เป็นการปลูกฝังและขัดเกลานิสัยให้มีทัศนคติที่ดีมาตั้งแต่เยาว์วัย
ความดำริของท่านนักการศึกษาผู้นี้ เป็นที่รับรองกันทั่วไปในวงการศึกษาและได้มีการริเริ่มกันมาบ้างแล้วตั้งแต่พ.ศ. 2484 โดยเฉพาะที่โรงเรียนอนุบาลลอออุทิศ ในจังหวัดพระนคร และตามจังหวัดใหญ่ๆ บางจังหวัด จนกระทั่งพ.ศ. 2494 จึงได้ระบุไว้ในแผนการศึกษาชาติว่า
"6. การศึกษาชั้นอนุบาลได้แก่การอบรมกุลบุตรกุลธิดาก่อนการศึกษาบังคับ โดยมีหลักการให้อบรมนิสัยและฝึกประสาทไว้ให้พร้อมที่จะรับการศึกษาชั้นประถมศึกษาต่อไป"
สิ่งที่น่าสนใจนอกจากเรื่องการอนุบาลก็คือ การศึกษาภาคบังคับระบุไว้ว่า กุลบุตรกุลธิดาเพิ่งได้รับการศึกษาอยู่ในโรงเรียนจนอายุย่างเข้าปีที่ 15 เป็นอย่างน้อย เรื่องนี้เป็นความดำริของรัฐบาลในสมัยนั้น เห็นว่าการบังคับให้นักเรียนเรียนเพียงจบชั้นประถมปีที่ 4 เท่านั้น ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะอบรมยุวชนให้เป็นพลเมืองดีที่เหมาะสมกับกาลสมัย ควรจะขยายการศึกษาภาคบังคับให้สูงขึ้นไป อย่างน้อยที่สุดก็ควรเป็นชั้นมัธยมปีที่ 3 คือบังคับให้อยู่ในโรงเรียนเป็นเวลา 7 ปี จะได้มีความรู้ทั่วไปกว้างขวางยิ่งขึ้น
แต่นั่นก็เป็นเพียงแต่ความดำริ เพราะรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะทำ เนื่องจากกำลังทางเศรษฐกิจยังไม่อำนวยให้ แม้การบังคับให้เด็กได้รับการศึกษาเล่าเรียนตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา จะเริ่มมาแต่พ.ศ. 2464 กว่าจะใช้บังคับได้ทั่วทุกตำบลก็กินเวลาเกือบ 14 ปี คือพ.ศ. 2478 ทั้งนี้ไม่นับถึงระยะเวลาที่เตรียมการ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่พ.ศ. 2430 จนถึงพ.ศ. 2474 อีก 34 ปีเข้าด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นเพียงระยะเตรียมการเท่านั้น
สำหรับการศึกษาในชั้นมัธยมก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ในแผนการศึกษา พ.ศ. 2494 มีระบุไว้ดังนี้
"8. มัธยมศึกษาแยกออกเป็น 3 สายคือ
ก. มัธยมสามัญศึกษา ได้แก่การศึกษาวิสามัญต่อจากประถมศึกษา และการฝึกหัดทำการงาน ซึ่งเป็นพื้นความรู้ความสามารถเบื้องต้นของพลเมือง จัดสอนตั้งแต่มัธยมสามัญปีที่ 1 ถึงปีที่ 3
ข. มัธยมวิสามัญศึกษา ได้แก่การศึกษาวิชาซึ่งเป็นพื้นความรู้สำหรับไปศึกษาต่อในชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรืออาชีวศึกษา จัดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมวิสามัญตอนต้นปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 และชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายปีที่ 4 ถึงปีที่ 6
ค. มัธยมอาชีวศึกษา ได้แก่การศึกษาวิชาเฉพาะซึ่งเป็นพื้นความรู้สำหรับประกอบอาชีพ โดยรับช่วงจากประถมศึกษา มัธยมสามัญศึกษา หรือมัธยมวิสามัญศึกษาทุกระยะที่สุดประโยค จัดสอนเป็นมัธยมอาชีวศึกษาตอนต้นและมัธยมอาชีวศึกษาตอนปลาย แต่จะกำหนดเวลาไม่เกิน 3 ปี"
จากแผนการศึกษาชาติฉบับนี้ จะเห็นได้ว่า คำว่า สามัญศึกษาและวิสามัญศึกษามีความหมายกลับกันกับแผนการศึกษาฉบับก่อนๆ และตามความเข้าใจของคนทั่วๆไป แต่เดิมคำว่าวิสามัญศึกษาเคยหมายถึงการศึกษาด้านอาชีพ และคำสามัญศึกษาหมายถึงการศึกษาในทางหนังสือ
แต่ในแผนการศึกษาชาติพ.ศ. 2494 มีคำว่ามัธยมอาชีวศึกษาเกิดขึ้นอีกคำหนึ่ง มัธยมอาชีวศึกษาเป็นการศึกษาวิชาชีพโดยตรง เช่น โรงเรียนเพาะช่าง โรงเรียนเกษตร และโรงเรียนพาณิชยการ เป็นต้น แทนคำวิสามัญเดิม คำว่าสามัญศึกษานั้นหมายความว่า เป็นการศึกษาในชั้นสูงจากประถมศึกษาขึ้นไป(ประถมศึกษาเป็นการศึกษาบังคับ) เพื่อฝึกหัดทำการงาน ซึ่งเป็นพื้นความรู้ความสามารถเบื้องต้น ที่พลเมืองทุกคนจะพึงเรียนรู้ จึงเรียกเสียว่าสามัญศึกษา
ส่วนคำว่า วิสามัญศึกษา เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาความรู้ในทางหนังสือสูงขึ้นไป ซึ่งพลเมืองไม่จำเป็นจะต้องรู้ด้วยกันทุกคน เป็นการเรียนเพื่อไปศึกษาต่อในชั้นเตรียมอุดมศึกษาหรืออาชีวศึกษาชั้นสูง โดยเหตุที่ไม่บังคับ ไม่ต้องเรียนรู้ทุกคน จึงเรียกว่าวิสามัญ ส่วนที่บังคับให้นักเรียนรู้ทุกคน เรียกว่าสามัญ และในขั้นต่อไปจะกลายเป็นการศึกษาภาคบังคับ มัธยมสามัญศึกษานี้มีเรียนต่อจากชั้นประถมศึกษาอีก 3 ปี
เมื่อประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 แล้ว กระทรวงศึกษาธิการได้จัดเปิดชั้นมัธยมสามัญศึกษาขึ้น ตามโรงเรียนประชาบาลบางโรงเรียน เป็นการทดลอง
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการศึกษาพิเศษ และการศึกษาผู้ใหญ่ไว้ในแผนการศึกษาชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในวงการศึกษาไทย แต่ความจริงนั้นการศึกษาผู้ใหญ่ได้เคยริเริ่มมาแล้วในตอนก่อนสงคราม
รัฐบาลในสมัยนั้นได้วางนโยบายจัดการศึกษาผู้ใหญ่ และแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2480 เป็นการสอนให้ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ ให้อ่านออกเขียนได้ และสอนให้รู้หน้าที่ของพลเมือง กระทรวงศึกษาธิการได้เปิดโรงเรียนผู้ใหญ่ขึ้นเมื่อพ.ศ. 2482 โดยจัดสอนให้เปล่าทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ปรากฏว่าได้ผลดี มีนักเรียนผู้ใหญ่สมัครเข้าเรียนกันมาก
แต่พอเกิดสงครามขั้นแตกหักราษฎรต้องอพยพหลบภัยสงคราม และประสบความอัตคัดฝืดเคืองในด้านการครองชีพ การศึกษาผู้ใหญ่จึงซบเซาไปมาก และในที่สุดก็เลิกไปโดยปริยาย
จนกระทั่งถึงพ.ศ. 2491 จึงมีการฟื้นฟูขึ้นใหม่ นอกจากจะทำในวัตถุประสงค์เพียงให้รู้หนังสือและรู้หน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังมุ่งส่งเสริมอาชีพและความเป็นอยู่ของราษฎรให้สูงขึ้นด้วย กระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งโรงเรียนภาคหลักมูลฐาน โรงเรียนภาคมัธยม และโรงเรียนภาคอาชีวศึกษาผู้ใหญ่ขึ้น ในพ.ศ. 2491 และพ.ศ. 2492 ในแผนการศึกษาชาติพ.ศ. 2494 ได้กล่าวถึงเรื่องการ ศึกษาผู้ใหญ่ไว้ดังนี้
“15. การศึกษาผู้ใหญ่ ได้แก่การศึกษาซึ่งกำหนดเวลาศึกษาเป็นครั้งคราวสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆไป ที่ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาขณะที่อยู่ในวัยเล่าเรียน หรือที่ประสงค์จะศึกษาเพิ่มเติม เพื่อประกอบอาชีพให้ได้ดียิ่งขึ้น หรือที่อยู่ในสภาพซึ่งไม่อาจรับการศึกษาได้ตามปกติ”
ประมวล/สรุปจาก..พงศ์อินทร์ ศุขขจร(ประวัติการศึกษาไทย, 2512)
Cr.เจ้าของภาพ
https://www.blockdit.com/tanes009
ประวัติศาสตร์
โรงเรียน
แผนการศึกษาชาติ
1 บันทึก
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย