30 พ.ค. 2023 เวลา 07:16 • ความคิดเห็น
เรื่องของลมที่หายใจที่เข้าออก มันก็ล้วนปกคลุมไปด้วยอารมณ์
เช่น..เวลามีอารมณ์โกรธ…ลมหายใจเข้าออก ..ก็เป็นอารมณ์ของความโกรธ
..เวลา โลภ..ก็เป็นอารมณ์ ..ลมหายใจเข้าออก ..ก็เป็นอารมณ์ของความโลภ
..แล้วชีวิตเรามันก็ใช้อารมณ์โลภโกรธหลงตลอดเวลา ลมที่หายใจเข้าออก ก็เป็น ลมเข้าออก ..หายใจเข้า ก็เป็นโลภโกรธหลง หายใจออกก็เป็นโลภโกรธหลง ..จิตใจในกายกวุ่นวายกับอารมณ์โลภโกรธหลงตลอดเวลา..
เมื่อเรามาฝึกหัด ให้สติดูลมหายใจเข้าออก นั่งกายนิ่ง..จิตกำหนด ให้มีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัว .อยู่กับลมหายใจเข้าออก..กำหนดให้จิตมีสติ รู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจ ทั้งเข้าทั้งออก ดูเหมือนหยุดนิ่ง ดูดลมเข้าออก จิตภาวนาพุทโธ ไม่ขาดสาย ..สมมุติว่า เราจะทำสักครึ่งชั่วโมง เราก็ดู ..ให้ได้อย่างนั่น ให้อยู่ตรงนั้น แล้วไม่มีความคิดอะไรปรุงแต่งเลย นอกจากคำ..ภาวนาพุทโธ เวลาปฏิบัติธรรมยังไม่ต้องไปพิจารณาอะไร ทำให้กายนิ่งจิตนิ่งให้ได้เสียก่อน ตรงนั้นจะเกิดเป็นปัญญาของจิต ปัญญาที่ทำให้กายนั้นนิ่งได้ จิตนิ่งได้..
..หากเราทำได้ นั่นก็แสดงว่า จิตของเรามีสติดีเข้มแข็งดี เมื่อยังทำไม่ได้ เรากต้องฝึกหัดต่อไป เพราะอารมณ์เข้าก็..ปกคลุมทั้งลมเข้าลมออก ถ้าเรามีสมาธินิ่งขึ้นไป เราจะสังเกต เห็นเป็นสีม่วง สีดำบ้างที่เข้าออก กับลมหายใจ นั่นก็คือ หายใจเข้าก็มีกรรม หายใจออกก็มีกรรม เมื่อเป็นลักษณะเป็นสีดำ .มันก็จะเกิดคำว่า ทุกขเวทนาเกิดขึ้น มีความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
เรื่องของปฏิบัติธรรม นั่นเมื่อเรานำกายมาปฏิบัติธรรม เราก็ต้องรู้จักเรื่องของกาย เรานำกายของคุณบิดามารดา มาประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยใคร ตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้เคยกระทำ เรามาเรียนรู้เดินตามรอยของท่าน
..ก่อนปฏิบัติธรรม ก็ต้องกราบ นอบน้อมกราบ ด้วยสติระลึกในพระคุณบิดามารดา ก่อนกราบ ก็บอกตัวเอง ว่าขอนำกายบิดามารดาที่จิตข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ขอนำกายบิดามารดา มาประพฤติปฏิบัติธรรม บอกตัวเองให้กายนิ่ง จิตเฉย ..เรานั่งพับเพียบ กายตั้งตรงดีแล้ว ก็วางมือซ้ายลงที่หน้าตัก..มารดา วางมืิอขวาทับมือซ้ายที่หน้าตักบิดา
..สำรวจตัวเอง ทั้งกายทั้งจิต ตั้งตรงดีแล้ว จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกว่าจะครบกำหนดเวลา
เมื่อสำรวจดีแล้ว กายพร้อม จิตพร้อม (ฮึกเหิมต่อสู้ ..สู้กับอารมณ์ของตัวเอง) ก็พูดให้หูเราได้ยิน บอกตัวเอง กายนิ่ง จิตเฉย ..แล้วเราก็ให้จิตภาวนาไป แค่สองคำ พุทธ..รู้ .โธ..สงบ เราก็ดูว่า มันสงบหรือไม่ หรือ มันหงุดหงิด เราก็ทนไป ..ภาวนาไปไม่ถึงกำหนดเวลา เรากไม่ขยับเขยื้อนไปไหน อดทนตรงนี้ นิ่งเฉย เพื่อผจญมาร .มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่เคลื่อนไหว ขยับกายไปไหน จิตก็ไม่ไปสนใจอะไร นอกจากคำว่าพุทโธ นั่นก็คือการนำจิต ..ออกจากโคลนตม ที่จิตนั้นจมอยู่กับกรรมมานาน
เมื่อจะออกจากกิริยาการปฏิบัติ เราก็กราบพระ ขอขมา ของพระธรรมอุทิศส่วนกุศล ให้พ่อแม่ผู้ที่อุปการะ อุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวร ..เนื่องที่ได้นำกายพ่อแม่ มาปฏิบัติธรรม เพื่อกายเป็นบุญจิตมีธรรม หลังการปฏิบัติธรรมเสร็จก็ สำรวจตัวเอง ว่ากายนั้นเบามั้ย .เราฝึกหัดไปเรื่อยๆ กายก็เบา จิตก็เบา ลมหายใจก็ละเอียดโล่งขึ้น เรื่องเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อนก็ไม่มี อารมณ์ที่เคยหงุดหงิด วุ่นวาย ระสับกระส่าย ไม่ชอบใจมไม่พอใจ ก็จะค่อยๆเบาบางลงไปๆ
เมื่อเราปฏิบัติธรรม ได้ถูกวิธี สิ่งต่างๆที่เกาะติดเรือนกาย เหมือนสิ่งสกปรก ก็จะหลุดล่วงลงไป ลอกออกไปเป็นชั้นๆ เหมือนเราเอาโตลนตตมที่หมักหมมมานาน ..ค่ิยยลอกออกไป ..เป็นชั้นๆ เพราะเราไม่ได้ เกิดมาแค่ชาตินี้ชาติเดียว โคลนตมจึงสะสมมามากมายก่ายกอง
อะไรที่ทำให้โคลนตมหลุดลอกออกไป..นั่นก็คือ เมื่อเรานำกายบิดามารดา มาเดินยืนนั่งนอนในกิริยาของพระ รอยของพระ ทำกายนิ่งๆจิตนิ่งๆเฉย ไม่นึกคิดอะไร มีแค่ภาวนาพุทโธ ..จิตเราก็นอบน้อมเค้าไปหาพระ ..ก็จะเกิดมีแสงส่องลงมาที่จิค ..ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ เพราะจิตของเรายังแน่นหนาด้วยโคลนตม ต้องทำให้เป็นนิจสิน แล้วเราก็จะรู้สึกเอง ว่านิสัยของตนเองเปลี่ยนแปลงไป.ในทางที่ดี
.. นั่นก็คือ เมื่อเรานำเรือนกายบิดามารดามาปฏิบัติธรรมได้ ยืนเดินนั่งนอนได้ ก็เหมือนเรานำกายมาอาบน้ำของธรรม..เมื่อเราชำระสะสางมากเข้า กายมีบุญ มีกายบุญรอคอย คือ กายเทพยดาอินทร์พรหม ทำได้ ..ก็มีโอกาสไปเกิดในยุคต้นพระศรีอริยะเมตตไตรย ..มีใครจะได้โอกาส คัดเลือกไปยุคนั้นบ้างน่ะ
โฆษณา