Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PD Okhun
•
ติดตาม
31 พ.ค. 2023 เวลา 12:56 • การ์ตูน
ความยิ่งใหญ่ของอนิเมะ – Oshi no Ko Episode 7
ไหน ๆ สัปดาห์นี้ เกิดใหม่เป็นลูกโอชิก็พักฉาย วันพุธนี้ก็คงจะเงียบ ๆ หน่อย ก็เลยคิดว่าคงเป็นโอกาสที่ดีที่จะพูดถึงความเจ๋งของตอนที่ 7 ซึ่ง อย่างที่กล่าวไปในโพสก่อน ผมดูเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายหลังจากดูอนิเมะประจำฤดูกาล 13 เรื่องแล้ว และเริ่มคิดว่าตัวเองคิดผิด เพราะกลายเป็นว่าไม่ได้นอนเพราะดูย้ำไปหลายรอบมาก บ้างอาจจะบอกว่า เกิดใหม่เป็ฯลูกโอชิได้รับความนิยมเกินกว่าที่ควรเป็น แต่ถ้ามีส่วนไหนที่คิดว่าดีก็ต้องชมเชย และตอนที่ 6 และ 7 ทำออกมาได้ดีมาก ขนาดจะไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้
ผมจะไม่พูดถึงเนื้อหาของตอนที่ 6 เพราะคงมีคนพูดถึงกันไปมากแล้ว เนื่องจากเนื้อหาที่มีการพูดถึงปัญหาสังคมที่ตึงเครียด และสะท้อนสภาพของ Cancel Culture ออกมาได้อย่างน่าหดหู่ ตัวผมเองมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มาก (เคยเขียนไว้ในร่างของโพสเกี่ยวกับ Oshi no Ko แต่ก็ตัดสินใจลบออกไป) คิดว่าจะให้พูด ก็คงจะยาวเกินไป สิ่งที่น่าพูดถึงของตอนที่ 6 คือความดีของอนิเมชั่น โดยเฉพาะตอนที่อาคาเนะอยู่บนสะพานและสลับระหว่างภาพของเธอในความคิดและความจริง
ประเด็นที่อยากจะพูดถึงวันนี้ คือตอนท้ายของตอนที่ 7 ที่ดูแล้วชวนขนลุก และนั่นเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก (แบบใจเต้นทำให้นอนไม่หลับเลย เลยคิดว่าไม่ควรดูเรื่องนี้ก่อนนอนอีกแล้ว) จึงอยากจะมาพูดถึงสั้น ๆ ถึงความเจ๋งของอนิเมะเรื่องนี้ ที่ทำให้ฉากหนึ่งมี Impact และทำให้ผู้ชมขนลุกได้ นั่นคือ ฉากที่อาคาเนะสวมร่างเป็นโฮชิโนะ ไอ
บางฉากในอนิเมะมันทำออกมาได้ดีจนอยากจะกลับไปหาอ่านมังงะต้นเหตุของเรื่อง เพื่อเปรียบเทียบดูอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างที่สำคัญคือ ฉากนั้นมันพาเราขนลุกเพราะเนื้อเรื่อง หรือเพราการกำกับภาพและการออกแบบจังหวะประกอบกับองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีแต่อนิเมะที่ทำได้ ดังนั้นผมจึงกลับไปหาอ่านมังงะตอนนั้นดู และพบว่า ในมังงะก็มี Impact มาอยู่แล้ว แต่อนิเมะทวีคูณความขนลุกนั้นด้วยองค์ประกอบของความเป็นอนิเมะ
ต้องกล่าวถึงฉากที่อาคาเนะค้นคว้าเรื่องของไอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Role Research ซึ่งเป็นฉากที่ผมชอบมาก และแสดงความเป็นจริงจังในการงานของอาคาเนะ (และส่วนตัวที่โดยสปอยมาบ้างแล้ว ก็คิดว่ามันพาเข้าสู่ตัวละครอาคาเนะยอดนักสืบด้วย) ส่วนตัวผมที่มีความสุขในการทำงานสายวิชาการ ค้นคว้าวิจัยและอยู่กับการหารวบรวมข้อมูล จึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ใน Mode หมกมุ่นอยู่กับหัวข้อที่กำลังค้นคว้าอยู่ (โดยเฉพาะตอนที่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่างหนึ่งและเกิดคำถามตามมา เลยต้องไปตามหาข้อมูลเพิ่มต่อ)
ในหน้ามังงะและในจออนิเมะให้อารมณ์แตกต่างกันพอสมควร หากจะให้สรุปความรู้สึกระหว่างสองมีเดียนี้ในฉากเดียวกัน คงจะกล่าวได้ว่า ในอนิเมะให้ความรู้สึกเป็นกังวลมากกว่า อาจจะเพราะความสามารถของอนิเมะที่จะดึงองค์ประกอบเรื่องแสงและเสียงพากษ์ออกมาได้ดีกว่ามังงะเป็นความกังวลในตัวอาคาเนะ ว่าหากหมกมุ่นขนาดนั้นแล้วจะเกิดผลเสียอะไร เพราะเราเพิ่งผ่านตอนที่อาคาเนะประสบเคราะห์หนัก ๆ มาด้วย และกังวลต่อคนรอบข้างว่าอาจจะได้รับผลกระทบอะไรต่อความหมกมุ่นนั้น
แต่ในหน้ามังงะ กลับในอารมณ์ ที่อาจจะเรียกได้ว่าสยองมากกว่ากังวล อาจจะเป็นเพราะการใช้พื้นที่ในหน้ามังงะอย่างมีประสิทธิภาพ ในการแสดงให้เห็นอาคาเนะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในห้องมืด ๆ และตัวหนังสือมากมายที่ปรากฏพร้อมกันในหน้าเดียว ประกอบกับหน้ามังงะที่ต้องใช้โทนขาวดำเป็นหลัก ทำให้รู้สึกถึงความมืดในตอนอาคาเนะ ผมเลยรู้สึกกลัวอาคาเนะมากกว่ากังวลว่าเธอจะเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ว่าการที่อนิเมะทำออกมาต่างจากหน้าในมังงะจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี กลับกัน มันทำให้คนที่อ่านมังงะมาแล้วดูอนิเมะได้รับความรู้สึกและอารมณ์ใหม่ ๆ ในมุมมองต่าง ๆ ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น ทำให้รู้สึกไม่เบื่อที่จะตามทั้งสองมีเดียไปพร้อม ๆ กัน และมันยิ่งทำให้คิดว่า อนิเมะเนี่ย มันวิเศษจริง ๆ เลยนะ ที่ทำออกมาแบบนี้ก็ได้เนี่ย
กลับมาที่ประเด็นสำคัญของตอนนี้ คือฉากที่อาคาเนะสวมร่างทรงเป็นไอ ตอนที่อ่านในมังงะก็ได้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ขนลุกเท่ากับตอนที่ดูในอนิเมะ ตอนแรกคิดว่า เพราะเราเหมือนสปอยตัวเองจากอนิเมะมาแล้วหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่ เพราะก่อนดูอนิเมะ ก็หลบสปอยไม่พ้นเหมือนกัน เลยรู้แต่แรกแล้วว่าอาคาเนะจะแสดงเป็นคนที่เหมือนไอ แล้วมันเพราะอะไร ที่ทำให้อนิเมะทำออกมาแล้วขนลุกแบบ ว้าวซ่า มากกว่าในหน้ามังงะ
นั่งคิดอยู่สักพัก เลยสรุปได้ว่า จริงอยู่ว่าอนิเมะมีเสรีภาพในการสร้างภาพที่มากกว่าในการถ่ายฉบับคนแสดงหากการสร้างอนิเมะมีคนฝีมือและวิสัยทัศน์ที่ดี ประกอบกับทรัพยากรอื่น ๆ ดังนั้นมันคงไม่แปลกที่จะดึงองค์ประกอบที่ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่า อาคาเนะแสดงเป็นไอได้ดีสุด ๆ ไปเลย ด้วยองค์ประกอบที่จะกล่าวถึงต่อไป แต่ที่คิดได้คือ ไม่ใช่ว่าอนิเมะมันสร้างอาคาเนะในร่างไอได้อย่างไร แต่เป็นว่า เพราะอะไรที่ทำให้คนดูขนลุกมากกว่า
ดังนั้น อย่างแรกเลยคือ ทำไมฉากนั้นถึงทำให้คนดูขนลุก คำตอบคือ เพราะคนดูสามารถรู้ได้ทันทีว่าไอกำลังจะเข้าสิงร่างอาคาเนะ สอง ทำไม่คนดูถึงรู้ว่าไอกำลังจะมา คำตอบคือ เพราะ Build-up ในช่วงหลังจากตอน โดยเฉพาะในฉากที่อาคาเนะค้นคว้าอย่างเป็นจริงเป็นจังเกี่ยวกับไอ บวกกับที่คันนะพูดกับอควา ว่าอาคาเนะ เป็นอัจฉริยะด้านการแสดง เราจึงรู้ว่า เธอแสดงเป็นไอได้แน่ ๆ และสาม ทำไมเราถึงรู้ว่า นั่นคือไอ และนั่นคือองค์ประกอบสำคัญที่อนิเมะได้เปรียบ
ผมคิดว่า ฉากสุดท้ายในตอน 7 เป็นการ Pay off การตัดสินใจในการทำตอนแรกยาวเท่ากับอนิเมะสี่ตอน เพราะเราจะอินกับตัวละครซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด โฮชิโนะ ไอ เราอยู่กับไอยาวนานเกือบชั่วโมงครึ่ง ความยาวนั่นทำให้ผู้ชมอินและดื่มด่ำไปกับไอ มันทำให้เรารู้จักไอมากระดับหนึ่ง มากพอที่ทำให้เราจับ Mannerism ของเธอได้ และจดจำมันได้ดี เช่น การพูด เสียง แววตา การยิ้ม รวมถึงวิธีการเดินด้วย
เราจึงรู้จักไอดี เรารู้ว่าไอเป็นคนแบบไหน ยิ่งเป็นตัวละครที่มีอาชีพเป็นไอดอลด้วยแล้ว ยิ่งทำให้องค์ประกอบหรือคุณลักษณะพิเศษของไอเด่นชัดและจับต้องง่ายมากขึ้น มันโดดเด่นและตราตรึงใจ สะกดผู้ชมและร่วมชื่นชอบเธอตาม ๆ กัน ดังนั้น เราจึงลืมเธอไม่ได้เลย และทำให้เรารู้ได้โดยทันที เมื่อคนอย่างไอเดินเข้าห้องมาก เรารู้ได้โดยทันที ว่านั่นคือคนพิเศษ นั่นคือดาวโดดเด่นของโลกใบนี้ นั่นคือ โฮชิโนะ ไอ
ดังนั้น เมื่ออาคาเนะหลับตาลง และเสกเวทมนตร์การแสดงของเธอ และเอ่ยคำสั่น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นชิน เรารู้ได้โดยทันที ว่าไออยู่ในห้องแล้ว คงไม่ผิดนักที่จะเรียกอาคาเนะว่าร่างทรง เพราะทั้งน้ำเสียง รอยยิ้มกรุ้มกริ่ม วิธีการพูด โดยเฉพาะตรงที่เธอพูดชื่ออควา ประหนึ่งคนที่สนิทกันเรียกกัน ไม่แปลกเลยที่นอกจากอควาที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินี้แล้ว คนดูก็รู้สึกได้ทันที ว่านี่ไม่ใช่อาคาเนะ
ฉากนี้สร้างออกมาได้ดีมาก ด้วยองค์ประกอบอย่างน้อยสามอย่าง หนึ่งคือน้ำเสียงที่เหมือนกำลังฟังไอพูดกับลูกชายของตนเอง สองคือวิธีการเดิน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นจังหวะที่ผมขนลุกที่สุด เพราะอาคาเนะเป็นคนที่จริงจังและเรียบร้อย กลับกัน ไอเดินแบบมั่นในและมีความสบาย ๆ อยู่ด้วย จังหวะที่อาคาเนะก้าวเดินหาอควา ผมคิดว่าเห็นไอเดินอยู่จริง ๆ บวกกับการยืนแขนและการหาว ซึ่งเป็นลักษณะ Care free ของไอ ซึ่งจังหวะเหล่านี้ไม่มีอยู่ในหน้ามังงะ และสามคือรอยยิ้มที่เหมือนไอ
ที่น่าพูดถึงที่สุดคือน้ำเสียง เสียงพากษ์เป็นสิ่งที่อนิเมะดึงตัวเองออกมาจากมังงะ เรารู้กับอาคาเนะเต็ม ๆ ประมาณสองตอน เรารู้ว่าเสียงอาคาเนะเป็นอย่างไร และเราก็รู้ว่าเสียงของไอเป็นอย่างไร วิธีการพูดน้ำเสียงและการใช้คำ ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมทึ่งมากขนาดไปหาดูว่าคุณทาคาฮาชิ ริเอะกลับมาให้เสียพากษ์อาคาเนะในตอนนี้หรือเปล่า ปรากฏว่าไม่ใช่ แต่เป็นผลงานของอิวามิ มานากะ
ผมคิดว่ามันวิเศษมาก เพราะนอกจาการทำภาพในอนิเมะให้อาคาเนะแสดงเป็นไอได้ โดยทำให้คนดูรู้สึกว่าเหมือนไอจริง ๆ แล้ว แต่นักพากษ์จะต้องแสดงให้เหมือนนักพากษ์อีกคนด้วย ผมละสงสัยว่าคุณอิวามิไปคุยอะไรกับคุณทาคาฮาชิบ้าง มันทำให้ผมคิดว่า นักพากษ์เสียงคงได้รับสถานะเป็นนักแสดงจริง ๆ เพราะนี่คือฝีมือการแสดงเสียงของนักพากษ์จริง ๆ น่าชื่นชมมากครับ
ตอนที่มังงะเรื่องนี้ออกมาใหม่ ๆ คนต่างพูดว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการทำเป็นอนิเมะแน่ ๆ ผมว่าการทำเป็นอนิเมะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว นอกจากเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม ตัวละครที่น่าติดตามแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับการแสดงในวงการบันเทิงเป็นหลัก ดังนั้น มันคงเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะดึงศักยภาพของนักพากษ์และความสามารถในการแสดงของพวกเขาให้โลกได้เห็น
คิดไปคิดมาแล้ว ไอมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์มาก ผมคิดไม่ออกว่าจะอธิบายรอยยิ้มนั้นว่าอะไร นอกจากว่ามันเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม เป็นรอยยิ้มที่มีเล่ห์มีเหลี่ยม ผมใช้คำว่า Sly ดูขี้เล่นบวกกับช่างวางแผน สมเป็นคนพิเศษจริง ๆ และคงจะไม่กล่าวถึงวาวตาเจิดจ้านั้นไม่ได้ ผมคิดขำ ๆ ว่า เหมือนอาคาเนะเบิกเนตร
ผมเข้าใจว่า ดาวที่ตานั้นไม่ได้ปรากฏให้คนในเรื่องเห็น แต่เป็นการสื่อถึงความเป็นอัจฉริยะ ผมคิดว่า การเอาดาวมาใส่ที่อาคาเนะในฉากนี้เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมาก อย่างน้อยสองประการ หนึ่ง แน่นอน เพราะอาคาเนะกำลังแสดงเป็นไอ ที่มีดวงดาวแห่งความเป็นอัจฉริยะอย่างเต็มตัว และสอง มันเป็นการแสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะในตัวของอาคาเนะเอง ในฐานะอัจฉริยะแห่งการแสดง
องค์ประกอบเหล่านี้ประกอบกันแล้วทำให้ฉากนี้ทำให้คนดูขนลุก ใจเต้น สำหรับผม (แม้จะโดนสปอยมาแล้ว) เกิดอาการน้ำตาไหลหน่อย ๆ เหมือนได้เจอคนรู้จักคนสำคัญที่ห่างหายไปนานจนคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรกับเกิดใหม่เป็นลูกโอชิ เช่นว่ามัน Overrated แต่ตอนนี้ทั้งตอน และ Pay-off ในฉากจบ ผมว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ที่ผู้สร้างให้ความใส่ใจ และใช้องค์ประกอบของความเป็นอนิเมะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นความเป็นไปได้ของอนิเมะ
ป.ล. ผมชอบฉากที่อควาคุยกับผู้ใหญ่ที่คุมรายการ และก่อนที่อควาจะพูดว่า
หากผู้ใหญ่ไม่ปกป้องเด็ก แล้วให้จะทำ
อควา ตอนที่ 7
ดาวในตาของอควาประกายขึ้นเล็กน้อย และที่น่าชื่นชมมากอย่างหนึ่ง คือตอนที่อควาพูดคำนี้ เสียงพากษ์ของอควาดังขึ้นนิดหน่อย จนเนื้อความของประโยคสะเทือนใจผมพอสมควร
นอกจากประโยคนั้น ผมชอบประโยคที่อควาว่า
คนเราตายง่ายมาก เมื่อใครร้องขอความช่วยเหลือ ก็ต้องรีบเข้าไปช่วย ไม่งั้นมันจะสายไปแล้ว
อควา ตอนที่ 7
สองประโยคนี้ไม่ได้มีเนื้อความที่แปลกใหม่อะไร แต่เพราะมันเป็นบทที่พูดหลังจากเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ คำพูดถึงมีน้ำหนักขึ้นมา
และที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับการกำกับอนิเมะเรื่องนี้คือการทิ้งท้ายในตอนจบ เพราะสามารถดึงศักยภาพที่หน้าในมังงะของแต่ละบทออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ตอนของอนิเมะจบที่ภาพสุดท้ายของมังงะในบทที่มันดัดแปลงมา ซึ่งถ้าอ่านมังงะแล้ว มันเป็นการทิ้งท้ายที่มีน้ำหนักอยู่แล้ว แต่อนิเมะทิ้งม้ายที่ภาพนั้น บวกกับเริ่มเปิดเพลงจบ “Mephisto” ของ Queen Bee ที่ทำให้ผู้ Hype ยิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว
ตอนแรกว่าจะเขียนสั้น ๆ แต่ก็ยาวอยู่ดี ผมว่าผมจะต้องปรับวิธีเขียนให้ความยาวมันพอเหมาะพอควรมากกว่านี้ เพราะยาวไปคนก็ไม่อ่านกันอยู่ดีเนอะ
การ์ตูน
อนิเมะ
มังงะ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย