7 มิ.ย. 2023 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์

คนไทยมีนิสัยอย่างไรบ้าง?

แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 ไปแล้ว แต่ก็ยังคงต้องรอคอยการประกาศรับรองความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เสียก่อน ภายในระยะเวลา 60 วัน ซึ่งประชาชนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน
แต่ในคราวนั้น เป็นการรอคอยมานานแสนนาน...หลังจากที่คณะรัฐประหารได้ยึดเอาอำนาจของประชาชนไปทำหน้าที่ “เพื่อชาติ” แม้ปากจะบอกว่า “เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา...” จะเข้าปีที่ 5 อยู่แล้ว แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ “อย่างซื่อตรง ขอแค่เธอจงไว้ใจ และ (ไอ)ศรัทธา...แผ่นดินจะดีในไม่ช้า...”
จนในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 คณะรัฐประหารนามว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ได้ “ขอคืนความสุขให้เธอประชาชน” ด้วยการให้มีการเลือกตั้ง แอดมินจำได้ดี เพราะวันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่แอดมินได้มีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการใช้สิทธิเลือกตั้ง เลือกพรรคที่ชอบ นายกฯ ที่ใช่
แต่สุดท้ายด้วยเล่ห์กลมนต์สกปรก ทั้งบัตรเขย่งเอย คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตเอย ก็ส่งผลให้พรรคที่มีคะแนนรองลงมาจากพรรคเพื่อไทย หน้าด้าน ไร้ยางอายได้จัดรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่พรรคไหนนอกเสียจากพรรคพลังประชารัฐ แอดมินถึงกับตบหน้าตัวเองไปหลายทีเลย ตบจริง ๆ นะครับ เพราะแอดมินแค้นมากที่คนหน้าด้านหน้าทนกลับมาสู่ตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ปากก็บอกว่า ผมก็ไม่ได้อยากจะมาหรอก แต่ผมต้องมาทำเพื่อชาติ บลา ๆ ส่อให้เห็นแหละว่า มีความมักมากในอำนาจ อยากเป็นใหญ่ ในเมื่ออยากอยู่ในอำนาจก็อยู่ไปถึง 4 ปีเต็ม
แล้วใน 4 ปีนั้น ประชาชนที่ไม่ใช่เจ้าสัว จนเอา ๆ ลำบากก็ลำบาก ซ้ำโควิด-19 ยังมากระทบเข้าอีก แต่นายกฯ ประเทศไทยทำได้แต่ นะจ๊ะ นะจ๊ะ นะจ๊ะ ไม่ก็โมโห โมโห โมโหไปวัน ๆ แล้วยังเอาวัคซีนอะไรมาก็ไม่รู้มาให้ฉีด ทั้งที่เรียกร้องจะเอาของดี ๆ แต่สิ่งที่ให้มาน้ำเกลือหรอ...กว่าจะได้ของดี ๆ ตั้งอีกปีสองปี ดีเนาะ สำหรับนายกฯ คนรักชาติ ที่พี่น้องประชาชนให้การสนับสนุนนักสนับสนุนหนาเลือกเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่สำหรับบางท่านจริงไหมละครับ
พอมาเลือกตั้งครั้งนี้ ยังจะมาขอโอกาสเป็นนายกฯ ในนามพรรครวมทาสสร้างชัย เอ้ย! รวมไทยสร้างชาติอีก แล้วยังมีคนกล้าไปสนับสนุนอีกด้วย เพราะเห็นว่า นายกฯ เป็นผู้ภักดีจ้า...ผู้ภักดีแต่ทำให้บ้านเมืองเจริญได้เปล่า
รวมถึงพรรคพลังประชารัฐก็เช่นกัน ครบเทอมการเป็นรัฐบาลมาตั้ง 4 ปีแล้ว ไม่เห็นจริง ๆ หรอว่า มีอะไรดีขึ้นไหม มีแต่แจกกล้วย พอบริหารไม่ดีก็โบ้ยให้ประชาชนรับผิดอีก แล้วยังจะมีหน้ามาขอโอกาสด้วยการบอกว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อีกเนาะ หรือเป็นเพราะเขาเสนอเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้าหน่อยก็หูผึ่งตาวาวกันระนาวแล้ว แสดงว่า คนไทยมีนิสัยลืมแล้วลืมเลย โกรธง่ายหายเร็วมากเหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อกล่าวถึงนิสัยคนไทยแล้ว ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีการนำมาเป็นหัวข้อให้ศึกษากันอยู่ช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการศึกษาด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทยด้วยระเบียบวิธีการทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology) โดยรูธ เบเนดิกต์ (Ruth Benedict) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ภายหลังก็ได้นำผลการศึกษามาตีพิมพ์เป็นหนังสือที่มีชื่อว่า Thai Culture and Behavior ซึ่งต่อมามีการเป็นแปลเป็นภาษาไทย โดยพรรณี ฉัตรพลรักษ์ ในชื่อ วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทย
แล้วในครั้งนี้ก็เช่นกัน แอดมินได้ไปเจอบทความเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนิสัยคนไทย โดยนิตยสารศิลปวัฒนธรรมเข้า อ่านไป ๆ ก็รู้สึกว่า เห้ย! ดูเข้าท่าดีนะว่า เราในฐานะคนไทยเนี่ยมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร โดยระบุว่า
คนไทยมีนิสัยเป็นเช่นไรนั้น ได้มีการบันทึกไว้โดยชาวต่างประเทศที่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย เช่น อังกฤษ ฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) โปรตุเกส เป็นต้น ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ต่างก็ได้แสดงทัศนะถึงนิสัยที่ดีและไม่ดีของคนไทยว่า คนไทยเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตัวเอง มีความรักและหวงแหนในแบบแผนประเพณีต่าง ๆ อย่างเหนียวแน่น มีความหวงแหนในทรัพย์สมบัติ จึงไม่ใคร่จะมีการนำเงินทองอัฐรอนต่าง ๆ มาใช้ติดตัว หากแต่นำไปฝังไว้เสียมากกว่า
แล้วคนไทยยังเป็นคนที่มีกิริยามารยาทที่อ่อนโยน สุภาพ ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา ส่งผลให้คนไทยเป็นคนที่มีความเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี ใจกว้าง รู้จักความพอประมาณทั้งการกระทำและภายในจิต ไม่เห็นแก่ตัว มีความเรียบง่าย ไม่สุรุ่ยสุร่าย แล้วยังเป็นคนที่ซ่อนความรู้สึก ไม่พูดมาก รักความสงบ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวทิตา เคารพนับถือต่อทั้งผู้มีพระคุณและผู้ที่มีความอาวุโสเหนือกว่าตน เช่น พ่อแม่ ครอบครัว เจ้านาย เป็นต้น แล้วยังเป็นคนที่มีความเอาใจใส่ต่อคนรอบข้างและหน้าที่
แต่ในขณะเดียวกัน คนไทยก็เป็นคนที่มีนิสัยเกียจคร้านเฉื่อยชา หนักไม่เอาเบาไม่สู้ จนบางครั้งรู้สึกที่ไม่ชอบความท้าทายในการที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินกว่าความสามารถของตัวเอง แล้วยังเป็นคนที่รับการฝึกฝนทางจิตใจที่ไม่มากเพียงพอ บางครั้งก็ไม่สามารถแยกแยกได้ว่า สิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนดีกว่า บางคราวที่มีการแสดงออกทางพฤติกรรมโดยไม่มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าเสียก่อน แล้วยังเป็นคนที่ไม่ค่อยจะยอมรับหลักการ ตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างเต็มที่เท่าไร
เป็นคนที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วบางครั้งหากไม่รู้จักการข่มใจเท่าที่ควร ก็จะทำให้กลายเป็นคนที่มีความคับแค้นค่อนข้างสูง นำมาสู่การทำร้าย หนักสุดถึงกับฆ่าแกงกันเลย จึงทำให้คนไทยเป็นคนขาดคุณธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์ หยิ่งยโส ขาดความมั่นใจ จนกลายเป็นคนโลเล แล้วยังเป็นคนที่มีความมักมากในกาม การพนัน และยังเป็นคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นอีกด้วย
นั่นก็เป็นทัศนะของชาวต่างประเทศกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ก็กลับมาทางฟากฝั่งของคนไทย ในเรื่องของนิสัยคนไทยนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต่างก็ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า คนไทยเป็นคนที่มีความรักและหวงแหนในอิสรภาพของชาติยิ่งกว่าชีวิต มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน และฉลาดในการประสานประโยชน์ร่วมกัน รวมไปถึงคนที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ทัศนะนี้หากจะเปรียบได้กับเพลงชาติไทย ซึ่งมีตอนหนึ่งว่า
…ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่…
หรือแม้แต่คำโคลงพระราชนิพนธ์ เรื่อง สยามานุสสติ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ความตอนหนึ่งว่า
ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงาม…
จะเห็นว่า โดยรวมของคนไทยมีข้อด้อยหรือนิสัยเสียที่มากกว่าข้อเด่นหรือนิสัยดีเสียอีก แต่ก็อาจจะใช่หรือไม่ใช่สำหรับนิสัยคนไทยย่อมเป็นไปได้เท่ากัน อย่างไรก็ตาม สังคมที่นอกจากการเป็นสถาบันหนึ่งในชีวิตของผู้คน มีหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการและขับเคลื่อนทางสังคมแล้ว ก็จะต้องประกอบด้วยมนุษย์มากกว่า 2 คนขึ้นไปเข้ามามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ถึงจะทำให้สังคมมีชีวิตชีวา
แต่การที่มนุษย์แต่ละคนจะเข้ามามีบทบาท หน้าที่ร่วมกันได้ก็ต้องมีการศึกษาทำความรู้จักกันก่อน นิสัยใจคอจึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ เพื่อการเข้าถึงตัวตนของแต่ละฝ่าย และยังสามารถใช้เป็นหลักในการตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่ของแต่ละบุคคลได้อีกด้วย
แต่นิสัยใจคอของคนเราก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะขนาดบางคนที่รู้จักกันมาหลายปี ยังเอ่ยถึงนิสัยใจคอของแต่ละฝ่ายถูกบ้างผิดบ้างเลย ซึ่งก็ยังดีกว่าการที่เอ่ยว่า รู้จักกันมาหลายปี แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคน ๆ นั้นเลย มิหนำซ้ำ คนบางคนยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองมีนิสัยเช่นไร แล้วเราในฐานะคนไทย เรารู้หรือเปล่าว่า คนไทยเขามีนิสัยเช่นไร ฉะนั้นทั้งนิสัยของคนไทย หรือนิสัยของใครก็ตามเป็นเช่นไร ต้องดูกันนาน ๆ ดูให้ลึกลงไปถึงกรรมพันธุ์
เพราะไม่แน่ว่า ตอนนี้อาจจะมีนิสัยอย่างนี้ แต่พอเปลี่ยนไปนิสัยอาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งก็ได้ ขนาดคนไทยเองยังไม่สามารถบอกได้อย่างตรงเป๊ะเลยว่า แท้ที่จริงแล้วมีนิสัยแบบไหน
แม้แต่ในช่วงหลังอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475 เอง คณะราษฎรก็ต้องประสบกับความล้มเหลวในการผลักดันการปกครองระบอบประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยของคนไทย ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้เคยตรัสเย้ยหยันไว้ต่อพลโทประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะราษฎรที่ได้คุมพระองค์ไปเป็นองค์ประกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ในคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพราะมีความต่างจิตต่างใจมากมายเหลือเกิน ด้วยประโยคที่ว่า
นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ…
แต่สิ่งที่ได้จากเรื่องราวนี้ก็คือ การเรียนรู้ถึงทุกสิ่งที่รวมถึงนิสัยใจคอของคนเราอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เท่าทันถึงความคิดของผู้คน และการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นได้ต่อไป
อ้างอิง:
  • จุดอ่อนของคนไทย ในสายตาต่างชาติ นิสัยไทย โดย ศิลปวัฒนธรรม (https://www.silpa-mag.com/history/article_7285)
  • ฝรั่งวิจารณ์คนไทย สมัยพระไชยราชาฯ ถึงร.5 เรียงนิสัยฮิต “ขี้เกียจ-ขี้ขลาด-ขาดคุณธรรม” โดย ศิลปวัฒนธรรม (https://www.silpa-mag.com/history/article_27484)
  • นิสัย “คนไทย” หวังสิ่งตอบแทนในชาตินี้มากกว่าชาติหน้า-ชอบดื่มเหล้าเพราะสบายใจ โดย ศิลปวัฒนธรรม (https://www.silpa-mag.com/history/article_86278)
#adminfield #ชอบเล่าชอบแชร์แต่ไม่ชอบเป็นคนดีย์
#นิสัยคนไทย
โฆษณา