4 มิ.ย. 2023 เวลา 16:02 • หนังสือ

ทักษะ ความสุข

ขอให้มีหัวใจที่มั่นคง
เมื่อมีความทุกข์บางเวลาเลือกเปลี่ยนโลก บางเวลาเลือกเปลี่ยนตัวเอง เพราะความสุขของเราก็ขึ้นอยู่กับโลกภายนอกด้วยเช่นกัน
ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยเรื่องที่ชวนให้ป่วยไข้ทางจิตใจ
การดูแลหัวจิตหัวใจเป็นเรื่องสำคัญ ผมเชื่อว่าถ้าใครซักคนมีหัวใจที่มั่นคง รับมือความทุกข์หรือความไม่แน่นอนได้ดี
มีความสุข เรียบง่ายในตัวเอง เค้าจะมีพลังในการทำเรื่องต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อสังคม ต่อโลกใบนี้
การเปลี่ยนแปลงภายในไม่ได้หมายความว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงภายนอก แต่เมื่อมีหัวใจมั่นคงเรายังมีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นไปพร้อมกัน
พลังที่เกิดจากความสุข
นิ้วกลม
ความสุขคืออะไร
1.ทุกคนอยากมีความสุขแต่การจะเป็นอย่างนั้นได้ต้องเข้าใจก่อนว่าความสุขคืออะไร
2. คนจำนวนมากแยกระหว่างความสุขกับความสนุกไม่ออก
ผมแยกออกด้วยอุณหภูมิในหัวใจ สำหรับตัวเองแล้ว
ความสุขมีธรรมชาติที่สงบเย็น
ขณะที่ความสนุกจะ ฉูดฉาด ร้อนแรง
ความสุขอยู่นานแต่ความสนุกมาไวไปไว
ความรู้สึกต่อสิ่งที่ได้มา-ความคาดหวัง=เท่ากับความสุข
แทนที่จะไปเพิ่มสิ่งที่ได้รับจากชีวิตหันมาลดความคาดหวังอาจจะเหนื่อยน้อยกว่าเพราะตัวตั้งขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุมขณะที่ความคาดหวังขึ้นอยู่กับตัวเราเองล้วนๆ
1
3. สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ
สถานการณ์เดียวกันมีคนที่มองเห็นข้อเสียและมองเห็นข้อดีเสมอ ตัวแปรสำคัญที่กำหนดมุมมองคือความคาดหวัง
คนส่วนใหญ่มักคาดหวังกับความสมบูรณ์แบบและความพิเศษแต่เราต่างใช้ชีวิตอยู่กับความธรรมดาเป็นส่วนใหญ่และความธรรมดาก็ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเสียด้วย
ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำหรือเหาะอยู่บนอากาศแต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนพื้นดินและมีความสุขในทุกก้าวย่าง
4. ความสุขคืออะไร
ความสุขคือความพึงพอใจกับสิ่งที่ชีวิตมอบให้นะตอนนี้ซึ่งความสุขจะอยู่ที่นี่เสมอความสุขไม่เคยรอเราอยู่ที่อื่นถ้าเราไม่มีความสุขที่นี่เราก็จะไม่มีความสุขที่ใดเลย
ความสุขเกิดขึ้นเมื่อเราพอใจในความธรรมดาต่างหาก
นิยามตัวตนที่งดงาม
1. เคยเกลียดตัวเองบ้างไหมครับ
อะไรที่นิยามตัวคุณ จะให้เสียงจากคนอื่นมาบอกว่าคุณเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ หรือคุณจะเลือกขับพวงมาลัยซึ่งอยู่ในเมืองของคุณเองไปบนเส้นทางที่นิยามตัวเองว่าฉันเป็นแบบนี้ต่างหาก
2. เสียงในหัว
สิ่งนี้กับสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
เปลี่ยนคำว่าฉันเป็นคำว่าเธอแกหรือมึงอะไรก็ได้ที่เป็นคนอื่น
พอรู้ทันและแยกแยะได้เราจะค่อยค่อยเห็นว่าต้นต่อความคิดนี้มาจากใครกันแน่
ถ้าเราไม่หวั่นไหวไปกับเสียงที่คนอื่นตัดสิน เราอาจมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้ว แถมสิ่งที่เราเป็นอาจซ่อนศักยภาพบางอย่างไว้ด้วยซ้ำ
3. เปลี่ยนตัวเอง
เมื่อเราดำเนินชีวิตมาจนถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข คำถามก็คือเราเกลียดตัวเองในแง่มุมไหนอยู่หรือเปล่า และชีวิตเราใครนิยาม วันใดที่เรากล้าลุกขึ้นมานิยามตัวเอง ไม่สยบให้กับคนที่เข้าใจผิด วันนั้นอาจเป็นก้าวเดินครั้งแรกของชีวิตที่เป็นสุขเพราะเรากำลังสร้างตัวตนที่สวยงามขึ้นมาจากพื้นฐานทั้งหมดที่เรามี เมื่อทำได้เช่นนั้นเราจะรักตัวเองรักชีวิตและนั่นอาจเป็นภารกิจของการมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
เราเกิดมาเพื่อทำให้ชีวิตสวยงามขึ้นเรื่อยๆ
อภัยคนที่ทำให้เราเจ็บ
1. คุณไว้ใจคนใกล้ตัวมากแค่ไหน
บรรยากาศแวดล้อมของความไม่ไว้ใจกันนั้นมีผลต่อความสุขในชีวิต ไม่ว่าประเทศ หมู่บ้าน ครอบครัว มิตรสหาย หรือคู่ชีวิต
2. ทำไมเราจึงไม่ค่อยไว้ใจคนอื่น
เวลาเราได้รับความไว้ใจจะมีฮอร์โมนออกซิโตซินหลังออกมาเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง
มีความสุข สร้างความผูกพันระหว่างกันและกัน
สารนี้จะหลั่งออกมาเมื่อเราได้กอดพ่อแม่ คนรัก เกิดความไว้วางใจและผูกพัน
เมื่อคุณไว้ใจฉันฉันก็จะเป็นคนที่คุณไว้ใจได้
3. อภัยเพื่อตัวเอง
พยายามบรรเทาความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายหักหลังให้น้อยลง ให้ใจของเราหรือความทรงจำของเราถูกทดแทนด้วยเรื่องราวของคนที่ทำดีและคนที่น่าไว้ใจและต้องจัดการกับอดีตด้วยคือการให้อภัยก็เพื่อตัวเราเอง
เวลาให้อภัยคนอื่นเรากลับรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น
4. ยากแต่ต้องทำ
การให้อภัยเป็นอำนาจที่อยู่ในตัวเราให้เธอไม่ว่าเราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตได้แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อมันได้
แก้วน้ำใสๆจากคนที่ไว้ใจกันนั้นคือความสุขของชีวิต
หมื่นพันความสุขที่ถูกละเลย
1. สองคนในร่างเดียว
ตัวตนแรกเป็นคนที่ใช้ความรู้สึกสัมผัสและรับรู้สิ่งต่างๆตรงหน้าในปัจจุบันขณะ เป็นตัวตนแห่งประสบการณ์
โมเมนต์เหล่านี้สั้นมากและนี่คือความยาวของปัจจุบัน
เรามีโมเมนต์ต่างๆห้าร้อยล้านโมเมนต์เราจำได้ไม่หมด
เราจะจำเฉพาะที่เป็นโมเมนต์ที่เข้มข้นมากๆนอกนั้นจะเป็นความทรงจำที่ถูกลืมไปหมด แท้จริงแล้วเราคือเครื่องลบความทรงจำขั้นดี เราโยนทิ้งทุกความทรงจำจำนวนมากในชีวิตทิ้งไปแล้วเก็บไว้แค่บางส่วนเท่านั้น
ตัวตนที่สองคือตัวเราที่คอยเก็บรวบรวม ประเมินคุณค่าตีความ แล้วจัดการประสบการณ์ต่างๆเอาไปสะสมเป็นความทรงจำขอเรียกว่าตัวตนแห่งความทรงจำ
ถ้าถามตัวตนแห่งประสบการณ์กับตัวตนแห่งความทรงจำว่ามีความสุขไหมสองตัวตอนนี้จะตอบไม่ค่อยเหมือนกัน
ตัวตนแห่งประสบการณ์หรือคำตอบในช่วงปัจจุบันมักจะมีความสุขน้อยกว่าตัวตนแห่งความทรงจำนั่นหมายความว่าเวลาเราประมวลภาพทั้งหมดจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการมาคอยถามอยู่เรื่อยเรื่อย
2. สิ่งต่างๆมักดูดีขึ้นเมื่อเรามองย้อนกลับไป
แม้จะเป็นประสบการณ์เลวร้ายเมื่อเวลาผ่านมาเรามักจดจำคุณค่าบางอย่างของมันได้ทำให้ภาพรวมของชีวิตเรารู้สึกที่ดีกับความทรงจำในอดีตมากกว่าปัจจุบันเสมอ
พูดง่ายง่ายก็คือเราจดจำความรู้สึกที่มันพีคกับชีวิตมึงมากเท่านั้น
3. 10,000ความสุขที่ถูกมองข้าม
ใครใครก็อยากมีความทรงจำที่ง่ายและเข้มข้นด้วยกันทั้งนั้น ในขณะที่เราไล่ล่าความทรงจำที่ยิ่งใหญ่เข้มข้นนี้ก็ไม่จำเป็นที่ต้องพลาดการชื่นชมความสุขณตอนนี้ ที่มีถึง 20,000 โมเมนต์ในแต่ละวันและล้านโมเมนต์ในหนึ่งชีวิตการได้เห็นท้องฟ้าสดใส จิบกาแฟอร่อยๆ ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อแม่ พี่น้องได้ลูบหัวน้องแมวน้องหมา สิ่งเหล่านี้คือความสุขเช่นกันน่าเสียดายหากมองข้ามไป
ใส่ใจกับความสุขตรงหน้าใส่ความสุขตรงหน้าลงไปในใจ
เป็นมิตรกับความเครียด
1. ความเครียดอันตรายไหม
ในปีที่ผ่านมาคุณเครียดมากน้อยแค่ไหน
แล้วคุณเชื่อว่าความเครียดเป็นอันตรายต่อสุขภาพของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
คนที่ตอบไปว่าปีที่ผ่านมาเครียดมากมีโอกาสเสี่ยงถึง 43% ที่จะเสียชีวิตเร็วหรือเสียชีวิตในปีถัดไป
สถิติจะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่ตอบว่าเค้าเชื่อว่าความเครียดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ส่วนคนที่เชื่อว่าความเครียดไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมีโอกาสเสียชีวิตน้อยที่สุด
และคนที่ตอบว่าปีนี้ไม่ค่อยเครียดแต่เชื่อว่าความเครียดเป็นอันตรายต่อสุขภาพเสียชีวิตปานกลาง
สรุปง่ายง่ายก็คือคนที่เชื่อว่าความเครียดเป็นอันตรายจะมีสุขภาพ แย่กว่า ขณะที่คนที่เชื่อว่าความเครียดไม่เป็นอันตรายจะมีสุขภาพดีกว่าโดยยังไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าเครียดมากหรือน้อย
ความเครียดไม่ใช่ของดีถ้าเลือกได้ก็ไม่ควรเครียด ความเครียดคร่าชีวิตคนมากกว่ามะเร็งผิวหนัง เอดส์ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดที่มีต่อความเครียด สุขภาพเราจะดีขึ้นเพราะเราเปลี่ยนความคิดในสมองร่างกายจะตอบสนองต่อความเครียดเปลี่ยนไปเช่นกัน
2. ความเครียดมีประโยชน์
ทุกคนหลีกหนีความเครียดไม่ได้แต่คนหนึ่งเห็นว่าความเครียดอันตรายทำให้ร่างกายรับมือความเครียดด้วยความกดดัน
แต่คนหนึ่งเห็นว่าความเครียดมีประโยชน์ก็เลยรับมือความร่างกายที่รีแลกซ์ ทั้งสองคนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เครียดไม่ต่างกันแต่ตอบสนองต่างกันมาก
3. เครียดแล้วอ่อนโยน
เมื่อเครียดร่างกายจะหลั่งสารออกซิโทซิน โดนมากสารชนิดนี้จะหลั่งออกมาเวลาสมองได้กอดกับคนที่ผูกพัน และปรารถนาเช่นกันเพื่อเตรียมรับความสัมพันธ์ที่ดี
สารนี้จะหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นให้รู้สึกโหยหากำลังใจ
อะดรีนาลินทำให้หัวใจเต้นแรงก็ทำให้รู้สึกอยากเป็นตัวเองอยากพักผ่อนสักนิดกับใครบางคน
เวลาที่เราเครียดที่สุดคือเวลาที่เราต้องการความสัมพันธ์กับมนุษย์มากที่สุดเช่นกัน
4. ช่วยคนอื่นคือช่วยตัวเอง
มีงานวิจัยเกี่ยวกับความเครียด คำถามก็คือปีที่ผ่านมาคุณเครียดมากน้อยแค่ไหน
คำถามที่สอง ใช้เวลาช่วยเหลือเพื่อน เพื่อนบ้าน หรือคนอื่นมากน้อยแค่ไหน
คนที่ตอบว่าใช้เวลาช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้นไม่มีใครตายเลยความเครียดเป็นสาเหตุเลยก็หมายความว่า
การช่วยเหลือคนอื่นช่วยให้เราได้ฟื้นฟูร่างกายของตัวเองด้วย
ก้าวออกจากหลุมความคิดลบ
1. เคยตกอยู่ในหลุมดำมืดของความทุกข์เราไม่รู้จะปีนขึ้นมาอย่างไรบ้างไหม
ถ้าความรู้สึกในตัวเรากำลังสว่างสิ่งดีๆจะทำให้สว่างขึ้น
เรื่องไม่ดีก็ไม่ได้ทำให้มืดมัวลงนัก
ถ้าเรากำลังมืดมนแสงสว่างอาจไม่สามารถช่วยเราง่ายๆ
ถ้ายิ่งเจอเรื่องแย่ก็ยิ่งมืดขึ้นไปอีก
ส่วนผสมที่เป็นต้นทุนในตัวเราจึงสำคัญ
สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อที่ใช้งานบ่อยยิ่งแข็งแกร่ง
ถ้าคิดถึงเรื่องที่มีความสุขบ่อยๆก็ทำให้มองเห็นและรู้สึกถึงความสุขได้บ่อยหรือง่ายขึ้น ความทุกข์ก็เช่นกัน
2. อย่าช็อตตัวเองด้วยความทุกข์จนชาชิน
ธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่คือการเติบโตและเคลื่อนที่
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าเคลื่อนที่ไม่ได้แล้ว
สิ่งที่จะตามมาก็คือไม่อยากมีชีวิตอยู่และดำดิ่งลงไปจุดที่ลึกที่สุดของความคิดลบ
เวลาอยู่ในหลุมดำแห่งความทุกข์เราไม่สามารถมูฟออนได้ทันทีท่านใด เพราะสมองไม่สามารถลืมความทรงจำไปได้ง่ายๆโดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ฝังแน่นหรือรุนแรงมาก
หรือไม่ได้ควรทำอย่างไรกับความทรงจำเร็วร้ายเรานั้น ?
เราควรเติมความทรงจำด้านบวกให้ชีวิต เหมือนกับเติมน้ำใส่ลงไปในแก้วที่มีแต่น้ำสีดำ ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจถ้าผิดพลาดก็ยอมรับความผิดนั้น
การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับตัวเองคืออะไร ?
เป็นการสับสวิตซ์ความคิดเลิกคิดวนกับปัญหาเดิมๆอาจจะแค่เดินเข้าร้านไอศครีมร้านโปรดก็จะเป็นช่วงหนึ่งที่ออกจากความคิดวังวนนั้นหรือพาตัวเองเปลี่ยนสถานที่ไปเลยการกระทำเช่นนี้เป็นการบอกกับสมองของเราว่า
ชีวิตยังมีเรื่องอื่นด้วยนะจริงๆแล้วเรื่องดีๆยังมีอีกเยอะ
เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้สัมผัสความรู้สึกบวกบ้าง
3. สะสมฐานที่มั่น
เหตุผลที่ทำให้เด็กๆรู้สึกสนุกกับความท้าทายและไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนคือเด็กๆมีฐานที่มั่นคงให้กับตัวเองซึ่งเรียกว่าหลุมหลบภัยนั้นก็คือพ่อแม่ สมองของเด็กมีความรู้สึกเชิงบวกตลอดเวลา เพราะไม่เป็นไรต่อให้เจ็บเดี๋ยวก็มีคนมาโอ๋
ความจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็คือฐานที่มั่นที่เราเคยมีนั่นเองเพียงแค่อาจไม่ใช่พ่อแม่อีกต่อไปแล้วโลกใบนี้ยังมีหลุมหลบภัยอีกมากมายและเราสามารถค้นหาหรือสร้างให้ตัวเองได้
เพียงแค่เราลองเริ่มก้าวออกจากหลุมนั้นค่อยไต่ขึ้นมาทีละนิดสะสมความสำเร็จเล็กๆน้อยๆพอทำสำเร็จแล้วสมองจะค่อยๆสะสมความรู้สึกที่ว่าจริงๆแล้วชีวิตจะมีด้านบวกเหมือนกันแล้วจะค่อยผลักเราให้มุ่งหน้าไปสู่ทางที่สว่างขึ้นเรื่อยๆเอง
4. วางใจใน Serendipity
วางใจในพรหมลิขิตหรือโชคชะตา
การหมกตัวอยู่กับตัวเองไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี ให้เราก้าวออกไปพบเจอผู้คนและปล่อยให้ serendipity ทำงาน
ปล่อยให้ชีวิตพาไปสู่พื้นที่ที่เราไม่รู้ไ ปเจอสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ให้โชคชะตานำวิธีแก้ปัญหามาสู่เรา
แค่วางใจในชีวิตแล้วเดินออกจากห้องตัวเองไปสู่โลกกว้างที่ไม่อาจคาดเดา คำตอบจะรอเราอยู่ในที่ใดที่หนึ่งหรือไม่ก็จากใครคนหนึ่ง
อยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน
1. อารมณ์พิษ 4 แบบ
ความทุกข์จำนวนมากเกิดขึ้นจากการที่เรามองภาพตัวเองที่ปรากฏต่อสายตาคนอื่น และจากการเปรียบเทียบคนอื่น รากลึกความรู้สึกเช่นนี้ก็คือการให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป
อารมณ์ที่1 ความละอายใจรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น
หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
อารมณ์ที่ 2 ความรู้สำนึกผิด รู้สึกอยากแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบทุกเรื่องที่ทำลงไป
อารมณ์ที่3 ความอิจฉาเกิดขึ้นเวลาที่เราเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเพราะเราไม่มีสิ่งนั้นซึ่งใช้ตัวเองเป็นไม้บรรทัด
อารมณ์ที่4 ความริษยา ต้องการแย่งชิงมาด้วยความริษยา
เมื่อเห็นถึงความไม่สำคัญของตนความทุกข์กลับลดลงเพราะความทุกข์เกิดจากที่เราเห็นตัวเองใหญ่เกินจริงและเกินจำเป็น
2.เรื่องเล่าของลารี่
ถ้าคุณอยากมีความสุขให้ลืมไปเลยว่าคงจะต้องไขว่คว้าให้ได้อะไรมาเพื่อสิ่งเดียวที่คุณต้องการก็จะมีความสุขคือคุณจะต้องอยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน
3. อยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน
ความสุขเป็นโรคติดต่อ เวลาทำให้คนอื่นมีความสุขเราก็จะมีความสุขไปด้วย
ความหอมจะติดอยู่กับมือที่ยื่นกุหลาบให้ผู้อื่น
ถ้าการตอบสนองกับสิ่งที่เราทำดีไม่ได้เป็นแบบที่เราหวังมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ เหมือนกับแมวตัวที่ไม่ได้เชื่อฟังเขา การตอบสนองของพวกมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
พวกมันไม่ได้อยู่เพื่อเขา แต่เขาต่างหากที่อยู่เพื่อมัน
ตรงนี้เองที่เป็นแก่น การไปเที่ยวทำดีกับคนอื่นแล้วเฝ้ารอว่าเค้าจะทำอะไรดีๆกลับมาบ้าง เราก็จะกลับไปสู่ความรู้สึกเดิมในตอนต้นคือเรายังคงสำคัญตนว่าเป็นคนสำคัญที่สุดในโลกเหมือนเดิม
เราจะใช้สิ่งที่มีอยู่ทำให้ใครสักคนมีความสุขถ้าอย่างไรบ้าง
แล้วก็เปิดประตูออกจากบ้านไปทำสิ่งนั้น อาจจะเป็นวิธีที่น่าลองหรืออาจใช้คาถาสั้นๆของลารี่ดูก็ได้ อยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน
ความสุขเป็นเรื่องแปลก ยิ่งคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลงเท่าไหร่กลับยิ่งมีมันมากขึ้นเท่านั้นและยิ่งคิดถึงมันมากขึ้นเท่าไหร่เรากลับมีมันน้อยลงเท่านั้น
1. จริงไหมที่บางคนเกิดมามีความสุขมากกว่าคนอื่น
บุคลิกทางอารมณ์ของคนมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
อารมณ์สุขง่ายทุกง่ายขึ้นอยู่กับปัจจัยทางอนุกรรม นักวิจัยค้นพบยีนที่มีผลต่ออารมณ์ดีกินตัวนี้มีชื่อว่า 5-HTP ซึ่งมีผลต่อความหดหู่ของเรา มีผลต่อเซร่โทนินซึ่งออกฤทธิ์เหมือนยาบำบัดอาการหดหู่
แต่ยีนจะมีอิทธิพล <ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีสิ่งแวดล้อมนั้นก็ส่งผลต่อความทุกข์ของเรา
คนเราปรับตัวกับทั้งความทุกข์และความสุขเวลาผ่านไปเราจะค่อยค่อยชินกับความทุกข์และความสุขเดิมๆ
สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นแต่ใจเราอยู่กับมันจนชิน
ค่ากลางซึ่งเรียกว่าจุด set point ของแต่ละคนไม่เท่ากันบางคนอาจมีค่ากลางที่มีความสุขมากกว่าคนอื่น
2. ค่ากลางของความสุข
เหตุผลที่ต้องกลับมาอยู่ในจุดกลางๆตลอดเวลา
ในจุดกลางๆที่ไม่สุขมากไม่ทุกข์มาก เป็นจุดที่อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติ เลือดอยู่ในเกณฑ์ที่กำลังดี เป็นสภาวะที่ดีต่อร่างกายเกือบที่จะที่สุด
แล้วแบบไหนถึงดีที่สุด
สภาวะที่ดีที่สุดคือเหนือค่ากลางขึ้นมานิดนึงช่วงที่รู้สึกบวกนิดๆเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่ามีสิ่งชุบชูใจ มีแรงจุงใจอยากทำนุ่นทำนี่ มีความกระตือรือร้นอยากเจอเพื่อนฝูง ในสภาวะเช่นนี้ต่อให้เจองานยากก็ยังพร้อมลุย
แม้ว่าจุดset point จะขึ้นอยู่กับพันธุกรรม แต่จุดset pointนี้เปลี่ยนแปลงได้ จากการมองโลกใหม่ ไม่คาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ ยืดหยุ่นกับความไม่แน่นอนมากขึ้นก็จะกลายเป็นมองโลกในแง่บวก
3. ขยายขนาดหัวใจ
ใจกว้างอาจหมายถึงหัวใจเช่นนี้หัวใจที่กว้างขวางพอสำหรับทุกเหตุการณ์ในชีวิต
เหมือนภาพท้องทะเลกว้างใหญ่และมีหมึกสีดำหยดลงไปหนึ่งหยก เหมือนเป็นตัวแทนแห่งความทุกข์ มันแทบไม่มีผลอะไรกับทะเลนั้นเลยเพราะมันกว้างเกินกว่าที่หยดหมึกเล็กๆจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
เราอาจใช้ชีวิตอยู่เพื่อฝึกขยายขนาดหัวใจออกไปให้กว้างขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับหมึกสีดำและสีขาวอีกมากมายแล้วคงสภาพปกติไว้ให้บ่อยและนานที่สุด ใจที่กว้างจะกระเพื่อมน้อยลงเรื่อยๆแม้มีเหตุให้กระเพื่อมก็ใช้เวลาไม่นานนักในการกลับสู่สภาวะปกติ
และสภาวะปกตินั่นเองที่เป็นสภาวะที่เป็นสุข
วิธีค้นพบพรสวรรค์
1. นาฬิกาแดดที่ตั้งไว้ในร่ม
สาเหตุที่เรามองไม่เห็นจุดแข็งหรือพรสวรรค์ของตัวเองเป็นเพราะสังคมมักสอนให้เราแก้ไขจุดอ่อนมากกว่าเสริมสร้างจุดแข็ง
แก้ไขจุดอ่อนเป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าใช้เวลามากมายไปอุดรอยรั่วของจุดอ่อนเราอาจเสียโอกาสรู้ว่าเราถนัดอะไรกันแน่ซึ่งน่าเสียดาย เพราะถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด เราจะทำมันได้ดีและมีความสุขที่ได้ทำ
องค์กรคือ1.คิดว่าพนักงานทุกคนสามารถเรียนรู้ให้มีความสามารถได้ทุกเรื่อง
2.องค์กร มักมอบคำชื่นชมการยอมรับตำแหน่งให้กับพนักงานที่มีความสามารถรอบด้านที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนที่มีความสามารถรอบด้านอาจไม่ได้ทำอะไรเด่นเลยแม้แต่ด้านเดียว
วัฒนธรรมเช่นนี้เองทำให้คนจำนวนมากทำพรสวรรค์ของตัวเองให้ไปหล่นหายไประหว่างทาง
2. ได้ทำในสิ่งที่รักทุกวัน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูด ตอนเดินทางไปบรรยายให้นักศึกษาฟัง
จริงๆแล้วผมไม่ได้ต่างอะไรจากพวกคุณเลย
หากจะมีข้อแตกต่างระหว่างคุณกับผมซักอย่างนึงอาจเป็นว่าทุกเช้าที่ตื่นมาผมมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ผมรักทุกวันและถ้าคุณต้องการเรียนรู้อะไรจากผมนี่เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมจะให้ได้
3. พรสวรรค์อาจต้องค้นหาสักนิด
1)จุดแข็งของเราสามารถปรับใช้ให้เข้ากับอาชีพต่างๆได้
2)สำรวจตัวเองให้ดีเวลาที่บอกว่าเราไม่เหมาะกับสิ่งที่ทำ
3) บางครั้งเรามองไม่เห็นพรสวรรค์หรือจุดแข็งของตัวเองเพราะเราใช้ชีวิตอยู่กับมันมาตลอดจึงต้องการสายตาจากคนอื่นมาช่วยชี้ให้เห็น
4. วิธีค้นหาพรสวรรค์
จุดแข็งคืออะไร มันคือการปฎิบัติกิจกรรมหนึ่งได้แทบสมบูรณ์แบบ อย่างสม่ำเสมอทำได้ลื่นไหลมาก ทำได้ดีทุกครั้งทั้งที่สำหรับคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
ถ้ายังไม่เจอสิ่งนั้นหนังสือเจาะ. แข็งเสนอเครื่องมือในการค้นหาพรสวรรค์มาให้สามอย่าง
1) ให้แยกแยะระหว่างพรสวรรค์ที่มีมาตามธรรมชาติออกจากสิ่งที่สามารถเรียนเพิ่มเติมได้
2) เฝ้าสังเกตตัวเองว่ามีกิจกรรมใดบ้างที่เราเรียนรู้ได้เร็ว
3) ที่เรามองไม่เห็นพรสวรรค์ของตัวเองเพราะเราไม่ค่อยมีภาษาที่ใช้เรียกมันดีๆ
5. พรสวรรค์ชนะพรแสวง?
โฆษณา