6 มิ.ย. 2023 เวลา 04:44 • หนังสือ

#30 HWG. — บทที่ 1️⃣8️⃣ :

“มันเป็นความตั้งใจของเธอเองที่ต้องการจะรู้จักตัวเองอย่างเต็มที่และอย่างครบถ้วนผ่านประสบการณ์ของเธอ ไม่ใช่รู้จักตัวเองแค่เพียงบางส่วน”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗼 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳.
“มันเป็นความตั้งใจของเธอเองที่ต้องการจะรู้จักตัวเองอย่างเต็มที่และอย่างครบถ้วนผ่านประสบการณ์ของเธอ ไม่ใช่รู้จักตัวเองแค่เพียงบางส่วน”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟴
บทที่ 1️⃣8️⃣
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲: "𝗦𝗼 𝗹𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗮𝘀𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗮 𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗵𝗮𝘀 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗳𝗶𝗰𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
N : ผมขอถามพระองค์ตรงๆเลยนะครับ ซึ่งคำถามนี้จะเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
𝗚𝗼𝗱 : "𝗢𝗸𝗮𝘆."
G : ถามมาได้เลย
𝗡 : 𝗜𝗳 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗶𝗺𝗲, 𝗼𝗻 𝗮 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗼𝘂𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿-𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗧𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳, 𝗵𝗼𝘄, 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗱𝗼 𝘄𝗲 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂--𝗪𝗜𝗧𝗛 𝗚𝗢𝗗--𝗮𝘀 𝘄𝗲 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗺𝗶𝘀𝗲𝗱?
N : หากเราคือแก่นแท้อันเป็นนิรันดร์ (วิญญาณ-ที่เป็นรากฐานของทุกสิ่ง) ที่กำลังเคลื่อนผ่านภาวะเอกฐานที่เราเรียกว่า 'ที่ว่างและเวลา' ในวัฏจักรแห่งการสำแดงตัวตน (เวียนวายตายเกิด) อย่างต่อเนื่องและไม่มีวันสิ้นสุดผ่านการเป็นตัวตนในทุกรูปแบบ (เท่าที่เราสามารถเป็นได้) แล้วเราจะได้มีประสบการณ์ชีวิตอันเป็นนิรันดร์กับพระเจ้าตามที่พระองค์สัญญาไว้ได้ยังไงครับ❓
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻."
G : เป็นคำถามที่ดี
𝗡 : 𝗔𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿?
N : ซึ่งคำตอบก็คือ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗼𝘂𝘀 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗜𝗦 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗠𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗼𝗹𝗱. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 '𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗚𝗼𝗱' 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄."
1
G : วัฏจักรแห่งการสำแดงตนเองอย่างต่อเนื่องที่เธออธิบาย "คือ" ชีวิตนิรันดร์กับฉันตามที่ฉันได้เคยอธิบายไป เธอกำลังมีประสบการณ์ถึง “ชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า” อยู่ในขณะนี้
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀? 𝗔𝗻𝗱 𝗮𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻? 𝗜𝘀 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗼𝗻𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴, 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿-𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲 𝗮𝘀 𝗴𝗼𝗼𝗱 𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝗴𝗲𝘁𝘀?
N : ถ้าอย่างนั้น แล้วบทบาทของความตายในเรื่องทั้งหมดนี้คืออะไรกันล่ะครับ❓ พระองค์กำลังบอกว่านี่คือสวรรค์ พวกเรากำลังอยู่ในสวรรค์งั้นหรือ❓ วัฏจักรที่ต่อเนื่องและไม่มีวันสิ้นสุดนี้ดีพอที่เราสมควรได้รับแล้วหรือ❓
𝗗𝗼 𝘄𝗲 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗲 '𝗼𝗻𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀' 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘁 𝗵𝗮𝘀 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘄𝗿𝗶𝘁𝘁𝗲𝗻? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗣𝘂𝗿𝗲 𝗕𝗹𝗶𝘀𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝘆𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝘂𝗻𝗴 𝗽𝗿𝗮𝗶𝘀𝗲𝘀, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗶𝘀 𝗿𝗲𝘂𝗻𝗶𝘁𝗲𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗹𝗹?
1
เราจะไม่มีวันได้มีประสบการณ์ถึง “การเป็นหนึ่งเดียวกัน” กับพระองค์ตามที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้เลยหรือ หากเราต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดอยู่อย่างนี้❓ แล้วช่วงเวลาแห่งความสุขอันล้นพ้นที่เหล่าผู้วิเศษต่างยกย่องสรรเสริญเมื่อวิญญาณปัจเจกได้กลับไปหลอมรวมกับสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้นอีกครั้งจะเป็นไปอย่างไรล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗕𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲 𝗼𝘂𝗿 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗼𝘃𝗲𝗿, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂. 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗵𝗶𝗿𝘀𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝗵𝗲𝗱. 𝗔𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀, 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗲𝗻𝗱𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀, 𝗮𝘀 𝗵𝗮𝘀 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱."
G : ก่อนที่การสนทนาของเราจะจบลง ฉันจะอธิบายถึงช่วงเวลาเช่นนั้นให้เธอฟัง แล้วความอยากรู้อยากเห็นของเธอจะดับลง สำหรับคำถามอื่นๆของเธอ การเคลื่อนไหวของวิญญาณปัจเจกผ่านภาวะภาวะเอกฐานนั้นไม่มีวันสิ้นสุด แต่จะดำเนินต่อไปเป็นวัฏจักรอย่างที่ได้อธิบายไว้
𝗡 : 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿 𝘀𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 –𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲 𝗜𝗦 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹 𝗯𝘆 𝗱𝗲𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗻𝗼? 𝗔𝗻𝗱 𝘆𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝗮𝗹𝘀𝗼 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆.
N : วัฏจักรนั้นเกิดขึ้นไปตามลำดับ —เพราะคำนิยามของวัฏจักร "คือ" สิ่งที่เป็นไปตามลำดับอย่างต่อเนื่องใช่มั้ยครับ❓ แต่ทว่าวัฏจักรเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกันด้วย
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝗼𝗻𝗰𝗲, '𝘀𝗲𝗲𝗺𝗶𝗻𝗴' 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗶𝗻 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : ถูกต้องแล้ว ทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในทีเดียว แต่มัน “ดูเหมือน” เกิดขึ้นไปตามลำดับ
"𝗬𝗼𝘂 𝘂𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝘀 𝗮 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗺𝗮𝗿𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗿𝗲𝗽𝗹𝗲𝗻𝗶𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗯𝗲𝘁𝘄𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗺.
'𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝘀𝗵𝗶𝗳𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗲𝘀 𝗲𝗻𝗼𝗿𝗺𝗼𝘂𝘀 𝗳𝗹𝘂𝗰𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗮𝘁𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝗿𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗶𝗯𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴, 𝗽𝗿𝗼𝗽𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝗼𝗿𝘁𝗵 𝗯𝗲𝘁𝘄𝗲𝗲𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲.
เธอใช้สิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” เป็นวิธีในการทำเครื่องหมายถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของลำดับเหล่านี้ และเพื่อ “เสริมกำลังให้กับตัวตนของเธอ” ระหว่างลำดับเหล่านี้ “ความตาย” คือการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานที่สร้างความผันผวนเป็นอย่างมากให้กับอัตราและความถี่ของการสั่นสะเทือนของตัวเธอ (คลื่นความสั่นสะเทือนจำเพาะของความเป็นเธอ★) ซึ่งมันเป็นตัวขับเคลื่อนเธอไปมาระหว่างสิ่งที่เธอเรียกว่าชีวิตในโลก (มิติ) ทางกายภาพและชีวิตในโลก (มิติ) วิญญาณ
★ความเป็นเรา จะส่งคลื่นความสั่นสะเทือนจำเพาะออกมา เช่น คนเมตตา (รักในทุกสรรพชีวิตอย่างเท่าเทียม) จะมีคลื่นอย่างหนึ่ง คนขี้อิจฉาริษยา ก็จะมีคลื่นอีกแบบ คนจิตสงบ (ไม่ฟุ้งซ่านหวั่นไหวไปกับสิ่งใดๆ) ก็จะมีคลื่นอีกแบบ ฯลฯ อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ –ผู้แปล–
'𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗾𝘂𝗶𝗿𝗲𝗱 𝗵𝗼𝘄𝗲𝘃𝗲𝗿, 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗲𝘃𝗲𝗹𝘀."
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่จำเป็นต้อง “ตาย” เสียก่อนเพื่อให้ตัวเองเคลื่อนผ่านความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลาและมีประสบการณ์ถึงตัวเองในระดับที่แตกต่างกัน
3
𝗡 : 𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗾𝘂𝗶𝗿𝗲𝗱?
N : ผมไม่จำเป็นต้องตายก็ได้งั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼𝘁 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗲𝗳𝗶𝗻𝗲 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗿𝗼𝗽𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗼𝗱𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹𝗲𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝗿𝗲𝗺𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗼𝗱𝘆.
𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗻𝗲𝗰𝗲𝘀𝘀𝗮𝗿𝘆 𝘁𝗼 𝗱𝗿𝗼𝗽 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹𝗲𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝗷𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺."
G : ไม่จำเป็นหากเธอนิยาม “ความตาย” ว่าเป็นแค่การละทิ้งร่างกายไป (ดุจดั่งของชำรุด) เธออาจมีประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ถึงตัวตนทางวิญญาณของเธอในขณะที่ยังคงอยู่กับร่างกายของเธอ มันไม่จำเป็นที่จะต้องละทิ้งร่างกายไปเสียก่อนเพื่อมีประสบการณ์ถึงสิ่งนั้น และเธอก็อาจมีประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ถึงตัวตนทางกายภาพของเธอในขณะที่เธอกำลังเดินทางอยู่ในโลกวิญญาณได้เช่นกัน
1
𝗡 : 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝗺𝘆 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺?
N : ผมสามารถพาร่างกายของผมเข้าสู่โลกวิญญาณได้ด้วยหรือครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆, 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱."
G : เธอสามารถทำอย่างนั้นได้ ใช่แล้ว
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗻 𝘄𝗵𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁 𝗜 𝗱𝗼 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗹𝘄𝗮𝘆𝘀. 𝗪𝗵𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗿 '𝗱𝗶𝗲'?
N : แล้วทำไมผมถึงไม่ทำแบบนั้นไปตลอดเลยล่ะครับ ทำไมผมถึงต้อง “ตาย” ด้วย❓
𝗚 : "𝗥𝗲𝗺𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗼𝗻𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗮𝗹𝗹 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗘𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗜𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳."
G : การคงสภาพอยู่ในร่างกายเดียวไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์จะไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของตัวตนอันเป็นนิรันดร์
𝗡 : 𝗜𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁?
N : ไม่เหรอครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼."
G : ไม่
𝗡 : 𝗪𝗵𝘆 𝗻𝗼𝘁?
N : ทำไมถึงไม่ล่ะครับ❓
𝗚 : "𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗘𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝗱𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗙𝗶𝗲𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝗧𝗶𝗺𝗲𝗹𝗲𝘀𝘀𝗻𝗲𝘀𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗼 𝗼𝗳𝗳𝗲𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗻 𝗼𝗽𝗽𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝗘𝗻𝗱𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗮 𝗟𝗶𝗺𝗶𝘁𝗹𝗲𝘀𝘀 𝗩𝗮𝗿𝗶𝗲𝘁𝘆 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗿𝗲.
G : เพราะจุดประสงค์ของความเป็นนิรันดร์คือการมอบพื้นที่แห่งประสบการณ์ของความไร้กาลเวลาให้กับเธอ ที่ซึ่งจะมอบโอกาสให้เธอได้รับประสบการณ์ที่ไม่รู้จบและความหลากหลายอันไร้ขีดจำกัดในการแสดงออกถึงตัวตนของเธอว่าเธอคือใคร
"𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗽𝗹𝗮𝗻𝘁 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗴𝗮𝗿𝗱𝗲𝗻. 𝗔𝘀 𝗯𝗲𝗮𝘂𝘁𝗶𝗳𝘂𝗹 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗺𝗮𝘆 𝗯𝗲, 𝗮𝘀 𝗴𝗹𝗼𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗮𝘀 𝗺𝗮𝘆 𝗯𝗲 𝗶𝘁'𝘀 𝗳𝗿𝗮𝗴𝗿𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘃𝗮𝗿𝗶𝗲𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿𝘀' 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹𝗼𝘄𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿.
เธอจะไม่ปลูกดอกไม้เพียงดอกเดียวไว้ในสวนของเธอ แม้ดอกไม้ดอกนั้นจะงดงามและมีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลเพียงใดก็ตาม การแสดงออกอันหลากหลายซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ที่เธอเรียกว่า “มวลหมู่ดอกไม้ หรือ เหล่าบุปผชาติทั้งมวล” นั้นได้รับอนุญาตให้ผลิบานและเติบโตได้อย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพของความเป็นมัน
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗼 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳. 𝗧𝗼 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗼𝗻𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗮𝗹𝗹 𝗘𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲.
มันเป็นความตั้งใจของเธอเองที่ต้องการจะรู้จักตัวเองได้อย่างเต็มที่และอย่างครบถ้วนผ่านประสบการณ์ของเธอ ไม่ใช่รู้จักตัวเองแค่เพียงบางส่วน (หรืออย่างครึ่งๆกลางๆ)★ การคงอยู่ต่อไปด้วยรูปแบบทางกายภาพเดียวตลอดชั่วนิจนิรันดร์จะไม่ทำให้จุดประสงค์นั้นเป็นจริง
★ประมาณว่าเรามีศักยภาพในการทำ 1 ล้านสิ่งได้พร้อมกัน แล้วทำไมเราต้องทำไปทีละอย่างด้วย? นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเอาสะเลย (อย่าลืมว่าเราคือพระเจ้านะ) อะไรประมาณนั้นครับ –ผู้แปล–
"𝗗𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗼𝗿𝗿𝘆, 𝗵𝗼𝘄𝗲𝘃𝗲𝗿. 𝗖𝗵𝗮𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿𝗺𝘀 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗲 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗹𝗼𝘀𝘀, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗿𝗲𝘁𝘂𝗿𝗻 𝘁𝗼 𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗿𝗺 𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵."
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ต้องกังวล เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไม่จำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ของการสูญเสีย เพราะเธอสามารถกลับสู่รูปแบบใดๆและเมื่อใดก็ได้ตามที่เธอปรารถนา
𝗡 : 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝗮𝘀 𝘄𝗵𝗼 𝗜 𝘄𝗮𝘀 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲?
N : ผมสามารถกลับมาเป็นตัวผม ที่เป็นตัวตนก่อนหน้านี้ได้ด้วยเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗿𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗹𝘆 𝗱𝗼, 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗬𝗼𝘂 𝗶𝗻 𝗮 𝗻𝗲𝘄 𝗮𝗻𝗱 𝗴𝗿𝗮𝗻𝗱𝗲𝗿 𝘄𝗮𝘆.
G : ใช่แล้ว และเธอก็ทำแบบนั้นอยู่บ่อยครั้งเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์ถึงการแสดงออกของตัวตนของเธอในรูปแบบนั้น ในวิถีทางใหม่และยิ่งใหญ่กว่าเดิม
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗿𝗲𝗹𝗶𝗴𝗶𝗼𝘂𝘀 𝘁𝗿𝗮𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗿𝗶𝘀𝘁—𝗮𝗹𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗮𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻.
𝗧𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗵𝗿𝗶𝘀𝘁𝗲𝗱 𝗢𝗻𝗲, 𝗮𝗻𝗱, 𝗶𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆 𝘁𝗶𝗺𝗲.
สิ่งนี้มีอธิบายไว้ในศาสนาของเธอว่าเป็น 'การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์' — แม้ว่าพวกเธอหลายคนจะจินตนาการเอาไว้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้สามารถและจะเกิดขึ้นได้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ความจริงก็คือพวกเธอแต่ละคนสามารถมีประสบการณ์ถึงตัวเองในแบบเยซูได้ และอันที่จริงแล้ว พวกเธอทุกคนล้วนมีศักยภาพที่จะทําสิ่งนั้นได้ตลอดเวลาหรือในเวลาไหนก็ได้อีกด้วย
"𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝗺𝗯𝗿𝗮𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗼𝗻𝘀𝗵𝗶𝗽 𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝗮𝗻𝗱 𝗱𝗼 𝘀𝗼 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗔𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗳𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗴𝗮𝗿𝗱𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗚𝗮𝗿𝗱𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝘀𝗲, 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘄𝗿𝗶𝘁𝘁𝗲𝗻 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝘆𝘁𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗲𝘀.
เธอสามารถยอมรับการเป็นพระบุตรของตัวเองได้ทุกเมื่อ และจะทำเช่นนั้นในเวลาที่เธอตระหนักรู้ว่าจริงๆแล้วเธอเป็นใคร จากนั้นเธอก็จะผลิบานอย่างเต็มที่และเต็มศักยภาพในสวนแห่งชีวิต นี่คือสวนสวรรค์ (สวนอีเดน) ที่เธอเขียนไว้ในตำนานของเธอ
"𝗧𝗵𝘂𝘀 𝗱𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲.
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงเคลื่อนผ่านวัฏจักรของชีวิตอย่างไม่รู้จบ
"𝗧𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗰𝘆𝗰𝗹𝗲𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗜𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗿𝗶𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝘂𝗹𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆, 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗻𝗲 𝗦𝗼𝘂𝗹.
วัฏจักรเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกันสำหรับวิญญาณปัจเจกจํานวนนับไม่ถ้วนที่ถูกบรรจุอยู่ในภาวะเอกฐาน ที่ซึ่งก็คือวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวนั้น★
★ภาวะเอกฐานที่เป็นวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวนั้น ที่เป็นสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้น ประกอบไปด้วยวิญญาณปัจเจกจำนวนนับไม่ถ้วน –ผู้แปล–
"𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗮𝘁 𝘀𝗲𝘃𝗲𝗿𝗮𝗹 𝗹𝗼𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀, 𝗮𝗻𝗱, 𝗮𝘀 𝗜 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗮𝗹𝘀𝗼 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗹𝗼𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻—𝗱𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹'—𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗼𝗻𝗰𝗲."
เธออาจเคลื่อนที่ผ่านที่ว่างและเวลาได้หลายที่หรือหลายตำแหน่ง และก็อย่างที่ฉันได้พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า เธอยังสามารถที่จะเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งเดิม—ไปตาม “อุโมงค์เวลา” เดิม— ได้มากกว่า 1 ครั้งอีกด้วย
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝗱 𝗺𝘆 𝗵𝗲𝗮𝗱 𝘀𝗽𝗶𝗻𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗮𝘀𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗡𝗼𝘄 𝗶𝘁'𝘀 𝘀𝗽𝗶𝗻𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻.
N : ครับ พระองค์พูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว และพระองค์ก็ทำให้ผมหัวหมุนในตอนนั้นไปแล้วหนึ่งครั้ง และตอนนี้ผมก็หัวหมุนอีกแล้วครับ
𝗚 : "𝗢𝗸𝗮𝘆. 𝗜 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝗼𝗼𝗻 𝗴𝗼𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗳𝗮𝗶𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘂𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘁𝗲𝗹𝘆. 𝗟𝗲𝘁'𝘀 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝗮 𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗽𝗶𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁𝘂𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁.
G : ก็ได้ ฉันคิดว่าคำศัพท์ต่างๆ (เท่าที่มีอยู่ในภาษาของเธอ) กำลังทำให้เราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มาดูกันว่าการจินตภาพจะช่วยให้เธอเข้าใจถึงสิ่งที่เรากําลังพูดถึงกันอยู่นี้ได้หรือไม่
"𝗜 𝗮𝗺 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗮 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝘂𝘀𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗲𝘀𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲, 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝘁𝗲𝗿𝗮𝗹 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵, 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿. 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗿𝗲, 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗮 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿.
𝗬𝗲𝘁 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿𝘀 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝘁𝗿𝗲𝗺𝗲𝗹𝘆 𝘂𝘀𝗲𝗳𝘂𝗹 𝘄𝗵𝗲𝗻 '𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗿𝗲' 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗮𝗶𝗻𝗲𝗱 𝗲𝗮𝘀𝗶𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱—𝗼𝗿 𝘄𝗵𝗲𝗻, 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗶𝘁.
ฉันกําลังจะสร้างการอุปมา นี่เป็นการอุปมาที่เธออาจนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องเข้าใจว่า #นี่เป็นแค่การอุปมา #ไม่ใช่ความจริงแบบเป๊ะๆตามตัวอักษร นี่ไม่ใช่ความเป็นไปของสิ่งต่างๆจริงๆ แต่เป็นแค่การอุปมาอุปไมยเท่านั้น ทว่าการอุปมาจะมีประโยชน์อย่างมากเมื่อฉันไม่สามารถอธิบายถึง “ความเป็นไปของสิ่งต่างๆ” ให้เธอเข้าใจได้ด้วยคำศัพท์ที่เธอเข้าใจ —หรือเมื่อไม่มีคำใดๆที่สามารถนำมาใช้เพื่ออธิบายได้
"𝗠𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿𝘀, 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗯𝗹𝗲𝘀, 𝗰𝗮𝗻 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗿𝗲𝗵𝗲𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝗰𝗼𝗺𝗽𝗿𝗲𝗵𝗲𝗻𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝘆 𝗮𝗹𝗹 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁 𝘁𝗲𝗮𝗰𝗵𝗲𝗿𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘂𝘀𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺."
การอุปมาก็เปรียบเสมือนนิทานสอนใจ ที่สามารถช่วยให้เธอเข้าใจในสิ่งที่เข้าใจได้ยาก นั่นคือเหตุผลที่คุรุผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนใช้มัน
𝗡 : 𝗦𝗼 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗠𝗮𝗿𝘃𝗲𝗹𝗼𝘂𝘀 𝗠𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿.
N : ถ้างั้นเรามาเรียกสิ่งนี้ว่า “อัศจรรย์แห่งคำอุปมา” กันเถอะครับ
𝗚 : "𝗚𝗼𝗼𝗱. 𝗢𝗸𝗮𝘆.
G : ดี ตกลงตามนั้น
"𝗡𝗼𝘄..."
ตอนนี้...
=========(((จบบทที่ 18)))=========

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา