9 มิ.ย. 2023 เวลา 05:23 • ข่าวรอบโลก

‘จีน’ กับการก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในอีอีซี📌เรา ไม่ทิ้งไครใว้ข้างหลัง

9-6-23-เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ครอบคลุมจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ถือเป็นแกนกลางความพยายามของรัฐบาลไทยในการกระตุ้นการเติบโตและการลงทุน โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มุ่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและดำเนินการสารพัดมาตรการจูงในทางการลงทุน เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ขณะเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานราคาถูก
ปัจจุบันอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ปิโตรเคมี ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ครองส่วนแบ่งกรลงทุนสูงสุดในเขตพัฒนาฯ มีผู้ประกอบการต่างชาติ เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในพื้นที่อีอีซีอย่างต่อเนื่อง โดย 5 ประเทศชั้นนำของโลกที่เข้ามาลงทุนสูงสุด ได้แก่ จีน รองลงมาเป็นญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส และเยอรมนี มีมูลค่าการลงทุนรวมสูงถึง 439,903 ล้านบาท
โดยการลงทุนจากจีนครองสัดส่วนสูงสุดในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจีนได้ลงทุนตามข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) และยุทธศาสตร์การพัฒนา Green & Circular เชื่อมโยงเชิงพื้นที่ อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area : GBA) & เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกและทางทะเลสายใหม่
(New International Land-Sea Trade Corridor : ILSTC) กับไทย และ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) โดยมีแนวโน้มขยายการลงทุนในพื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 5G และพลังงานทดแทน เป็นต้น
นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการอีอีซีเมื่อปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ประเทศจีนได้เข้ามาลงทุนในอีอีซีสูงถึง 206,979 ล้านบาท การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ 99,436 ล้านบาท อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 34,358 ล้านบาท และอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ พลังงานทดแทน 56,074 ล้านบาท พื้นที่การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดระยอง มียอดการลงทุนกว่า 108,942 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรี มูลค่าการลงทุน 87,526 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าการลงทุน 10,511 ล้านบาท
ขณะที่การลงทุนในปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค) มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 46,155 ล้านบาท
เมื่อไม่นานนี้ ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซินหัวว่า การลงทุนของจีนที่เพิ่มขึ้นในไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ก่อให้เกิดห่วงโซ่อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการพัฒนาอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทย
ดร.จุฬาเผยว่า ไทยในฐานะฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ดึงดูดกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนการจูงใจด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย โดยบริษัทจีนมากมายเข้ามาลงทุนในไทย บางส่วนได้ตอบสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ข้อมูลสมาคมยานยนต์ของไทย ระบุว่า แบรนด์จีนครองส่วนแบ่งตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของไทยสูงราวร้อยละ 90 ในปี 2021 โดยผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างเอ็มจี (MG) และเกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ได้จัดตั้งโรงงานในเขตพัฒนาฯ ขณะบีวายดี (BYD) และเนตา ออโต (Neta Auto) ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเช่นกัน ทำให้ไทยมีแนวโน้มส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
อนึ่ง รัฐบาลไทยต้องการให้การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครองสัดส่วนราวร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี 2023 โดยผลสำรวจพบยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในไทยพุ่งขึ้นจากไม่เกิน 2,000 คันในปี 2021 เป็นเกือบ 10,000 คันในปี 2022 และคาดว่ายอดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวในปีนี้
ดร.จุฬา กล่าวอีกว่า กลุ่มบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้ดึงดูดผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์เข้าสู่ไทย ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงสร้างการจ้างงานในท้องถิ่น แต่ยังนำเทคโนโลยีและการฝึกอบรมผู้มีความสามารถเข้ามา ซึ่งมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพแรงงานของไทยอีกด้วย
ทำให้จีนมีส่วนส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจขของไทยอย่างมาก นอกจากความร่วมมือทางอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวจีนยังมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของการท่องเที่ยวไทยด้วย กลายเป็นหนึ่งในตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดด้วย
ไทยและจีนมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทั้งด้านการลงทุนและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน แม้กิจกรรมการค้าอาจจะลดลงในช่วงเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่ด้วยสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งเหล่านี้ ผมคิดว่าจะเกิดการฟื้นตัวในเร็วๆ นี้” ดร.จุฬา กล่าว
ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การค้าการลงทุนระหว่างไทย-จีนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานเช่นรถไฟจีน-ลาว-ไทย ทำให้เห็นถึงศักยภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนและไทย การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ สี จิ้นผิง ในวาระที่ 3 นับเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ของจีน การส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทย-จีน จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและไทยในยุคใหม่ โดยต้องอาศัยความพยายามร่วมกันของประชาชนจีนและไทย
นอกเหนือจากการลงทุน การท่องเที่ยว ในด้านการค้า จีนก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย สินค้าเกษตรไทยที่ส่งออกไปยังตลาดจีนได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาด
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ของไทย มีการเชื่อมโยงกับข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ไทยได้จัดตั้งสำนักงานการค้าระหว่างประเทศในจีน 7 แห่งเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างไทย-จีน แม้ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงแห่งความวุ่นวายและมีความเปราะบางมากขึ้น แต่การค้าระหว่างจีนกับไทยกลับยิ่งทวีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะมิตรแท้ เชื่อว่าไทยและจีนจะจับมือกันเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่รุ่งเรืองด้วยกัน
โฆษณา